ตอนที่ 28 : เล่นตลก
แม้ว่าทุกคนที่อยู่ในห้องหลอมโอสถต่างก็ยืนตกตะลึงกับการกระทำของหลู่เชียนสุ่ย!
แต่ตันไถ่หยวนกับยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ความรู้สึกต่อทุกการกระทำของหลู่เชียนสุ่ย ระหว่างที่จ้องมองนางนั้น ในแววตาของเขาก็ไม่ปรากฏร่องรอยของอารมณ์ความรู้สึกใดเลยแม้แต่น้อย
สายตาทั้งคู่ของบุรุษผู้นี้ไม่ต่างจากทะเลสาบที่เยือกเย็น ซึ่งไม่เคยมีคลื่นกระเพื่อมปรากฏให้เห็นเลยแม้แต่ครั้งเดียว นั่นเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าทะเลสาบแห่งนั้นลึกล้ำไร้ที่สิ้นสุด
มีเพียงเรือนร่างของหลู่เชียนสุ่ยเท่านั้นที่สะท้อนอยู่ในดวงตาทั้งสองข้างของเขา..
“อะแฮ่ม!”
ประธานจางแห่งสมาคมหลอมโอสถไม่อาจทนนิ่งเฉยต่อไปได้อีก เขาจึงแสร้งทำเป็นกระแอมเสียงดังออกมา
แล้วเสียงกระแอมของประธานจางนั่นเอง ที่ได้ปลุกหลู่เชียนสุ่ยให้รู้สึกตัวและตื่นจากภวังค์แห่งความแค้น จนสติสัมปชัญญะกลับของตนกลับคืนมา
ทันทีที่รู้สึกตัว หลู่เชียนสุ่ยก็รีบเงยหน้าขึ้นมองตันไถ่หยวนทันที แต่นางกลับพบว่าเขายังคงมีสีหน้าท่าทางสงบนิ่งเหมือนเช่นเคย!
บุรุษผู้นี้มิได้มีท่าทีอับอายหรือว่าโกรธเกรี้ยวอย่างที่นางคาดหวังเลยแม้แต่น้อย เหตุใดเขาจึงยังสงบนิ่งอยู่เช่นนี้ได้?
เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไรกัน? นี่เขาไม่รู้จักอับอายบ้างหรือ?
หรือว่าใบหน้าของเขาเป็นอัมพฤกษ์ไร้ความรู้สึก? ไม่เช่นนั้นแล้วเหตุใดสีหน้าของเขาจึงไม่เปลี่ยนแปลงไปบ้างเลยเมื่อถูกทำให้อับอายต่อหน้าผู้คนเช่นนี้?
นางต้องการที่จะแก้แค้นบุรุษผู้นี้ด้วยการทำให้เขาได้รับความอัปยศเหมือนที่นางได้รับ แต่กลับกลายเป็นว่าไม่เพียงนางไม่สามารถแก้แค้นบุรุษผู้นี้ได้ แต่ดูเหมือนตัวนางเองที่กำลังโกรธเกรี้ยวกับความเย็นชาไร้ความรู้สึกของเขา
น่าเบื่อชะมัดเลย!
หลู่เชียนสุ่ยขมวดคิ้วแน่น นางปล่อยร่างของตันไถ่หยวน แล้วก้าวเท้าถอยหลังออกมาสองสามก้าว จากนั้นจึงมองเขาด้วยแววตาที่ไม่พอใจพร้อมกับร้องตะโกนออกไป
“เจ้าทำให้ข้าไม่พอใจ!”
ตันไถ่หยวนยังคงยืนด้วยสีหน้าท่าทางสงบนิ่งเช่นเคย
“เพราะฉะนั้น ข้าก็จะทำให้เจ้าไม่พอใจเช่นกัน!”
หลู่เชียนสุ่ยเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับพึมพำเสียงเบาออกมา “เมื่อครู่เจ้าถามข้าว่า ข้ารู้จักโอสถทลายผนึกหรือไม่? ข้าจะตอบเจ้าให้ก็ได้ว่า.. ข้ารู้!”
