ตอนที่18 นี่เจ้ากำลังเล่นตลกกันข้าอยู่งั้นรึ!
หลู่เชียนสุ่ยเหลียวมองชายชราผู้นั้น แล้วจึงหันไปมองหลู่เซียวเซียวที่ยังคงมีสีหน้าตื่นตะลึง นางเองก็เพิ่งจะตระหนักว่า คราวนี้ตนได้สร้างความตระหนกตกใจและตื่นตะลึงให้แก่คนทั้งสองมากเกินไปแล้ว นางจึงพึมพำออกมาพลางส่ายหัว
“ข้ามิได้เก่งกาจถึงเพียงนั้น”
แต่แท้ที่จริงแล้วมันคือเช่นนั้น นางสามารถระดมพลังปราณไปถึงอาณาจักรปรับวิญญาณระดับสามได้เพียงชั่วข้ามคืนจริงๆ ชายชราถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขายกมือปาดเหงื่อทีไหลท่วมหน้าและกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เลื่อมใสว่า
“ข้าไม่เคยคิดฝันมาก่อนเลยว่า แท้ที่จริงแล้วแม่นางเชียนสุ่ยกลับเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่มากไปด้วยพรสวรรค์เช่นนี้ ช่างน่าอายนักที่เมื่อครั้งเจ้ามาขอยืมตำราเพลงหมัดสะบั้นบรรพต ข้ากลับกล่าววาจาออกไปว่านั่นเป็นวรยุทธระดับสูงเกินกว่าที่เจ้าจะเลือกไปฝึก แต่ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว เป็นข้าเองต่างหากที่มีสายตาคับแคบยิ่งนัก…”
หลู่เชียนสุ่ยกลับไม่ถือสา นางเพียงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยและเอ่ยตอบชายชราว่า
“อาวุโสอย่าได้กล่าวโทษตนเองเช่นนั้น! ข้าหาได้ถือสาไม่ หากไม่มีอะไรแล้ว เช่นนั้นข้าต้องขอตัวก่อน ยังมีหลู่เซียวเซียวทีรอข้าอยู่อีก”
ชายชราคนยังคงยืนนิ่งไปอีกชั่วขณะ จากนั้นจึงเอ่ยตอบกลับไป
“เจ้าไม่ลองดูตำราวรยุทธต่อสู้ชนิดอื่นๆสักหน่อยรึ?”
หลู่เชียนสุยส่ายหัวพร้อมกล่าวตอบว่า
“ไม่จำเป็นแล้วผู้อาวุโส! แค่เพลงหมัดสะบั้นบรรพตก็นับว่าเพียงพอแล้ว”
เพลงหมัดสะบั้นบรรพตเป็นการระดมพลังปราณและพละกำลังของผู้ฝึกยุทธ์ออกมาถึงขีดสุด พลังของมันย่อมสูงขึ้นตามระดับพลังที่เพิ่มขึ้นไป อีกทั้งเพลงหมัดนี้ยังเป็นวรยุทธระดับสูงสุดของหอตำราแห่งนี้แล้ว หลังจากนี้ไปหลู่เชียนสุ่ยจึงตั้งใจที่จะฝึกปรือเพลงหมัดสะบั้นบรรพตให้สำเร็จถึงขอบเขตฟ้าให้จงได้
และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้นางเองก็ต้องการที่จะฝึกฝนเพลงดาบธารบรรพตอย่างมาก เพราะไม่มีวรยุทธต่อสู้ใดที่แกร่งกล้าเทียบชั้นได้กับเพลงดาบธารบรรพตอีกแล้ว
...................
เมื่อหลู่เชียนสุ่ยกับหลู่เซียวเซียงเดินออกมาจากหอตำรายุทธ์นั้น เหล่าฝูงชนที่เคยมุงดูอยู่ก่อนหน้าต่างก็แยกย้ายกันไปหมดแล้ว
ระหว่างที่หลู่เซียวเซียวเดินตามหลังหลู่เชียนสุ่ยมา นางก็ได้แต่เอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัย
“เจ้าฝึกเพลงหมัดสะบั้นบรรพตจนสำเร็จของเขตปฐพีได้ภายในข้ามคืนจริงรึ?”
