px

เรื่อง : มเหสียอดนักฆ่า
ตอนที่22+23


ตอนที่22 อย่าทำให้อับอายไปมากกว่านี้เลย

 

“เอ่อ…”

 

หากเป็นผู้อื่น เย่ฟางเฟยคงคิดว่านางกำลังพยายามกลั่นแกล้งและสร้างปัญหาขึ้นเป็นแน่ แต่อากัปกิริยาท่าทางของหลู่เชียนสุ่ยหาได้มีเจตนาที่จะโวยวายหรือก่อกวนให้เกิดความโกลาหลแต่อย่างใด กิริยาวาจาของนางยังคงเป็นไปด้วยความสงบนิ่งและเฝ้ารอคอยอย่างเงียบๆ อีกทั้งหญิงสาวผู้นี้ก็เป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยตนให้รอดพ้นเงื้อมมือของคุณชายสองกับเพื่อนก่อนหน้าด้วย

 

นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเม้มปากแน่นแล้วจึงกล่าวตอบไปว่า

“ถ้าเช่นนั้นแม่นางได้โปรดรอสักครู่ ข้าจักรีบกลับไปเปลี่ยนให้เดี๋ยวนี้”

 

เย่ฟ่างเฟยหันเดินกลับเข้าไปในห้องด้านหลังอีกครั้งเพื่อนำโอสถเม็ดใหม่ออกมาให้ ไม่นานนักนางก็กลับมาเข้ามาอีกครั้ง

ทว่าครั้งนี้มีชายชราสีหน้าบ่งบอกถึงความไม่เป็นมิตรอีกคนเดินตามหลังนางมาด้วย สีหน้าท่าทางของเขาดูค่อนข้างก้าวร้าวในขณะที่ตะโกนลั่นว่า

 

“ผู้ใดกัน? ผู้ใดที่กล่าวว่าโอสถของข้าคุณภาพไม่ดี!”

 

เมื่อเห็นชายชราเดินตะโกนดังลั่นออกมาหน้าร้านเช่นนั้น เหล่าฝูงชนก็อดที่จะแตกตื่นกันมิได้

 

“ท่านปรมาจารย์เซี่ยะ!”

 

“นั่นมันท่านปรมาจารย์เซี่ยะนี่! เขาเป็นนักหลอมโอสถระดับสองเชียวนะ”

 

แต่หลู่เชียนสุ่ยหาได้รู้สึกตื่นเต้นตกใจอันใดไม่ นางเพียงแค่ชำเลืองหางตามองไปทางชายชราเล็กน้อยเท่านั้น แล้วจึงกล่าวออกไปว่า

 

“เป็นข้าเอง!”

 

“เจ้ารึ?”

 

ปรมาจารย์เซี่ยะส่งสายตาจ้องมองหลู่เชียนสุ่ยเขม็ง แววตาบ่งบอกถึงความโกรธเกรี้ยว

 

“เจ้าเป็นเพียงแค่เด็กน้อยยังไม่ทันโตเป็นสาวด้วยซ้ำ จะมีความรู้อะไรเกี่ยวกับโอสถมากนักรึ?”

 

ในขณะที่เขากล่าวปรามาสหลู่เชียนสุ่ย ปรมาจารย์เซี่ยะผู้นี้ก็ได้เค้นเสียงฮึดฮัดอยู่ในลำคอแสดงออกถึงความไม่พอใจ เวลานี้เขาน่าจะโกรธจนควันออกหูแล้ว

 

“แม้แต่ท่านประธานสมาคมนักหลอมโอสถ ยังมิกล้ากล่าวว่าโอสถของข้าไร้คุณภาพ! แล้วเจ้าเป็นใครมาจากไหน จึงได้กล้าดูถูกว่าโอสถของข้าไม่มีคุณภาพเช่นนี้!? นี่เจ้าคงจงใจกล่าววาจาให้ข้าเสียหายเพื่อหลอกเอาโอสถของข้าไปโดยไม่ต้องเงินเสียสักแดงสินะ!”

 

เมื่อฝูงชนที่ยังต่อแถวอยู่ในสมาคมนักหลอมโอสถได้ยินเช่นนั้น พวกเขาต่างก็พากันซุบซิบนินทากันต่อทันที

 

“นั่นสินะ! เด็กสาวนางนี้มาที่นี่เพื่อจะหาซื้อโอสถไม่ใช่รึ? แต่ดูจากท่าทางของนางแล้ว นางน่าจะมีเงินไม่พอ ไม่เช่นนั้นคงไม่ต้องพยายามนำสูตรโอสถออกมาขายเพื่อแลกเปลี่ยนเป็นเงินเช่นนี้? อีกอย่างนางก็เป็นแค่ขยะไร้ประโยชน์ จะไปมีสูตรโอสถดีๆเช่นนั้นได้อย่างไรกัน?”