หลังจากพูดออกไปแล้ว ใบหน้าของหลู่เชียนสุ่ยก็เปลี่ยนเป็นบึ้งตึงสลับกับยิ้มแย้ม ราวกับว่านางกำลังเล่นเกมเปลี่ยนใบหน้าอยู่
ดวงตารูปพระจันทร์เสี้ยวและริมฝีปากสีชมพูระเรื่อราวกลีบดอกไม้นั้น ประกอบกันเป็นรอยยิ้มที่งดงามราวกับดอกไม้นับร้อยที่กำลังเบ่งบานอยู่บนดวงหน้าได้รูปของนาง
แม้แต่ตันไถ่หยวนผู้เย็นชาเมื่อได้จ้องมองรอยยิ้มที่งดงามสดใสนั้น ก็ยังถึงกับตกอยู่ในภวังค์แน่นิ่งไปชั่วขณะ
มุมปากของหญิงสาวโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มพร้อมเอ่ยออกมาอย่างมีความสุข “เอาล่ะ ในเมื่อข้าตอบคำถามของเจ้าไปแล้ว ถ้าเช่นนั้นข้าขอตัวก่อน!”
เมื่อได้ยินหญิงสาวตอบบุรุษใบหน้าเย็นชากลับไปเช่นนั้น ทุกคนต่างก็ยืนนิ่งด้วยความตกตะลึง ก่อนหน้าที่ตันไถ่หยวนถามหลู่เชียนสุ่ยว่านางรู้เรื่องโอสถทลายผนึกหรือไม่นั้น ย่อมเป็นที่เข้าใจกันดีว่าเขาตั้งใจที่จะถามถึงลักษณะเฉพาะเกี่ยวกับโอสถต่างหาก..
และเมื่อหลู่เชียนสุ่ยเสนอเงื่อนไขไปเช่นนั้น ทุกคนในที่นี้ต่างก็เข้าใจว่าหลังจากที่ตันไถ่หยวนยอมทำตามเงื่อนไขของนาง หลู่เชียนสุ่ยก็จะยอมบอกทุกอย่างเกี่ยวกับโอสถทลายผนึกให้กับเขา
แต่ในความเป็นจริงนั้น..
หลู่เชียนสุ่ยกลับกำลังหยอกล้อเล่นสนุกกับตันไถ่หยวนราวกับเขาเป็นตัวตลก!
หลังจากที่ตันไถ่หยวนยอมทำตามข้อเสนอของนางแล้ว หลู่เชียนสุ่ยกลับตอบแค่ว่านางรู้เรื่องโอสถทลายผนึกตามที่เขาตั้งคำถาม และนั่นนับว่านางได้ตอบคำถามของตันไถ่หยวนไปแล้ว
แต่นางกลับไม่บอกเล่าข้อมูลเกี่ยวกับโอสถทลายผนึกให้ตันไถ่หยวนรู้เลยแม้แต่น้อย..
หญิงสาวผู้นี้ช่างเหลือกเกินจริงๆ!
เหล่านักหลอมโอสถต่างก็ได้แต่ยืนนิ่งพูดอะไรไม่ออก
จากนั้น ทุกคนก็ได้แต่แอบคิดอยู่ในใจเงียบๆว่า หรือเป็นเพราะว่าบุรุษผู้มีท่าทีเยือกเย็นนี้ มิได้ตอบสนองท่าทีสนิทสนมใกล้ชิดที่นางทำลงไปเมื่อครู่ ทำให้นางสูญเสียความภาคภูมิใจแห่งอิสตรี? และรู้สึกอับอายอย่างมากจนเกิดเป็นความอัปยศ? นางจึงเปลี่ยนใจมิยอมบอกเล่าสิ่งที่ชายหนุ่มอยากรู้
และหากเป็นเช่นนี้จริง ตันไถ่หยวนก็ได้พ่ายแพ้เสียหน้าให้แก่แม่นางผู้นี้อย่างมากทีเดียว!
