ตอนที่ 30 : ฝันไปใช่หรือไม่?
“อะไรนะ? หยางห่าวรึ?”
หลังจากที่หายตระหนกตกใจ ซูเต๋อคังก็เปลี่ยนมาเป็นเดือดดาลทันที เขาร้องตะโกนถามออกไปเสียงดัง
“บอกข้ามาว่ามันเกิดอะไรขึ้น? เหตุใดเจ้าจึงมีสภาพเช่นนี้?”
“ลุงสอง ข้าถูกคนชั่วทำร้าย! แม้มันจะรู้ว่าข้าเป็นหลานชายของท่านลุงสอง แต่มันก็ยังทำร้ายข้าต่อหน้าทุกคนที่นี่… นางไม่เห็นท่านลุงอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย!”
ซูหยางห่าวรีบฟ้องลุงของตนทันที เขาเล่าเหตุการณ์ด้วยความโกรธแค้น แต่เพราะฟันในปากถูกหลู่เชียนสุ่ยตบจนร่วง เขาจึงพูดจาไม่ชัดถ้อยชัดคำนัก และน้ำเสียงก็สั่นเทา
เมื่อได้ฟังหลานชายเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟัง ใบหน้าของซูเต๋อคังก็เปลี่ยนเป็นขมึงทึงทันที เขาปลอบหลานชายพร้อมกับประกาศกร้าวว่า
“หยางห่าว เจ้าอย่าได้กังวลไป! ไม่ว่าใครก็ตามที่ทำร้ายเจ้าจนมีสภาพเช่นนี้ ข้าจะไม่ปล่อยมันไว้แน่! เจ้าคอยดู ข้าจะจัดการแก้แค้นให้กับเจ้าเดี๋ยวนี้!”
หลังจากพูดจบ ซูเต๋อคังก็หันไปมองหน้าทุกๆคนที่อยู่ในห้องโถง พร้อมประกาศกร้าวด้วยน้ำเสียงและท่าทางที่ทรงอำนาจ
“ผู้ใดบังอาจทำร้ายหลานชายของข้า? จงก้าวเท้าออกมาข้าหน้าเดี๋ยวนี้!”
และทันทีที่หลู่เชียนสุ่ยซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่งได้ยินคำประกาศของซูเต๋อคัง นางจึงก้าวเท้าเดินออกมาด้านหน้าอย่างไม่ลังเล พร้อมกับเอ่ยวาจาออกมาด้วยสีหน้านิ่งเรียบ
“เป็นฝีมือของข้าเอง!”
ซูเต๋อคังหันมองไปยังต้นเสียงทันที ในขณะเดียวกันนั้นซูหยางห่าวก็รีบยกมือขึ้นชี้หน้าหลู่เชียนสุ่ย พร้อมกับร้องตะโกนบอกกับลุงของเขาเสียงดัง
“ท่านลุงสอง เป็นนาง! นางผู้นี้คือคนชั่วช้าที่ตบหน้าข้าเมื่อครู่!”
ทันทีที่เห็นว่าเป็นหลู่เชียนสุ่ย สีหน้าของซูเต๋อคังถึงกับเปลี่ยนไปทันที เขายืนแน่นิ่งไปชั่วขณะ
เมื่อเห็นเช่นนั้น ผู้คนในห้องโถงต่างพากันซุบซิบกันอีกครั้ง “นักหลอมโอสถซูไม่เพียงเป็นนักหลอมโอสถระดับสองเท่านั้น แต่เขายังเป็นผู้ฝึกวรยุทธอีกด้วย คนเช่นหลู่เชียนสุ่ยใช่จะสามารถต่อกรกับเขาได้ง่ายๆ ข้าว่าครั้งนี้แม่นางผู้นี้คงจะไม่รอดแน่ อาจต้องจบชีวิตที่นี่แล้ว!”
“ตระกูลซูมักจะจัดการกับผู้ที่ไปหาเรื่องพวกเขาด้วยวิธีการที่เหี้ยมโหด ในเมืองชิงหยุนนี้ ผู้ที่ไปมีเรื่องกับตระกูลซูไม่เคยมีผู้ใดลงเอยด้วยดีเลยแม้แต่คนเดียว ครั้งนี้หลู่เชียนสุ่ยกำลังเผชิญกับปัญหาใหญ่แล้ว และครั้งนี้นางคงยากที่จะก้าวออกไปจากที่นี่ได้..”