 

เหล่าฝูงชนต่างพากันชี้นิ้วไปทางหลู่เชียนสุ่ยพร้อมกระซิบกระซาบกัน สีหน้าของทุกคนที่แสดงออกมานั้นล้วนเต็มไปด้วยความดูถูกดูแคลนทั้งสิ้น

 

 

 

“นางแสร้งบอกสิ่งดีเป็นไม่ดีเช่นนี้ เพียงเพราะนางไม่มีปัญญาซื้อหากลับไปคนเช่นนี้ยังจะใช่คนดีได้อย่างไรกัน?”

 

หลู่เซียวเซียวที่นิ่งอยู่นาน ในที่สุดก็ไม่อาจทนดูได้อีกต่อไป นางเร่งตรงดิ่งเข้าไปฉุดดึงข้อมือของหลู่เชียนสุ่ยให้กลับออกไปพร้อมกล่าวกับนางว่า

 

“กลับกันได้แล้ว! เจ้าอย่าได้ทำเรื่องที่น่าอับอายไปมากกว่านี้เลย!”

 

หลู่เชียนสุ่ยขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น พลางจ้องมองอีกฝ่ายด้วยแววตาเยือกเย็นพร้อมร้องตะโกนตอบกลับไป

 

“ปล่อยข้า!”

 

หากหลู่เซียวเซียวมิได้ช่วยนางก่อนหน้านี้ ป่านนี้หลู่เชียนสุ่ยคงได้ลงไม้ลงมือกับนางและทำให้นางต้องเสียหน้าอยู่ตรงนี้ไปนานแล้ว

 

สีหน้าที่แสดงออกของหลู่เชียนสุ่ยยังคงสงบนิ่ง แต่ลึกลงไปในแววตาคู่นั้นกลับเย็นชาอย่างมิอาจพรรณนาได้ เพียงเหลือบมองสายตาของอีกฝ่ายที่จ้องมองกลับมานั้น หลู่เซียวเซียวพลันรับรู้ได้ว่าหัวใจของตนนั้นพลันเฉียบเย็นสะท้านขึ้นในทันใด สัญชาติญาณของนางสั่งให้เร่งปล่อยมือของหลู่เชียนสุ่ยทันที

 

จากนั้นหลู่เชียนสุ่ยก็ช้อนสายตาขึ้นจับจ้องไปที่ปรมาจารย์เซี่ยะ

 

“ที่ประธานสมาคมนักหลอมโอสถมิได้บอกว่าโอสถของท่านด้อยคุณภาพนั้น ก็เพราะทักษะของเขายังไม่สูงพอต่างหากเล่า แม้แต่ตัวท่านเองยังไม่รู้ถึงคุณภาพโอสถที่ตนเองหลอมเลยงั้นรึ?”

 

 

เมื่อได้ฟังคำพูดตรงไปตรงมาของหลู่เชียนสุ่ย ปรมาจารย์เซี่ยะพลันเบิกตาโตด้วยความตกตะลึงไม่ต่างจากคนอื่นๆที่รายล้อม เขากล่าววาจาตะกุกตะกักตอบโต้กลับไปว่า

 

“จะ-เจ้า...เจ้ากำลังกล่าววาจาอันใดรู้ตัวหรือไม่!? เจ้ากล้าพูดมาได้อย่างไรว่า...ทักษะของท่านประธานสมาคมไม่สูงพอ? เจ้ากล้าพูดจาเยี่ยงนั้นได้อย่างไร? ช่างสามสาวและไร้ยางอายนัก!”

 

ฝูงชนต่างพากันจ้องมองหลู่เชียนสุ่ยด้วยความโกรธเกรี้ยว ท่านประธานจางแห่งสมาคมนักหลอมโอสถนั้น เป็นนักหลอมโอสถที่ทุกคนภายในเมืองนี้ล้วนให้ความเคารพนับถือยิ่ง แต่ตอนนี้กลับถูกเด็กสาวตัวเล็กๆสบประมาทหาว่าทักษะไม่สูงพอ เช่นนี้แล้วจะมิให้พวกเขาเดือดดาลได้อย่างไรกัน?