แต่ก่อนหน้านี้ตันไถ่หยวนก็ดูคล้ายจ้องมองนางด้วยสายตาแห่งชายชาตรีมิใช่รึ? แล้วเหตุใดยังต้องแข็งขืนเย็นชากับนางเมื่อครู่ด้วยเล่า? ช่างน่าสับสนแล้วก็งุนงงยิ่งนัก
เหล่านักหลอมโอสถต่างก็จ้องมองไปทางตันไถ่หยวนด้วยแววตาประหลาดใจและเห็นใจ
ตันไถ่หยวนผู้มีใบหน้าสงบนิ่งไร้อารมณ์ความรู้สึก เวลานี้ีสีหน้าของเขากลับยิ่งเย็นชากว่าเดิมมาก ระหว่างที่หลู่เชียนสุ่ยกำลังจะก้าวออกไปนั้น ในที่สุดร่างของตันไถ่หยวนก็ขยับเคลื่อนไหว
ร่างขาวราวหิมะของตันไถ่หยวนนั้นเคลื่อนที่ด้วยความรวดเร็ว เพียงแค่พริบตาเดียวก็ไปยืนอยู่ต่อหน้าหลู่เชียนสุ่ยด้วยเสื้อผ้าที่เป็นระเบียบเรียบร้อยดังเดิม
หลู่เชียนสุ่ยสัมผัสได้ถึงเสน่ห์และแรงดึงดูดรุนแรงที่แผ่ออกมาจากร่างของชายหนุ่ม และเมื่อฝีเท้าของเขาหยุดลง นางก็ถึงกับใจสั่นด้วยความตื่นเต้นและร้องตะโกนถามออกไปทันที
“เจ้าต้องการอะไร? ข้าทำตามข้อตกลงระหว่างเราแล้ว เจ้าจะคิดแก้แค้นข้าไม่ได้!”
ตันไถ่หยวนจ้องมองหลู่เชียนสู่ด้วยแววตาที่ปราศจากความรู้สึก
จู่ๆเขาก็ยกมือขึ้น และใช้มือข้างหน้าหนึ่งค่อยๆพับแขนเสื้อขึ้นอย่างช้าๆ จากนั้นจึงยื่นแขนข้างที่พับแขนเสื้อไปที่ริมฝีหากบอบบางของหลี่เชียนสุ่ย
เขาออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชา “กัด!”
หลู่เชียนสุ่ยถึงกับตกตะลึง ดวงตากลมโตของนางเบิกโพลงด้วยความงุนงง
น้ำเสียงเย็นชาของตันไถ่หยวนบ่งบอกว่าเริ่มหมดความอดทน “จากนั้นก็บอกสูตรยาข้ามา!”
ตอนที่ 29 : ลุงสอง ท่านต้องแก้แค้นให้ข้า
หลู่เชียนสุ่ยเข้าใจได้ทันทีว่าตันไถ่หยวนหมายความเช่นใด นางถึงกับระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังสนั่นหวั่นไหว
นางจ้องมองตันไถ่หยวนพร้อมกับล้อเลียนว่า “เชอะ ตันไถ่หยวน นี่เจ้าคิดว่าเจ้ามีรูปทองหรืออย่างไรกัน? คิดว่าข้าได้กับเจ้าแล้วข้าจะมีความสุขงั้นรึ?”
ระหว่างที่พูดนั้น หลู่เชียนสุ่ยก็ส่ายหน้าไปมาพร้อมกับก้าวเท้าเดินต่อไป
ตันไถ่หยวนผู้ปกติมีใบหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก เวลานี้คิ้วของเขาเริ่มขมวดเข้าหากัน
ในเวลาเดียวกันรังสีอำมหิตและกลิ่นอายสังหารจากร่างของเขา ก็ได้พวยพุ่งถาโถมเข้าใส่ร่างของหลู่เชียนสุ่ยราวกับกระแสนน้ำสายใหญ่
แรงกดดันมหาศาลและรังสีอำมหิตที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างของตันไถ่หยวนนั้น ทำให้เหล่านักหลอมโอสถต่างมีสีหน้าหวาดผวา เวลานี้ทุกคนต่างไม่กล้าลืมตามองภาพที่อยู่ตรงหน้า เพราะไม่รู้ว่าภายใต้กลิ่นอายสังหารที่รุนแรงนี้ หากเกิดการฆ่าฟันกันขึ้นมาจริงๆ พวกเขาจะสามารถหลบหนีได้หรือไม่
แต่ถึงกระนั้น..