“ทั้งตระกูลซูและตำหนักเจ้าเมืองล้วนแล้วแต่เป็นกลุ่มผู้ทรงอำนาจในเมืองชิงหยุนทั้งคู่ ท่านซูเองก็เป็นถึงนักหลอมโอสถระดับสองของสมาคมแห่งนี้ ข้าคิดว่าคนของตำหนักเจ้าเมืองคงไม่มีผู้ใดกล้าออกหน้าปกป้องแม่นางหลู่ผู้นี้แน่!”
หลู่เซียวเซียวเห็นสถานการณ์เริ่มไม่ดี นางจึงรีบตรงเข้าไปคว้าแขนของหลู่เชียนสุ่ยไว้พร้อมกับร้องบอกด้วยความกระวนกระวายใจ
“เชียนสุ่ย พวกเรารีบหนีก่อนเร็วเข้า! ต่อให้ฝ่ายเรามีสิบคน ก็ยังหาใช่คู่ต่อสู้ของนักหลอมโอสถซูผู้นี้ไม่ รีบหนีกันก่อน...”
ใช่ว่าหลู่เซียวเซียวจะคิดเช่นนั้นเพียงผู้เดียว ทุกคนที่อยู่ในห้องโถงต่างก็คิดเช่นนี้เหมือนกันหมด
แต่ในระหว่างที่ทุกคนกำลังซุบซิบวิจารณ์กันอยู่นั้น ซูเต๋อคังก็เริ่มเคลื่อนไหว
เพียะ!
สิ่งที่ซูเต๋อคังลงมือนั้นเหนือความคาดหมายของทุกคนยิ่งนัก ไม่มีใครคาดคิดว่าซูเต๋อคังจะตัดสินใจทำเช่นนี้ เขาไม่ได้จัดการกับหลู่เชียนสุ่ยอย่างที่ทุกคนหวาดกลัว
แต่.. เขาเดินเข้าไปตบหน้าหลานชายตัวเองอย่างแรง ซูหยางห่าวที่มีสีหน้าดีอกดีใจและมีความสุขอย่างมากนั้น เวลานี้ถูกซูเต๋อคังตบจนร่างกระเด็นออกไปไกล
ซูเต๋อคังออกแรงตบค่อนข้างรุนแรง จนซูหยางห่าวที่กำลังงุนงงไม่เข้าใจว่าเป็นเพราะเหตุใดตนจึงถูกตบหน้านั้น ก็ถึงกับน้ำตาไหลพร่างพรูอาบหน้า และจ้องมองซูเต๋อคังอย่างไม่อยากจะเชื่อว่ามันคือเรื่องจริง
ทุกคนในที่นั้นต่างก็ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าไม่เพียงซูเต๋อคังไม่ชำระแค้นให้หลานชาย มิหนำซ้ำยังตบหน้าเขาด้วย แต่เวลานี้สิ่งที่ไม่น่าเชื่อก็ปรากฏขึ้นต่อสายตาทุกคนอีกครั้ง ซูเต๋อคังกระโดดตามร่างของหลานชายที่ลอยกระเด็นออกไป จากนั้นจึงยกเท้าขึ้นเตะไปที่ร่างของซูหยางหมิงอีกหลายครั้ง ระหว่างที่เตะนั้นก็ร้องตะโกนด่าซูหยางห่าวไปด้วย
“เจ้าหลานชั่ว! ใครสั่งสอนให้เจ้าเที่ยวระรานและรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่าเช่นนี้! เจ้าข่มเหงผู้อื่นยังไม่พอ แต่ยังกล้าเอาชื่อเสียงของข้าไปแอบอ้างทำเรื่องต่ำช้าเช่นนี้อีก..”
ซูหยางห่าวทั้งตกใจและเดือดดาลที่ถูกลุงของเขาทุบตีเช่นนี้ และถึงกับเป็นลมหมดสติไปโดยที่ยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดลุงสองของเขาจึงได้เปลี่ยนมาปฏิบัติต่อเขาเยี่ยงนี้..
ซูหมิงห่าวเป็นลมจากความตกใจและความรู้สึกขุ่นเคืองที่เขาได้รับจากการถูกตี! เขาล้มลงหมดสติ เขาไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าทำไมลุงคนที่สองของเขาถึงปฏิบัติกับเขาแบบนี้ ...
