ตอนที่17 คุยโวหรืออย่างไร?
หลู่เชียนสุ่ยเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยและหยิบเอาตำราเพลงหมัดสะบั้นบรรพตขึ้นมาชูตรงหน้า
“รอให้ข้าคืนตำราเล่มนี้ให้เสร็จก่อน แล้วพวกเราสองคนค่อยมาเจรจากันใหม่”
โดยไม่มีรีรอ ทันทีที่กล่าวจบหลู่เชียนสุ่ยก็หันหลังเดินตรงเข้าไปยังหอตำรายุทธ์ทันที และไม่คิดที่จะฟังความเห็นของหลู่เซียวเซียวเลยแม้แต่น้อย อีกฝ่ายยังคงยืนแข็งค้างอยู่เช่นนั้นครู่ใหญ่ ในที่สุดก็ปั้นหน้านิ่งกล่าวออกไปว่า
“หลู่เชียนสุ่ย เจ้าต้องการจะถ่วงเวลาข้าไปเรื่อยๆใช่หรือไม่?”
ทันทีที่กล่าวจบ นางก็วิ่งตามหลังหลู่เชียนสุ่ยเข้าไปในหอตำรายุทธ์ทันที
เหล่าฝูงชนที่เหลือต่างหันไปสบตากันแน่นิ่ง พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะเคลื่อนตัวตามเข้าไปดู
แต่หลังจากที่หลู่เชียนสุ่ยกับหลู่เซียวเซียวเข้าไปภายในหอตำรายุทธได้ไม่นานนัก ผู้คนก็เริ่มมีปฏิกิริยาขึ้นมาทันที ใครบางคนเอ่ยออกมาด้วยความสงสัย
“ตำราเล่มนั้นที่หลู่เชียนสุ่ยกำลังจะเอาไปคืนนั้น อย่าบอกนะว่า...เป็นเพลงหมัดสะบั้นบรรพต?”
“แต่ว่าจะเป็นเช่นนั้นไปได้อย่างไรกัน? ในเมื่อนางก็ฝึกเพลงหมัดสะบั้นบรรพตจนสำเร็จถึงขอบเขตปฐพีแล้วมิใช่รึ? แล้วเหตุใดนางยังต้องหยิบยืมตำราเพลงหมัดสะบั้นบรรพตไปอีกล่ะ?”
เหล่าฝูงชนที่มุงดูเหตุการณ์อยู่ต่างมึนงงและสับสนยิ่งนัก ระหว่างไตร่ตรองพลางเอ่ยถามออกมาด้วยความฉงนใจ
......................
ภายในหอตำรายุทธ์
หลังจากที่หลู่เซียวเซียววิ่งตามหลู่เชียนสุ่ยเข้าไปครู่หนึ่ง ในที่สุดนางก็ไล่ตามจนทัน จึงร้องตะโกนลั่นด้วยความโกรธเกรี้ยว
“หลู่เชียนสุ่ย! เจ้าบอกออกมาเดียวนี้! เจ้ามีข้อตกลงอะไรกันแน่?”
ขณะที่หลู่เชียนสุ่ยกำลังจะปริปากตอบนั้น จู่ๆก็มีชายชราคนหนึ่งเหลียวมองจับจ้องมาและตะโกนสวนขึ้นด้วยน้ำเสียงดุดัน
“เงียบเสียงลงหน่อย! หากเจ้ายังกล้าขึ้นเสียงดังในที่แห่งนี้ ข้าจักเชิญเจ้าออกไปทันที!”
“…”
สีหน้าของหลู่เซียวเซียวเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนกเจือหวาดกลัวขึ้นมาทันที เมื่อถูกดุเสียงดังเช่นนั้น ใบหน้าของนางจึงแดงเริ่มแดงระเรื่อ นอกจากจะไม่กล้าต่อปากต่อคำกับชายชราผู้นั้นแล้ว นางยังปิดปากเงียบสนิทยิ่งกว่าเดิม
หลังจากนั้นชายชราคนก็หันไปยิ้มแย่มให้กับหลู่เชียนสุ่ยซึ่งยืนอยู่ตรงหน้า น้ำเสียงพลันเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนยิ่งกว่าเดิมในขณะที่กล่าวออกไปว่า
“แม่นางเชียนสุ่ย ข้าได้ยินมาว่า เจ้าฝึกปรือเพลงหมัดสะบั้นบรรพตจนสำเร็จถึงขอบเขตปฐพีแล้วรึ?”
หลู่เชียนสุ่ยกระพริบปริบๆพลางเอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจว่า
“แม้แต่ท่านผู้อาวุโสซึ่งอยู่แต่ในหอตำรายุทธ์ก็รู้เรื่องนี้แล้วงั้นรึ? เหตุใดเรื่องราวที่เพิ่งเกิดเมื่อวานจึงได้แพร่สะพรัดออกไปรวดเร็วถึงเพียงนี้?”
“แม่นางเชียนสุ่ย เรื่องนี้เป็นความจริงหรือไม่?”
ชายชราผู้ทำหน้าที่เฝ้าหอตำรายุทธ์จ้องมองอย่างรอคอยคำตอบคล้ายว่าไม่ต้องการที่จะคาดเดาด้วยตัวเอง สายตาจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของหลู่เชียนสุ่ยอย่างเปิดเผย
หลู่เซียวเซียวที่ยืนอยู่ใกล้ๆนั้นจ้องมองสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าด้วยความไม่แน่ใจ เกิดอะไรขึ้นกับชายชราลึกลับในหอตำรายุทธ์กันแน่? กระทั่งตัวนางซึ่งอยู่ในอาณาจักรปรับวิญญาณระดับเจ็ด แต่ชายชรากลับไม่เคยแสดงท่าทีเช่นนี้ต่อนางเลยสักครั้ง แต่เหตุใดกับหลู่เชียนสุ่ยซึ่งอยู่เพียงแค่อาณาจักรปรับวิญญาณระดับสาม ชายชรากลับเจรจาด้วยท่าทีอ่อนโยนและมีมารยาทถึงเพียงนี้?
