หลู่เชียนเยว่พุ่งตรงกลับเรือนพักของตนด้วยความโกรธเกลียดเต็มทรวงอก แต่ยังมิทันได้กลับถึงเรือนพักก็มีบ่าวร้องเรียกหา เป็นแม่ของนางที่ส่งคนให้มาตามตัวนางไปพบนั่นเอง หลู่เชียนเย่วจำต้องเดินตามบ่าวผู้นั้นไปด้วยสีหน้าที่ยังคงขุ่นเคืองใจ
“เชียนเยว่ ผู้ใดกันที่ทำให้เจ้าโกรธขึ้งได้เพียงนี้? เหตุใดสีหน้าของเจ้าจึงบูดบึ้งเช่นนี้?”
แม่ของนาง เจียงซูหยินเอ่ยถามขึ้นในทันที นางเป็นสนมอีกคนของหลู่จิ้งเฟิงที่แต่งเข้าตำหนักเมื่อหกปีก่อน
เจียงซูหยินเป็นหญิงที่มีใบหน้างดงามมากด้วยเสน่ห์หา รูปร่างโค้งเว้าเย้ายวนใจเกินพรรณนา อีกทั้งยังมีทักษะไหวพริบเป็นเลิศ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา นางได้เลือนขั้นเป็นคุณนายซูหยิน ซึ่งเป็นที่รู้จักของผู้คนมากมายภายในตำหนักเจ้าเมืองแห่งนี้
“ท่านแม่!”
จากนั้นหลู่เชียนเย่วจึงเริ่มเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นก่อนหน้าให้เจียงซูหยินฟัง ยิ่งได้ฟังบุตรสาวของตนเล่าเรื่องทั้งหมดมากเท่าไหร่ นางก็ยิ่งโมโหมากขึ้นเท่านั้น
หลังจากได้ฟังรายละเอียดทั้งหมด คิ้วทั้งสองของเจียงซูหยินถึงกับขมวดเข้าหากัน น้ำเสียงอ่อนหวานของนางพลันปลี่ยนเป็นเยือกเย็นขึ้นทันใด
“เจ้ากำลังจะบอกว่า นังสวะหลู่เชียนสุ่ยมีพลังอยู่ในอาณาจักรปรับวิญญาณระดับสามงั้นรึ? มิหนำซ้ำนางยังฝึกปรือเพลงหมัดสะบั้นบรรพตจนถึงขอบเขตปฐพีแล้ว?”
“ใช่แล้วท่านแม่! นังสวะนั่นมันปกปิดพลังที่แท้จริงของตนมาโดยตลอด! ข้าไม่ทราบด้วยซ้ำว่ายามนี้นังแพศยานั่นกำลังวางแผนชั่วอะไรอยู่กันแน่? แต่เมื่อคิดถึงเรื่องที่พี่ซิงเฉินกำลังจะเข้าร่วมงานประลองยุทธ์ประจำเมือง ข้าอดคิดไม่ได้ว่านาง...นางจะต้องมีแผนร้ายเป็นแน่! ท่านแม่ พวกเราจะทำเช่นไรดี?”
เจียงซูหยินเอ่ยเสียงเย็นว่า
“หากอาศัยนางเพียงลำพัง คนเช่นนางไม่มีวันเทียบชั้นกับซิงเฉินได้เลยด้วยซ้ำ! เจ้าอย่าได้คิดมากจนเกินไป ข้าเองก็เคยได้ยินซิงเฉินพูดมานานเช่นกันแล้วว่า นังสวะผู้นี้ยังมีพรสวรรค์ในการฝึกปรืออยู่บ้าง จึงไม่แปลกใจที่นางจะฝึกฝนเพลงหมัดสะบั้นบรรพตจนสำเร็จถึงขอบเขตปฐพีได้”
“แต่ถึงอย่างนั้น เรื่องที่นังนั่นมีพลังอยู่ในอาณาจักรปรับวิญญาณระดับสาม นี่นับว่าเกินความคาดหมายของข้านัก... แม้อาณาจักรปรับวิญญาณระดับสามจักหาใช่สาระสำคัญนัก แต่ข้าจะไม่ยอมให้นังเด็กนั่นได้มีโอกาสฝึกปรือวรยุทธต่อสู้อีกต่อไป! นางจักต้องอยู่อย่างไร้ประโยชน์เช่นเดิม!”
ในวาจาตอนท้ายนั้น น้ำเสียงของเจียงซูหยินเจือไว้ด้วยความอาฆาตมาดร้ายอยู่ด้วย
“แต่เวลานี้ดูเหมือนอาวุโสเก้าจะเข้าข้างนางอยู่น่ะสิ หากได้อาวุโสเก้าชี้แนะให้ ความสำเร็จของนางจะยิ่งสูงส่งดั่งทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้าในชั่วอึดใจ! ผลลัพธ์หลังจากนั้นอาจแย่ยิ่งกว่าในเวลานี้...”