“ถูกต้อง!”
“เจ้าทำได้อย่างไรกัน?”
หลู่เซียวเซียวเอ่ยถามต่อด้วยความอยากรู้อยากเห็นยิ่งนัก
เมื่อได้ยินเชนนั้นหลู่เชียนสุ่ยจึงเหลียวหลังกลับไปมองที่ดาบยาวในมือหลู่เซียวเซียว ดวงตาของนางพลันหรี่เล็กลงอย่างเจ้าเล่ห์
“เจ้าอยากรู้จริงรึ?”
หลู่เซียวเซียวพยักหน้าอย่างแช่มช้า
หลู่เชียนสุ่ยจึงยกมือขึ้นชี้ไปยังดาบในมือของนางพร้อมกับเอ่ยออกไป
“ถ้าเช่นนั้น เจ้าก็ต้องใช้ดาบของเจ้าเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน”
หลู่เซียวเซียวกัดฟันแน่น แต่สุดท้ายก็ยอมยกดาบในมือให้กับหลู่เชียนสุ่ย
หลู่เชียนสุ่ยสะพายดาบไว้ด้านหลังด้วยสีหน้าท่าทางพออกพอใจอย่างมากแล้วจึงเอ่ยออกไปว่า
“เพลงหมัดสะบั้นบรรพตจำต้องได้รับการฝึกปรืออย่างหนักและสม่ำเสมอ ที่จริงข้าเองเคยฝึกฝนวรยุทธนี้อยู่ก่อนแล้ว ข้าเพียงแต่ยืมตำราออกมาเพื่ออ่านทบวนอีกรอบเท่านั้น”
“นี่เจ้าคิดจะเล่นตลกกับข้าหรืออย่างไร?”
สีหน้าของหลู่เซียวเซียวเปลี่ยนเป็นไม่พอใจทันทีที่ได้ฟังคำตอบ นางจ้องมองอีกฝ่ายด้วยแววตาดุดันแทบจะกลืนกิน
“แล้วข้อแลกเปลี่ยนที่เจ้ากล่าวก่อนหน้านี้คืออะไร?”
“เฮ้อ เจ้านี่เป็นหญิงที่อามรณ์ร้อนแล้วก็หงุดหงิดง่ายเสียจริง”
หลู่เชียนสุ่ยพูดพร้อมกับเหลือบมองหลู่เซียวเซียวเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อว่า
“เวลานี้เจ้ากำลังโกรธข้าเพราะเรื่องเส้นเอ็นทั่วร่างของน้องชายเจ้าขาดสะบั้นใช่หรือไม่? ถ้าเช่นนั้นข้าจะรักษาเส้นเอ็นภายในร่างกายให้กับเขาเอง หลังจากนั้นความบาดหมางระหว่างเราสองคนนับว่าเป็นอันยุติ เจ้าจะตกลงหรือไม่?”
“รักษางั้นรึ? จักต้องใช้เวลาเชื่อมต่อเส้นเอ็นเป็นเวลาหนึ่งร้อยวันจึงจะหายดี อีกทั้งอาการของน้องชายข้าก็หนักหนาสาหัสยิ่งนัก เจ้าแค่พูดว่าจะรักษาเส้นเอ็นทั่วร่างให้กับเขา มันคงจะไม่ง่ายดายถึงเพียงนั้นกระมัง?”