หลู่เชียนสุ่ยที่เผชิญหน้ากับแรงกดดันและรังสีอำมหิตนั้น กลับกัดฟันกรอดพร้อมกำหมัดแน่นและพยายามที่จะสงบสติอารมณ์ให้ได้มากที่สุด นางเอ่ยปากถามออกไปด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“นี่เจ้าคิดจะสังหารข้างั้นรึ?”
ดวงตาของนางหรี่ลงเล็กน้อย แล้วจึงกล่าวต่อว่า “หากคิดจะฆ่าข้า ก็จงไตร่ตรองให้รอบคอบ ความรู้เรื่องโอสถทลายผนึกนี้ได้หายสาบสูญไปนานหลายปีแล้ว มันได้กลายเป็นเพียงตำนานของดินแดนฉวนเทียนไปแล้วเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยหากเจ้าจะหาผู้ใดมีความรู้เรื่องโอสถทลายผนึกในผืนแผ่นดินนี้ได้อีก”
“…”
พวกเขาทั้งคู่
ต่างฝ่ายต่างก็ไม่มีผู้ใดยอมอ่อนข้า
จากนั้นทั้งคู่ต่างก็ยืนประจันหน้ากันนิ่งเงียบไม่พูดไม่จาอยู่เช่นนั้น
ความก้าวร้าวเย็นชาไม่ยอมแพ้กันของคนทั้งคู่ ทำให้เหล่านักหลอมโอสถที่อยู่ในห้องต่างพากันเหงื่อตกกันถ้วนหน้า แต่ก็นับว่าในบรรดาผู้คนที่อยู่ในห้องนี้ทั้งหมด ไม่มีผู้ใดสงบนิ่งและเย็นชาได้เท่าหญิงชายคู่นี้อีกแล้ว
จนกระทั่งผ่านไปครู่หนึ่ง
รังสีอำมหิตและกลิ่นอายสังหารก็ค่อยๆจางหายไป
“วันหนึ่ง..” น้ำเสียงเย็นชาของชายหนุ่มที่บ่งบอกถึงความมั่นใจดังขึ้นอีกครั้ง “เจ้าจะต้องบอกแก่ข้า!”
นับตั้งแต่นาทีที่เขาพบนางในครั้งนั้น ชะตาของพวกเขาทั้งคู่ก็ได้ผูกพันเข้าด้วยกันแล้ว..3
นางจักต้องอยู่ภายใต้อาณัติการควบคุมของเขา
แต่เป็นเขาที่เต็มไปด้วยความรังเกียจ!
หลู่เชียนสุ่ยได้ฟังถึงกับรู้สึกสับสนเล็กน้อย บุรุษผู้นี้แตกต่างจากที่นางจินตนาการและคาดคิดไว้มาก แม้เขาจะมีท่าทีเย็นชา ก้าวร้าว ยะโสโอหัง แต่ก็เป็นผู้ที่มีกฏเกณฑ์และหลักการของตัวเอง ซึ่งนับว่าหาได้ยากนัก
แม้ว่าเมื่อครู่แม้เขาจะโกรธนางมากจนถึงกับต้องการเข่นฆ่า แต่นางก็เริ่มที่จะรู้สึกชื่นชมเขาขึ้นมาบ้างเล็กน้อย
หลู่เชียนสุ่ยสบตาตันไถ่หยวนพร้อมตอบกลับไปว่า “ก็อาจจะเป็นเช่นนั้น! ลาก่อน!”
และดูเหมือนความขุ่นเคืองบาดหมางของทั้งคู่ก็ได้ยุติลงในขณะนั้น
“แม่นางหลู่ ข้าอาสาไปส่งเจ้าเอง!”