ภาพที่ดุร้ายรุนแรงเช่นนั้น ทำให้ทุกคนที่อยู่โดยรอบถึงกับตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
หรือนักหลอมโอสถซูกินยาผิดไปงั้นรึ?
เป็นเขาเองไม่ใช่รึที่ประกาศว่าจะแก้แค้นให้กับซูหยางห่าว?
แล้วเหตุใดเขาจึงไม่จัดการกับหลู่เชียนสุ่ย แต่กลับทำร้ายซูหยางห่าวอย่างรุนแรงแทน?
สหายชั่วของซูหยางห่าวที่่เห็นเหตุการณ์ถึงกับร้องตะโกนออกมาด้วยความตกใจ “อาวุโสซู…”
แต่ยังไม่ทันที่สหายชั่วของซูหยางห่าวจะได้พูดจบประโยค เพียงแค่อ้าปากพูดได้เท่านั้น เขาก็ถูกซูเต๋อคังสั่งสอน จากนั้นจึงตะโกนก้องว่า
“คงจะเป็นเพื่อนชั่วอย่างพวกเจ้าสินะ ที่ชักชวนหยางห่าวให้ทำเรื่องสกปรกชั่วช้าเช่นนี้? ”
“…..”
เมื่อทุกคนเห็นท่าทีเช่นนี้ของซูเต๋อคัง ทุกคนก็ได้แต่นิ่งเงียบพูดไม่ออก หลู่เซียวเซียวจับแขนของหลู่เชียนสุ่ยเขย่าพร้อมกับร้องออกมาอย่างดีอกดีใจ
“คนผู้นี้น่าสนใจยิ่งนัก!”
จากนั้นนางก็หัวเราะสักพักนางก็สงบสติอารมณ์ แล้วจึงหันไปบอกกับหลู่เชียนสุ่ย
“พวกเรากลับกันดีกว่า!”
แต่เพียงแค่หญิงสาวทั้งสองก้าวเดินออกไปได้ไม่กี่ก้าว ซูเต๋อคังที่จับตามองพวกนางอยู่ก็ก้าวออกไปขวางหน้าไว้ พร้อมกับประสานมือโน้มกายลงเล็กน้อย แล้วเอ่ยขอขมาต่อหลู่เชียนสุ่ย
“แม่นางหลู่ อภัยให้ข้าด้วย! หลานชายของข้าจงใจหาเรื่องแม่นางเช่นนี้ เป็นเพราะเขาถูกเลี้ยงดูมาอย่างตามอกตามใจ..”
เมื่อทุกคนได้เห็นซูเต๋อคังเป็นฝ่ายเอ่ยขอขมาหลู่เชียนสุ่ยเช่นนี้ ทุกคนต่างก็รู้สึกงุนงงไปตามๆกัน
ทั้งสองคนนั้น..
คนหนึ่งเป็นถึงอาวุโสของตระกูลซูซึ่งเป็นหนึ่งในสามตระกูลผู้ทรงอำนาจในเมืองนี้ อีกทั้งยังเป็นถึงนักหลอมโอสถระดับสองของสมาคมหลอมโอสถแห่งนี้ด้วย
ในขณะที่อีกผู้หนึ่งคือคนที่ไร้ชื่อเสียงไม่มีผู้ใดรู้จัก อีกทั้งยังถูกขนานามว่าขยะไร้ประโยชน์!
ฐานะของพวกเขาทั้งสองคนต่างกันราวฟ้ากับนรก แต่นักหลอมโอสถซูที่ใครๆต่างก็ให้ความเคารพนับถือ กำลังขอขมาหลู่เชียนสุ่ยซึ่งเป็นเพียงแค่ขยะชิ้นหนึ่งอยู่!
นี่คงต้องเป็นเรื่องฝันไปอย่างแน่นอน เฮ้อ!
ตอนที่31 ต้อนรับท่านเจ้าเมือง?
