ตอนที่10 ไสหัวไปก่อนไม่มีโอกาส!
“อยากให้ข้าออกไปจากตำหนักเจ้าเมืองนักรึ? เจ้ากล่าววาจาเช่นนี้เห็นทีคงจะกำลังฝันหวานแล้วกระมัง!”
ไม่ว่าอย่างไรหลู่เชียนสุ่ยก็จะไม่มีทางยอมออกจากตำหนักเจ้าเมืองเด็ดขาด หากระดับฝีมือของนางยังไม่แกร่งกล้ากว่านี้
และที่สำคัญที่สุดคือ นางจักต้อง‘เอาคืน’ไอ้คนบัดซบชั่วช้าที่รวมหัวกันข่มเหงรังแกนาง เพราะความอัปยศอดสูที่นางและท่านแม่ของนางได้รับนั้นมันเกินกว่าจะลบล้างออกไปได้โดยง่าย
แม้ว่าหลู่จิ้งเฟิงจะขับไล่นางออกจากตำหนัก แต่ผู้ที่มีอำนาจที่สุดในตำหนักเจ้าเมืองกลับหาใช่เขาไม่ แต่เป็นท่านปู่ของนางนามว่าหลู่โปเทียนต่างหาก!
นอกจากท่านแม่แล้ว ก็มีเพียงปู่ของหลู่เชียสุ่ยนี่ล่ะที่ยังเอ็นดูรักใคร่นางอยู่บ้าง
เมื่อครั้งที่หลู่จิ้งเฟิงแต่งสนมใหม่เข้าบ้าน ก็มีท่านปู่ของนางที่เอ่ยปากคัดค้านและแสดงอาการต่อต้านอย่างที่สุด และหลังจากที่ท่านแม่ของนางจากไป เขาก็ออกโรงปกป้องหลู่เชียนสุ่ยด้วยตัวเอง และยังบอกกับนางว่าเขาจะไม่ปล่อยให้สนมคนใหม่และหลู่จิ้งเฟิง หรือใครก็ตามรังแกนางโดยเด็ขาด
หลู่เชียนสุ่ยเชื่ออย่างยิ่งวา หลู่โปเทียนไม่มีทางปล่อยให้หลู่จิ้งเฟิงขับไล่ไสสงนางออกจากตำหนักเจ้าเมืองเป็นแน่ และที่หลู่จิ้งเฟิงรีบร้อนไล่นางออกจากตำหนักเช่นนี้ ก็เพราะเกรงว่าหากเรื่องนี้ล่วงรู้ไปถึงหูของหลู่โปเทียน เขาจะต้องออกโรงจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเองอย่างแน่นอน
ขณะที่ครุ่นคิดถึงหลี่โปเทียน ภายในใจของหลู่เชียนสุ่ยจึงคลายความรุ่มร้อนและสงบลง แล้วจึงเอื้อเอ่ยวาจาออกมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือก
“หลู่ซิงเฉินไม่มีคุณสมบัติใดที่จะมาไล่ข้าออกจากตำหนักเจ้าเมืองได้ ต่อให้เป็นเจ้าเมืองอย่างหลู่จิ้งเฟิงหรือเจ้าก็ไร้ซึ่งคุณสมบัตินั้นเช่นกัน!”
“นี่เจ้ากำลังรนหาที่ตายแล้วกระมัง?”
ใบหน้าของหลู่เชียนเยว่บิดเบี้ยวอย่างน่าเกลียดจนไม่อาจเปรียบกับสิ่งใดได้ เมื่อได้ยินวาจาเช่นนั้นของหลู่เชียนสุ่ย พลันโทสะก็ผุดขึ้นในทันที หลู่เชียนเยว่นางนี้ก็เป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์อาณาจักรปรับวิญญาณระดับสี่ พรสวรรค์ของนางมิได้อ่อนด้อยไปกว่าหลู่ซิงเฉินเลย ในเหล่าผู้ฝึกยุทธเยาวชน ตัวนางเองก็นับเป็นอีกคนที่ประสบความสำเร็จยิ่งในเส้นทางสายนี้
แม้ระดับพลังของหลู่เชียนเยว่จะสูงกว่านางเล็กน้อย แต่ในด้านประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในเรื่องการต่อสู้ หลู่เชียนสุ่ยนับว่าเหนือกว่า หากเข้าสัประยุทธ์กันจริงๆ กลับเป็นฝ่ายของหลู่เชียนเยว่ที่ต้องตกเป็นรอง
หากเพลงหมัดสะบั้นบรรพตยังไม่เพียงพอ หลู่เชียนสุ่ยก็ยังมีเพลงดาบธารบรรพตอีกหนึ่งกระบวนอาวุธ หากนางหยิบใช้สำแดงเพลงดาบนี้ออกมา หลู่เชียนเยว่ยิ่งไม่มีทางต่อกรกับนางได้แม้แต่กระบวนท่าเดียวด้วยซ้ำไป
ท้ายทีสุดนี้ รูปแบบที่หนึ่งของเพลงดาบธารบรรพตมุ่งเน้นไปที่ความเร็วและเฉียบคม ขอเพียงในมือนางมีดาบสักเล่ม หลู่เชียนสุ่ยย่อมสามารถสังหารหลู่เชียนเยว่ทิ้งได้ภายในเสี้ยวอึดใจ!