 

หลู่เชียนสุ่ยขมวดคิ้วเข้าหากันอีกครั้งพร้อมกล่าวตอบไปทันที

 

“ผู้อาวุโสเซี่ยะ ท่านเองย่อมรู้ดีว่าโอสถนี้ผิดพลาดในจุดใด หากท่านลดส่วนผสมของสมุนไพรฟื้นฟูลงอีกสักครึ่งส่วน และเพิ่มสมุนไพรฮั่นซิงเข้าไปอีกสามในสิบส่วน ประสิทธิภาพของโอสถย่อมสูงขึ้นเป็นเท่าตัว ท่านไม่คิดเช่นนี้หรอกรึ?”

 

เมื่อปรมาจารย์เซี่ยะที่กำลังโกรธเกรี้ยวได้ยินคำกล่าวของหลู่เชียนสุ่ย เขาก็เริ่มคิดได้ เขามิได้สนใจว่านางจะมีเจตนาเยี่ยงไรจึงได้กล่าวออกมาเช่นนั้น แต่สิ่งที่นางกล่าวออกมาเมื่อครู่ ยิ่งครุ่นคิดพินิจมากเท่าใด เขากลับยิ่งรู้สึกว่าเด็กสาวผู้นี้กล่าวได้ถูกต้องมากขึ้นเท่านั้น

 

ปรมาจารย์เซี่ยะทำสีหน้าท่าทางคล้ายเข้าใจในคำพูดของหลู่เชียนสุ่ยได้ในทันที เขาร้องอ๋อลั่นพร้อมพึมพำออกมาว่า

 

“เจ้ากล่าวได้ถูกต้อง... ก่อนหน้านี้ ข้าเองก็เฝ้าติดตามดูผลการรักษาของโอสถนี้อยู่เช่นกัน ข้ารู้สึกว่ามีสมุนไพรฟื้นฟูมากเกินไปจริงๆ ตามทฤกษฎีโอสถจำต้องเน้นความสมดุลเป็นหลัก การใส่สมุนไพรฟื้นฟูเข้าไปมากจนเกินไปจะทำให้ฤทธิ์ของโอสถถูกลดลงกว่าครึ่ง จนเกิดปฏิกิริยาลบล้างซึ่งกันและกัน! ข้าเข้าใจแล้ว! เอาล่ะ ข้าต้องรีบกลับไปลองหลอมกลั่นใหม่อีกรอบ...”

 

คล้อยหลังปรมาจารย์เซียะบ่นพึมพำจนจบแล้ว เขาก็หันหลังและเตรียมที่จะเดินกลับเข้าไปด้านในทันทีโดยไม่สนใจผู้คนรอบข้างอีกต่อไป ท่าทางของเขาราวกับกำลังตกอยู่ในภวังค์ความคลั่งใคล้ในศาสตร์แห่งโอสถเข้าแล้ว

 

“ผู้อาวุโสเซี่ยะ! เดี๋ยวก่อน!”

เมื่อเห็นว่าปรมาจารย์เซี่ยะกำลังจะจากไป หลู่เชียนสุ่ยจึงรีบเอ่ยปากเรียกเขาไว้ทันที

 

 

ตอนที่23 ลาก่อนตันไถ่หยวน

 

ปรมาจารย์เซี่ยะเหลียวศีรษะหันกลับมามองหลู่เชียนสุ่ยพร้อมเอ่ยว่า

 

“เจ้าตะโกนเรียกข้าทำไมรึ? คิดไม่ถึงเลยว่าคำพูดของเจ้าเมื่อครู่จะช่วยข้าได้มากถึงเพียงนี้ เจ้ารอข้าอีกหน่อย! ข้าจะรีบหลอมกลั่นโอสถที่คุณภาพดีกว่านี้มาให้!”

 

   เมื่อทุกคนได้ยินแบบนั้นพลันตื่นตกใจกันอย่างมาก ลึกลงไปภายใต้จิตใจกลับสับสนงุนงง สิ่งที่หญิงสาวซึ่งถูกเรียกขานว่าสวะเอ่ยออกไปนั้น สามารถช่วยปรมาจารย์เซี่ยะได้จริงๆหรือนี่?

 

ระหว่างที่ครุ่นคิดอยู่นั้น สายตาทุกคู่ต่างก็จับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของหลู่เชียนสุ่ยด้วยแววตาสับสนงุนงง

  

มุมปากของหลู่เชียนสุ่ยกระตุกขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าเผยให้เห็นรอยยิ้มจางๆในขณะที่กล่าวออกไปว่า

 

“ผู้อาวุโสเซี่ยะ ข้ายังมีวิธีอื่นที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพโอสถได้มากกว่านี้ ท่านสนใจที่จะลองดูหรือไม่?”