คล้อยหลังได้ยินซูเต๋อคังกล่าวขอโทษขอโพย หลู่เชียนสุ่ยหาได้แสดงความกังวลอันใดไม่ นางเอ่ยกล่าวอย่างใจเย็นว่า
“ในเมื่อท่านเองก็ตระหนักดีว่า สาเหตุที่เขากลายเป็นคนเกกมะเหรกเกเรเช่นนี้เพราะไม่ได้รับการอบรมมาดีเท่าที่ควร เช่นนั้นแล้วก็ควรกักบริเวณเขาให้อยู่แต่ในตำหนัก อย่าได้ปล่อยออกไปก่อความวุ่นวายให้ผู้คนอีก หลังจากอบรมจนมั่นใจแล้วว่าเขาจะไม่ออกมาสร้างปัญหาให้กับผู้อื่นอีก จึงค่อยปล่อยออกมา”
ขณะที่นางกล่าวาจายืดยาวนั้น หลู่เชียนสุ่ยก็นิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะกล่าวต่อว่า
“หากให้ข้าเห็นว่าเขาทำกิริยาน่ารังเกียจต่ออิสตรีอีกเมื่อใด ครั้งหน้าเหตุการณ์คงจะไม่จบลงแค่ตบหน้าสั่งสอนเบาๆเช่นวันนี้แน่”
นี่นางหาญกล้ากล่าววาจาตำหนินักหลอมโอสถซูเช่นนี้เชียวรึ?
ทุกคนต่างพากันหายใจอย่างระมัดระวังพร้อมกับรู้สึกเย็นวาบที่แผ่นหลังไปด้วย
กระนั้นเอง ซูเต๋อคังกลับโน้มศรีษะลงให้กับหลู่เชียนสุ่ยอย่างไม่ถือตัว และเป็นเรื่องที่ใครก็คาดไม่ถึง
“ถูกต้องแล้ว แม่นางหลู่กล่าวตักเตือนได้ถูกต้อง! ข้าจะจดจำคำสั่งสอนของแม่นางให้ขึ้นใจ”
หลู่เชียนสุ่ยมีภูมิความรู้ด้านโอสถที่ลึกซึ้งเกินหยั่งถึงเพียงนี้ ย่อมหมายความว่าท่านอาจารย์ของนางจักต้องเป็นนักหลอมโอสถระดับสูงยิ่งคนหนึ่ง คงเป็นเรื่องโง่ที่สุดในชีวิตหากเขายังกล้าทำตัวหยิ่งผยองอวดดีต่อหน้านางอีก
ในทางตรงข้าม หากเขาสามารถผูกสัมพันธไมตรีกับนางให้แน่นแฟ้นกว่านี้ได้ ในภายภาคหน้านางอาจเมตตาชี้แนะแลกเปลี่ยนความรู้เรื่องโอสถให้เขาอีกสักสองหรือสามเรื่องก็เป็นได้...
“ไม่ต้องไปส่งข้าแล้ว ขอลาท่านตรงนี้!”
หลู่เชียนสุ่ยเองก็มิอยากก่อปัญหาให้ซูเต๋อคังเช่นกัน ดังนั้นนางจึงรีบเอ่ยปากขอตัวลากลับทันทีที่เสร็จสิ้นเรื่องราว
จางเห่อนิ่งชะงักค้างท่ามกลางเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ครู่หใญ่ ก่อนร่วนหัวเราะพร้อมเอ่ยตอบไปว่า
“ถนอมตัว!”
เป็นอีกครั้งที่หลู่เชียนสุ่ยได้สร้างความตื่นตกใจแก่ทุกคนในที่นี้ แม้แต่ท่านประธานจางเห่อแห่งสมาคมนักหลอมโอสถ ยังถึงกับออกมาพร้อมกับนักหลอมโอสถกลุ่มใหญ่เพื่อมาส่งหลู่เชียนสุ่ยกลับงั้นรึ?
นี่มันเรื่องจริงรึนี?
หลู่เชียนสุ่ยผู้นี้เป็นเทพเซียนหรืออย่างไร?