“นังโง่! ณ ตอนนี้ คุณหนูแห่งตำหนักเจ้าเมืองคือหลู่ซิงเฉิน ทั้งนางและหลู่เชียนเยว่ไม่ต้องการเห็นหน้าเจ้าอีกต่อไป รีบไสหัวไปซะนังสวะ! หากยังไม่ออกไปข้าจะทำให้เจ้าออกไปเอง!”
ครู่หนึ่งต่อมา ปรากฏชายหนุ่มในชุดคลุมสีเทาเอ่ยปากตะโกนดังลั่น และเขาผู้นี้เองที่ช่วยหลู่เชียนเยว่เตะประตูเรือนพักของหลู่เชียนสุ่ยให้เปิดออก
บุรุษผู้นี้นามว่า หลูเว่ยซ่ง เป็นบุตรชายคนโตในตำหนักเจ้าเมือง เขาลุ่มหลงในตัวหลู่เชียนเยว่เป็นที่สุด จึงยอมเป็นขี้ข้าของนาง ฐานันดรศักดิ์ของเขาเองก็มิได้ต่ำชั้น จึงสามารถใช้โอสถส่งเสริมการฝึกได้ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เขามีพลังสูงถึงอาณาจักรปรับวิญญาณระดับห้า ซึ่งมีพลังสูงกว่าหลู่เชียนเยว่ในยามนี้
แต่ถึงกระนั้น หากเทียบกับอายุที่มากถึงยี่สิบปีแล้ว จึงไม่นับว่าเขาเป็นผู้มีพรสวรรค์อะไรนัก
การที่ชายหญิงทั้งสองรวมหัวช่วยเช่นนี้ ทำให้หลู่เชียนสุ่ยรู้สึกหน่ายใจมิใช่น้อย นางกรอกตาไปมาหนึ่งรอบและกล่าวตอบด้วยความรำคาญว่า
“ข้าไม่มีเวลามาใส่ใจพวกเจ้ามากนัก จงรีบไสหัวไปก่อนที่จะไม่มีโอกาส!”
“เจ้า!! นังสวะไร้ประโยนช์อย่างเจ้า กล้าเอ่ยวาจาเช่นนี้ต่อหน้าข้าได้อย่างไร? หลู่เชียนสุ่ย ดูท่าเจ้าคงไม่ยอมไสหัวไปจากที่นี่ง่ายๆสินะ? ได้!!”
ขณะที่หลู่เชียนเยว่ร้องตะโกนออกไปอย่างเดือดดาลนั้น นางก็ได้ก้าวเท้าถอยหลังกลับไปเล็กน้อย เผยให้เห็นบ่าวจำนวนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหลังของนาง
หลู่เชียนเย่วระเบิดเสียงหัวเราะเยาะอย่างบ้าคลั่งและกล่าวสั่งการเหล่าข้าทาสบริวาร
“ในเมื่อนางไม่รู้จักที่ของตนเอง เช่นนั้นพวกเจ้าก็เข้าไปหยิบข้าวของนางออกมา แล้วนำไปโยนทิ้งให้หมด!”
บ่าวทั้งหมดที่ยืนอยู่ตรงนั้นต่างก็พยักหน้าเชื่อฟังคำสั่งของหลู่เชียนเย่วอย่างเคร่งขรัด พร้อมเคลื่อนตรงเข้าเรือนพักของหลู่เชียนสุ่ยทันที ส่วนหลู่เว่ยซ่งที่ยืนอยู่ข้างๆหลู่เชียนเยว่แสยะยิ้มกว้าง พร้อมกล่าวออกไปด้วยท่าทางสำราญใจว่า
“แม่นางเชียนเยว่เจ้าช่างฉลาดหลักแหลมนัก ในเมื่อนางไม่ยอมไสหัวออกไป เช่นนั้นก็นำข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นของนางโยนทิ้งไปก็สิ้นเรื่อง ข้าเองก็อยากจะรู้นัก หากทำถึงเพียงนี้แล้ว นางยังจะมีปัญญาอยู่ที่นี่ต่อไปหรือไม่!”
หลู่เชียนเยว่ทำเสียงหัวเราะคิกคักล้อเลียนอีกฝ่ายและกล่าวเสียงเย็นสะท้านขึ้นว่า
“หากทำถึงเพียงนี้แล้วนางยังหน้าด้านหน้าทนไม่ยอมไสหัวออกไปจากที่นี่อีก เช่นนั้นข้านี่แหละที่จะบดขยี้นางให้แหลก แล้วค่อยจับนางโยนออกนอกตำหนักเจ้าเมืองเอง!”
หลู่เว่ยซ่งเร่งกล่าวเสริมทันทีที่
“ฮ่าๆๆ... กระทืบนางให้เละดั่งเศษขยะชิ้นหนึ่ง! สิ่งที่ไร้ประโยชน์ก็สมควรถูกจำกัดออกไป! หากแม่นางเชียนเยว่ไม่อยากเปลืองแรง ให้ข้าช่วยถีบหัวส่งนางออกไปก็ย่อมได้ แค่ทิ้งขยะชิ้นเดียวไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร!”