 

   ขณะที่นางเอ่ยปากกล่าววาจาเหล่านั้นออกไป ความมั่นอกมั่นใจอย่างผู้เชี่ยวชาญด้านโอสถพลันปรากฏขึ้นในแววตาเป็นประกายของนาง

 

   ปรมาจารย์เซี่ยะนิ่งชะงักงันไปในทันใด ร่างของเขาเปลี่ยนเป็นแข็งทื่อไม่ต่างจากรูปปั้นหิน ก่อนจะแสดงความตื่นเต้นร้อนรนออกมาทางสีหน้า

 

   “สิ่งที่เจ้ากล่าวออกมาเมื่อครู่เป็นความจริงงั้นรึ?” แต่ในขณะที่เอ่ยปากกล่าวออกมาเช่นนั้น ปรมาจารย์เซี่ยะพลันคิดได้ว่านี่เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องนัก

 

   คิ้วทั้งสองของเขาขมวดเข้าหากันทันทีพร้อมเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกว่าไม่อยากจะเชื่อนัก

 

“แม่หนู ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นพวกฝึกยุทธ แต่เจ้าอายุยังน้อยเพียงแค่นี้ จะรู้เรื่องการหลอมโอสถได้มากมายเพียงใดกัน.. ไม่แน่ว่าคำพูดของเจ้าเมื่อครู่อาจไปได้ยินได้ฟังใครพูดมา แล้วจึงจำมาบอกกับข้าได้อย่างบังเอิญ หากเจ้าคิดจะมาหลอกลวงข้าแล้วล่ะก็ อย่าได้ฝันไปเลย!”

 

   แต่ทันใดนั้นเอง เสียงหัวเราะของชายหนุ่มผู้หนึ่งก็ดังขึ้นก่อนจะตามมาด้วยคำพูด “ฮ่า ฮ่า นักหลอมโอสถเซี่ยะ ครั้งนี้ท่านมองคนผิดไปมากเลยทีเดียว!”

 

สิ้นเสียงหัวเราะและคำพูดเหล่านั้น ก็ปรากฏร่างสองร่างค่อยๆ ย่างกรายเข้ามาภายในสมาคมนักหลอมโอสถ

 

หลังจากที่ผู้คนในสมาคมเห็นชายทั้งสองที่เดินเข้ามา ดวงตาของพวกเขาต่างหรี่ลงคล้ายไม่กล้าสบสายตา สีหน้าบ่งบอกถึงความเคารพอย่างมาก

  

หลู่เชียนสุ่ยสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากล จึงอดที่จะกวาดตาจ้องมองไปทางต้นเสียงมิได้ แต่ทันใดนั้นนางก็ตื่นตะลึงจนดวงตาคู่งามทั้งสองเบิกโพลง

 

เป็นบุรุษผู้นั้นรึ!

 

หนึ่งในสองคนที่เดินเข้ามานี้คือคนที่ดูดเลือดนางในครานั้น อีกทั้งยังทิ้งป้ายหยกไว้ให้นางเพื่อใช้ในยามเผชิญหน้ากับวิกฤติอีกด้วย หลู่เชียนสุ่ยยังจำได้ว่าบุรุษผู้นี้นามว่าตันไถ่หยวน!

 

เขายังคงแต่งกายด้วยชุดคลุมสีขาวเช่นเคย และสีหน้าท่าทางที่แสดงออกก็ยังคงเย็นชาไม่แยแสผู้คนประดุจปีศาจที่แสนโหดเหี้ยมเช่นเคย!

 

รูปลักษณะภายนอกสมบูรณ์ไร้ที่ติ แต่สัญลักษณ์สีเลือด ใบหน้าที่เย็นชาไร้ความรู้สึก และสายตาที่ดุดันนั้น ทำให้ผู้คนทั่วไปที่ได้พบเห็นต่างยำเกรงและหวาดกลัว3

 

ทุกครั้งที่หลู่เชียนสุ่ยพบเจอกับบุรุษผู้นี้ ความหวาดกลัวมักจะก่อตัวขึ้นภายในใจอย่างหาสาเหตุมิได้เสมอมา!