“ถูกต้องแล้ว!”
หลู่เชียนสุ่ยพยักหน้าพร้อมกล่าวต่อว่า
“เพลงหมัดสะบั้นบรรพตของข้าสำเร็จถึงขอบเขตปฐพีแล้วจริงๆ”
ระหว่างที่นางปล่อยให้ความคิดของตนโลดแล่นไปจนไกลนั้น หลู่เชียนสุ่ยก็ได้เอ่ยตอบคำถามของชายชราไปด้วย
ทันใดนั้นเอง!
ตุบ!
จู่ๆชายชราผู้นั้นก็ลุกพรวดขึ้นอย่างรวดเร็ว พลางเก้าอี้ที่นั่งอยู่ก็ล้มลงกับพื้นเสียงดัง ดางตาเบิกกว้างทั้งคู่ของเขาจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของหลู่เชียนสุ่ยเจือ สีหน้าของเขาบ่งบอกว่าไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ใบหน้าอันเหี่ยวย่นนั้นเผยให้เห็นความกระวนกระวายตกใจได้อย่างชัดเจน แม้แต่น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาในยามนี้ยังสั่นเทาโดยมิได้ตั้งใจ
“แต่...แต่ข้าจำได้ว่า เจ้าเพิ่งจะมาขอยืมตำราเพลงหมัดสะบั้นบรรพบตไปเมื่อคืนก่อนเองนี่! ไฉนเจ้าจึงสำเร็จถึงขอบเขตปฐพีได้เร็วถึงเพียงนี้? เจ้าสามารถฝึกสำเร็จภายในเวลาเพียงชั่วข้ามคืนเชียวรึ?!”
ขณะที่ชายชราพร่างพรูคำพูดเหล่านั้นออกมา ฝ่ามือทั้งสองที่กำแน่นจนเส้นเลือดปูดถึงกับสั่นสะท้าน กระทั่งร่างกายที่ยืนอยู่ก็เริ่มสั่นเทาไม่หยุด
เพลงหมัดสะบั้นบรรพตเป็นวรยุทธต่อสู้ที่ลึกล้ำและเข้าใจยากที่สุดแล้วในตำหนักเจ้าเมือง แต่นางกลับสามารถฝึกปรือจนสำเร็จถึงขอบเขตปฐพีได้ในเวลาเพียงแค่ข้ามคืน? ต้องมีพรสวรรค์ที่ล้ำเลิศเพียงใดกัน?
เมื่อหลู่เซียวเซียวซึ่งยืนอยู่ข้างๆได้ยินเช่นนั้น แววตาของนางพลันลุกวาว ตาโตจนลูกตาแทบถลนออกจากเบ้า นางจ้องมองหลู่เชียนสุ่ยสลับไปมากับชายชราอยู่ครู่หนึ่ง และกำลังสงสัยว่าตนเองคงต้องหูฝาดไปแน่
....ฝึกปรือเพลงหมัดสะบั้นบรรพตสำเร็จถึงขอบเขตปฐพีได้เพียงชั่วข้ามคืนงั้นรึ?
คำพูดเหล่านี้ทำเอาหลู่เซียวเซียวตกใจจนแทบอยากร้องตะโกนออกมา แต่ขากรรไกรทั้งสองข้างของนางกลับอ้ากว้างค้างอยู่เช่นนั้น
นี่คือเรื่องจริงหรือหลอกลวงกันแน่? หรือนางอวดอ้างไปเอง? เป็นไปได้อย่างไรกันที่จะเกิดเรื่องน่าอัศจรรย์เช่นนี้ขึ้น?
หลู่เชียนสุ่ยทำสีหน้าเก้อเขิน พลางยกมือขึ้นถูข้างจมูกเล็กน้อย เพราะในความเป็นจริงนั้น นางมิได้ฝึกปรือเพลงหมัดนี้ได้ภายในวันเดียว แต่นางก็ไม่สามารถแพร่พรายความลับเรื่องห้วงมิติดินแดนธารบรรพตนี้ให้ผู้อื่นล่วงรู้ได้ ด้วยเหตุนี้นางจึงมิได้เอ่ยปากอธิบายอันใดและเพียงแค่พยักหน้าตอบไปว่า
“ที่ท่านกล่าวมาก็ไม่ผิดนัก!”
“แต่ข้า...ข้าจำได้ว่าเจ้าเพิ่งระดมพลังปราณได้เมื่อวานก่อน? เป็นไปได้หรือไม่ว่า...เจ้าจะสำเร็จอาณาจักรปรับวิญญาณระดับสามได้ภายในข้ามคืนเช่นกัน…”
แต่หลังจากที่ชายชราเอ่ยถามออกไปเช่นนั้น เขาก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมาไม่รอคำตอบ และได้แต่แอบคิดในใจว่า
“เป็นไปไม่ได้! ผู้ฝึกยุทธ์ล้วนต้องอาศัยพรสวรรค์ อาศัยการระดมพลังปราณ”
ต่อให้เขาถูกตีจนตายก็ไม่มีทางเชื่อว่าจะมีผู้ใดสามารถระดมพลังปราณไปถึงอาณาจักรปรับวิญญาณระดับสามได้เพียงชั่วข้ามคืน!