หลู่เชียนเย่วยังจดจำความโดดเด่นในการต่อสู้ของหลู่เชียนสุ่ยเมื่อครู่ได้ และยิ่งคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ นางก็ยิ่งหนักอกหนักใจมากเท่านั้น
“เจ้าอย่าได้กังวลไปเลย ในบรรดาผู้อาวุโสทั้งเก้าแห่งตำหนักเจ้าเมือง มีเพียงผู้อาวุโสใหญ่กับผู้อาวุโสเก้าเท่านั้น อาวุโสวคนอื่นๆที่เหลือล้วนเป็นคนของเราทั้งสิ้น หากให้ต้องเอาจริง…แม้แต่อาวุโสเก้าก็ไม่อาจคณามือข้า”
เมื่อเจียงซูหยินกล่าวมาถึงตรงนี้ แววตาทั้งคู่ของนางพลันแปรเปลี่ยนเป็นอำมหิตยิ่งขึ้น รอยยิ้มที่หวานพลันเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือก ริมฝีปากแสยะยิ้มกว้างอยู่บนใบหน้าอันมากเสน่ห์นั้น
“โอ้ใช่แล้ว เจ้าบอกว่านังสวะนั่นทำให้หลานชายของอาวุโสใหญ่บาดเจ็บใช่หรือไม่? บังเอิญโดยแท้! เราจะใช้เหตุผลนี้เป็นข้ออ้างในการดึงตัวอาวุโสใหญ่ให้มาเป็นพวกเรา!”
เมื่อได้ฟังเช่นนั้น ดวงตาคู่สวยของหลู่เชียนเย่วพลันสว่างไสวขึ้นทันใด
“จริงด้วยท่านแม่! ท่านกล่าวได้ถูกต้องยิ่งนัก! คงจะแย่แน่หากให้ท่านเจ้าเมืองคนก่อนเป็นผู้สืบรู้ว่าเรื่องทั้งหมดเป็นฝีมือของพวกเรา แต่หากให้อาวุโสใหญ่เป็นผู้ออกหน้าเองเช่นนี้ เกรงว่าแม้แต่ท่านเจ้าเมืองคนก่อนก็ยังไม่กล้าพูดอะไรมาก”
เจียงซูหยินมองไปที่หลู่เชียนเยว่ด้วยความรักใคร่และพยักหน้าด้วยความภาคภูมิใจ
“เจ้าวิเคราะห์ได้ถูกต้องแล้ว เชียนเยว่ เจ้าเติบโตขึ้นมากแล้วจริงๆ!”
ในตอนนี้ความโกรธแค้นที่จุกอยู่กลางอกของหลู่เชียนเยว่พลันอันตรธานหายสิ้น นางระเบิดเสียงหัวเราะพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงสุดชั่วร้ายว่า
“ท่านแม่ ข้าจะไปหาหลู่เซียวเซียว พี่สาวของหลู่เว่ยซ่งในเวลานี้ก็เก่งกาจไม่แพ้พี่ซิงเฉิน ตอนนี้นางเป็นถึงยอดฝีมืออาณาจักรปรับวิญญาณระดับเจ็ด นางรักใคร่เป็นห่วงหลู่เว่ยซ่งยิ่งกว่าใครๆ หากนางทราบว่าหลู่เว่ยซ่งถูกหลู่เชียนสุ่ยทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส นางคงต้องไล่ตะเพิดทุบตีนังขยะนั่นจนตายคามือแน่! และข้าก็เชื่อว่าหลู่เชียนสุ่ยจะสามารถเอาชนะหลู่เซียวเซียวได้!”
..........................
หลังจากที่หลู่เชียนสุ่ยส่งผู้อาวุโสเก้ากลับไปแล้ว นางก็ย้อนกลับไปที่เรือนพักของตนเพื่อฝึกปรือต่อ
เพลงหมัดสะบั้นบรรพตของนางเชี่ยวชาญถึงขอบเขตปฐพีแล้ว หากปรับปรุงแก้ไขอีกนิดคงประสบความสำเร็จสูงสุด ส่วนสามกระบวนท่าสุดท้ายของเพลงดาบธารบรรพตนั้น กลับลึกล้ำและซับซ้อนมากจนเกินไป จนนางไม่สามารถทำความเข้าใจได้ในตอนนี้ ที่สำคัญนางยังไม่มีดาบในมือเลยสักเล่ม จึงจำต้องชะลอการฝึกไว้ก่อน
ด้วยเหตุนี้หลู่เชียนสุ่ยจึงหันไปสนใจคัมภีร์หลอมสวรรค์แทน
ชายชราลึกลับในห้วงมิติดินแดนธารบรรพตกล่าวไว้ว่า ความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณของนางสามารถพัฒนาเพิ่มพูนขึ้นได้ ทั้งนี้ยังช่วยยกระดับรากฐานของนางเพื่อเชื่อมต่อกับศิลาขอบเขตธารบรรพต จากนั้นนางจึงจะสามารถดึงชิ้นส่วนความทรงจำต่างๆของเหล่าบรรพบุรุษที่ฝังอยู่ในนั้นออกมาใช้ได้
ชิ้นส่วนความทรงจำเหล่านั้นถูกทิ้งไว้เป็นมรดกโดยเหล่าอัจฉริยะรุ่นบรรพบุรุษของตระกูลหลู่แห่งดินแดนธารบรรพต คนเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นยอดอัจฉริยะของทุกศาสตร์ทุกแขนง
หลู่เชียนสุ่ยแทบอดทนรอไม่ไหวที่จะหยิบชิ้นส่วนความทรงจำเหล่านั้นออกมาศึกษาใช้งาน แน่นอนว่าหากทำได้ จะช่วยให้นางได้รับความรู้และข้อมูลที่ลึกซึ้งมากมายซึ่งถูกถ่ายเทไว้ภายใน
ดังนั้นนางจึงฝึกปรืออยู่ในห้วงมิติดินแดนธารบรรพตอย่างหนักถึงสามวันสามคืน จนในที่สุดนางก็ฝึกคัมภีร์หลอมสวรรค์ระดับแรกสำเร็จ
จากนั้นหลู่เชียนสุ่ยจึงลืมตาขึ้นทันที นางถูฝ่ามือไปมาระหว่างที่เดินตรงไปยังศิลาขอบเขตธารบรรพต