 

ดูเหมือนว่าชายหนุ่มผู้นี้ จะรับรู้ได้ถึงสายตาของหลู่เชียนสุ่ยที่กำลังจับจ้องมองตน เขาจึงเหลือบมองกลับด้วยแววตาเย็นชาไม่แยแสเช่นเคย สีหน้าของเขายังคงนิ่งเรียบไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ ประดุจกำลังมองก้อนหินก้อนกรวดเท่านั้น แต่ถึงกระนั้นสายตาของเขาก็ยังคงไม่เบือนหนีไปจากดวงหน้าของนางเช่นกัน และยังคงจับจ้องอยู่เช่นนั้นไม่วางตา

 

บุรุษเย็นชาดั่งปีศาจผู้นี้ทำราวกับว่าในสถานที่แห่งนี้มีหลู่เชียนสุ่ยเพียงคนเดียวเท่านั้น สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่ร่างของนางไม่เคลื่อนไปไหน 

 

ในขณะที่หลู่เชียนสุ่ยเองกลับเริ่มมีอาการแน่นหน้าอกหายใจไม่ออก คล้ายกับมีหุบเขาขนาดมหึมากดทับลงบนร่าง

 

และเวลานี้เหงื่อเย็นที่ผุดขึ้นกลางดวงหน้างดงามนั้น ก็เริ่มรินไหลหยดย้อยลงมาตามใบหน้า

 

            ในขณะนั้นเอง เสียงพูดก็เปล่งดังออกจากปากของบุรุษเย็นชา!

 

   “แม่สาวน้อย ข้าสนใจวิธีที่เจ้าบอกเมื่อครู่มาก! เจ้าพอจะมีเวลาว่างตามข้าไปยังห้องหลอมโอสถได้หรือไม่? พวกเราสองคนจะได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้กัน?”

 

เสียงของบุรุษผู้นี้ดังก้องชัดเจน ทำให้หลู่เชียนสุ่ยซึ่งตกอยู่ในภวังค์ชั่วขณะ ได้ฟื้นคืนสติขึ้นมาอีกครั้ง นางจ้องลึกลงไปในดวงตาเย็นชาของตันไถ่หยวนอย่างไม่เกรงกลัว จากนั้นจึงเหลือบมองไปทางบุรุษอีกคนที่ยืนอยู่ข้างกายเขา

 

บุรุษผู้นี้อยู่ในชุดคลุมเสีเขียว ใบหน้าหล่อเหลาหาที่ติไม่ได้นั้นจ้องมองมาที่นางด้วยแววตาอบอุ่น มุมปากของเขากระตุกขึ้นเล็กน้อยเป็นรอยยิ้มจางๆ

 

และแทบไม่ต้องเสียเวลาคาดเดาให้มากความ เพียงได้ยินผู้คนที่พากันกระซิบกระซาบกันว่า‘ท่านประธานจาง’ นางก็รู้ได้ทันทีว่า บุรุษหนุ่มคนนี้คือ จางเห่อ ประธานสมาคมนักหลอมโอสถแห่งเมืองชิงหยุนนั่นเอง

 

เมื่อหลู่เชียนสุ่ยได้ยินคำพูดท้าทายเช่นนั้น นางก็เร่งพยักหน้าตอบรับทันที

 

แต่ถึงกระนั้น ปรมาจารย์เซี่ยะผู้นี้กลับมีสีหน้าท่าทางที่ปราศจากความยินดีนัก เขาหันไปมองจางเห่อด้วยความประหลาดใจพร้อมเอ่ยขึ้นว่า

 

“ท่านประธานสมาคม หญิงสาวผู้นี้นางมาที่นี่เพื่อต้องการที่จะสร้างปัญหาเท่านั้น ความจริงแล้วนางไร้ซึ่งปัญญา! ไฉนเลยจะรู้เรื่อง...”

 

“นักหลอมโอสถเซี่ยะ”

 

จางเห่อคลี่ยิ้มบางขณะที่เอ่ยขัดขึ้น จากนั้นเขาจึงหยิบเอากระดาษแผ่นหนึ่งที่มีข้อความบางอย่างขึ้นและส่งให้อีกฝ่ายพร้อมกล่าวว่า

 

“ข้าได้ยินสิ่งที่แม่นางผู้นี้กล่าวก่อนหน้าทั้งหมดแล้ว กระดาษแผ่นนี้ได้เขียนอธิบายจุดบกพร่องของเจ้าที่ข้าพบเมื่อวานในขณะที่เจ้าหลอมกลั่นโอสถนั่นอยู่”

 

   “เจ้าลองอ่านดูให้ละเอียดแล้วเปรียบกับกับสิ่งที่นางกล่าวดูว่า ตรงกับที่ข้าเขียนไว้หรือไม่?”

  

รีวิวผู้อ่าน