การที่หลู่เชียนสุ่ยยังคงสามารถต้านทานแรงกดดันของตันไถ่หยวน และยืนหยัดเจรจากับเขาด้วยท่าทีที่สงบนิ่งท่ามกลางรังสีสังหารรุนแรงเช่นนี้ได้ ทำให้จางเห่ออดที่จะชื่นชมนางไม่ได้ จึงอาสาเดินออกไปส่งนางด้วยตัวเอง
“ตามแต่ท่าน” หลู่เชียนสุ่ยไม่เอ่ยปฏิเสธ แต่ก็ไม่ตอบรับ
ทันทีที่จางเห่อออกปากอาสาไปส่งหลู่เชียนสุ่ย นักหลอมโอสถที่เหลือภายในห้องต่างพากันยกมือขึ้นปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก พร้อมกับเดินตามออกไปด้วยโล่งใจ
แต่ในเวลานั้นกลับไม่มีผู้ใดทันสังเกตเห็นว่า เวลานี้ตันไถ่หยวนได้หายไปจากห้องแล้ว
หลู่เชียนสุ่ยเดินไปถึงด้านหน้าของสมาคม ประธานจางเห่อเดินตามหลังนางออกไป โดยมีเหล่านักหลอมโอสถคนอื่นๆเดินตามออกมาเงียบๆ
และเมื่อกลุ่มคนทั้งหมดก้าวออกมาจากด้านหลัง ก็เป็นที่ดึงดูดสายตาของผู้คนมากมายที่อยู่ภายในห้องโถง
หลังจากที่รอคอยอยู่นานจนเริ่มเบื่อหน่าย ในที่สุดหลู่เซียวเซียวก็เห็นหลู่เชียนสุ่ยเดินออกมาเสียที ดวงตาของนางเป็นประกายขึ้นมาทันที แต่เมื่อเห็นบรรดาเหล่านักหลอมโอสถเดินตามหลังมาจำนวนมาก นางก็ถึงกับยืนอ้าปากค้าด้วยความตกตะลึง
หลู่เชียนสุ่ยเดินตรงเข้าไปหาหลู่เซียวเซียว จากนั้นจึงยืนขวดที่ทำจากดินเผาในมือให้กับนาง “นี่คือโอสถที่ข้ารับปากว่าจะหาให้เจ้า!”
ใบหน้าที่บึ้งตึงของหลู่เซียวเซียวเปลี่ยนเป็นปิติยินดี หลังจากที่ได้สตินางจึงรีบจัดการเปิดฝาขวดออก แล้วกลิ่นสมุนไพรรุนแรงก็ฟุ้งกระจายออกมาทันที นางรีบเงยหน้าขึ้นมองหลู่เชียนสุ่ยด้วยความตื่นเต้นดีใจ
“ในที่สุดเจ้าก็ได้โอสถมาจริงๆด้วย! เจ้าได้มาได้อย่างไร...”
ระหว่างที่หลู่เซียวเซียวกำลังเอ่ยปากถามออกนั้น จู่ๆ..
“ลุงสอง!!!”
เสียงร้องตะโกนดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้งห้องโถงใหญ่
ซูหยางห่าวที่เพิ่งจะถูกหลู่เชียนสุ่ยตบหน้าจนบวมราวกับหัวหมูนั้น พุ่งเข้ามาภายในห้องโถงอย่างรวดเร็ว เขาจับแขนเสื้อของนักหลอมโอสถระดับสองซูเต๋อกังไว้แน่น พร้อมกับร้องตะโกนบอกเสียงดัง
“ลุงสอง ท่านต้องจัดการแก้แค้นให้กับข้าด้วย!”
ซูเต๋อกังเห็นชายหนุ่มผู้มีใบหน้าบวมเป็นหัวหมูกระโจนเข้าใส่ตนเช่นนั้น ก็ได้แต่นึกรังเกียจจนต้องร้องตะโกนถามออกไป
“เจ้าเป็นใครกัน? เหตุใดจึงมาเรียกข้าลุงสอง!”
ซูหยางห่าวหน้าบวมเปล่งเช่นนี้ ต่อให้เป็นแม่ของเขาเอง ก็คงจำลูกชายตัวเองไม่ได้แน่ จึงแทบไม่ต้องพูดถึงซูเต๋อกัง
สหายชั่วช้าของซูหมิงห่าวรีบระงับความตื่นเต้นดีใจกับการมาของซูเต๋อกัง แล้วรีบตอบกลับไปด้วยท่าทางนอบน้อม
“นักหลอมโอสถซู เขาเป็นหลานของท่านเอง ซูหยางห่าว!”