“ข้าจักใช้โอสถเป็นตัวช่วยในการรักษา เท่าข้ารู้มา มีโอสถระดับสองชั้นยอดชนิดหนึ่งที่จะช่วยรักษาเส้นเอ็นของน้องชายเจ้าได้”
“โอสถระดับสองชั้นยอดงั้นรึ? หลู่เชียนสุ่ย นี่เจ้ากำลังฝันกลางวันอยู่รึอย่างไร? นักหลอมโอสถของทางตำหนักเจ้าเมือง อย่างดีสุดก็หลอมกลั่นได้เพียงโอสถระดับสองชั้นต้น เจ้าเพียงเปิดปากกล่าวถึงโอสถระดับสองชั้นยอดได้อย่างไม่อายปาก คิดหรือว่าโอสถล้ำค่าเช่นนี้จักสามารถหาซื้อมาได้ง่ายดังเช่นผักปลา? หากง่ายดายเช่นนั้นเจ้าก็บอกข้ามาว่าที่ใดมีขายบ้าง?”
“หากไม่สามารถหาซื้อได้ ก็แค่หาคนมาหลอมกลั่นให้ ไม่มีอันใดยากเย็น!”
“หลู่เชียนสุ่ย เจ้าหยุดเอ่ยวาจาโง่เขลาเสียที! เมื่อครู่ข้าเพิ่งจะบอกเจ้าไปมิใช่รึว่า ไม่มีผู้ใดในตำหนักเจ้าเมืองสามารถหลอมกลั่นโอสถระดับสองชั้นยอดได้! หรือเจ้ากำลังจะบอกข้าว่าตนสามารถหลอมกลั่นขึ้นมาเองได้ด้วยตัวเอง?”
“แม้ข้าหลอมกลั่นเองไม่ได้ แต่ผู้อื่นย่อมทำได้”
ในผืนพิภพอันกว้างใหญ่ เฉพาะผู้ฝึกยุทธ์อาณาจักรปรับวิญญาณระดับเก้าที่สามารถระดมพลังตันหัวลงในฝ่ามือเท่านั้น จึงจะสามารถหลอมกลั่นโอสถชนิดนี้ได้ แต่แน่นอนว่าหลู่เชียนสุ่ยมีพลังเพียงแค่ระดับสาม โดยธรรมชาติย่อมไม่สามารถหลอมกลั่นโอสถได้เป็นแน่
“นี่เจ้ากำลังเล่นตลกกันข้าอยู่งั้นรึ! หลู่เชียนสุ่ย ข้าคร้านที่จะเสวนาเรื่องไร้สาระกับเจ้าอีกแล้ว! ข้าจะจัดการเจ้าล้างแค้นให้กับเว่ยน้อยเดี๋ยวนี้…”
แต่ยังไม่ทันที่หลู่เซียวเซียวจะพูดจบ พลันร่างของนางก็สึกสั่นสะท้านเหน็บหนาวเข้าไปจนถึงขั้วกระดูกในทันที แรงกดดันอันน่าสะพรึงขวัญหอบใหญ่แผ่กระจายเข้าปกคลุมทั่วทั้งร่าง เวลานี้เส้นขนทั่งทั้งร่างของนางได้ลุกชูชันจนถึงหนังศีรษะ…
หลู่เซียวเซียวเบิกตาตาจับจ้องภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า เป็นร่างของหลู่เชียนสุ่ยที่ปราดเข้ามายืนประชิดหน้าของนางอย่างรวดเร็วจนนางเองมิทันได้ตั้งตัว ปลายคมของดาบยาวจ่อเข้าที่คอหอยของนางแน่นิ่งอยู่เช่นนั้น
ไอเย็นของโลหะสัมผัสเข้ากับปลายผิวหนังบนลำคอของหลู่เซียวเซียว เวลานี้ร่างทั้งร่างของนางสั่นสะท้าน เม็ดเหงื่อเย็นแตกพล่านไหลทะลักออกมาจากผิวหนังไม่หยุด
หลู่เซียวเซียวจ้องมองร่างของหลู่เชียนสุ่ยตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา!
เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไรกัน?!
ไม่สิ...หลู่เชียนสุ่ยชักดาบออกมาตั้งแต่เมื่อใด?