ทุกคนต่างเฝ้ามองหลู่เชียนสุ่ยที่เดินจากไปด้วยความฉงนใจสุดขีด
เมื่ออกจากสมาคมหลอมโอสถแล้ว หลู่เชียวสุ่ยและหลู่เซียวเซียวต่างก็ตรงกลับไปยังตำหนักเจ้าเมืองทันที
เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในคราวนี้ใช้เวลาทั้งสิ้นไม่ถึงครึ่งชั่วยาม แต่ภายในครึ่งชั่วยามนี้กลับทำให้หลู่เซียวเซียวมองหลู่เชียนสุ่ยด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปประดุจคนแปลกหน้า
“ข้าเชื่อคำพูดของเจ้าที่ได้กล่าวกับข้าก่อนหน้า ข้าจะไม่ใส่ความว่าเจ้าทำร้ายซ่งน้อยอีก! ระหว่างเราไม่มีหนี้แค้นใดๆติดค้างกันแล้ว แต่คราวนี้เป็นหลู่เชียนเยว่ที่ข้าจักต้องไปชำระหนี้แค้นก้อนนี้อย่างสาสม!”
หลู่เชียนสุ่ยเหลือบมองนางเล็กน้อยและกล่าวว่า
“อย่างน้อยเจ้าก็ไม่ได้โง่ไปตลอด อีกเรื่องที่เจ้าควรต้องรับรู้ไว้ ข้ากับหลู่เชียนเยว่มิได้ถูกกันมาแต่ไหนแต่ไร เห็นเจ้าต้องการจะสั่งสอนนางสักหนึ่งบทเรียน เช่นนี้ข้าจะสอนบางสิ่งให้กับเจ้าสักอย่างสองอย่าง”
หลู่เซียวเซียวที่ได้ยินเช่นนั้นก็ถึงกับตกใจทันที เพราะรู้ว่าว่าอีกฝ่ายกำลังพูดถึง เพลงหมัดสะบั้นบรรพต เช่นนั้นนางจึงประหลาดใจอย่างยิ่งและเอ่ยถามย้ำว่า
“นี่เจ้าพูดจริงรึ?”
หลู่เชียนสุ่ยพยักหน้าและกล่าวตอบว่า
“เจ้าเองก็ฝึกเพลงหมัดสะบั้นบรรพตมาระยะหนึ่งแล้ว กล่าวได้ว่าตัวเจ้าในตอนนี้มีคุณสมบัติครบถ้วน และแท้ที่จริงเจ้าควรจะต้องสำเร็จถึงขอบเขตปฐพีได้แล้ว แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าไยเจ้าจึงหยุดชะงักอยู่เพียงแค่ขอบเขตสามัญเช่นนี้?”
หลู่เชียนสุ่ยกล่าวได้ถูกต้องยิ่งนัก หลู่เซียวเซียวจึงเร่งเอ่ยถามต่อทันที
“นั้นสิ เพราะเหตุใดกันเล่า?”
“ก่อนหน้านี้ที่เราประมือกัน ข้าพบว่าเจ้ารอระดมพลังทั้งหมดลงในหมัดเสียก่อน แล้วจึงคอยปลดปล่อยหมัดออกมา การเหวี่ยงหมัดเช่นนี้เป็นวิธีที่ผิด! เจ้าทราบหรือไม่ว่าวิธีเดียวที่จะไม่ประสบความล้มเหลวคือ การปลดปล่อยด้วยความเร็ว!”
“การที่เจ้ารอจนระดมพลังทั้งหมดลงในหมัดเสร็จสิ้น นั้นจะทำให้เจ้าสูญเสียแรงเหวี่ยงไปโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นเจ้าควรเริ่มฝึกระดมพลังระหว่างปลดปล่อยหมัดออกไป เริ่มจากเหวี่ยงช้าๆค่อยๆสะสมไปก่อน เมื่อบรรลุถึงจุดสุดยอด เจ้าจะเหวี่ยงหมัดได้เร็วและแรงในเวลาเดียวกัน ยามนั้นอานุภาพการทำลายล้างที่แท้จริงจึงระเบิดออกมา!”
เมื่อนางได้ยินคำกล่าวของหลู่เชียวสุ่ย หลู่เซียวเซียวก็ดูเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างได้ นางมุ่งจิตหยั่งลึกจินตนาการตาม เพราะแท้ที่จริงแล้วนางค่อนข้างหัวทื่อในเรื่องวรยุทธการต่อสู้!
หลู่เชียนสุ่ยหาได้สนใจนางอีกต่อไป นางกล่าวในสิ่งที่ต้องการจะกล่าวออกไปแล้ว ยามนี้นางเพิ่งได้โอสถระดมวิญญาณมาร้อยเม็ด และนี่ก็ถึงเวลาแล้วสำหรับการฝึกปรือในครั้งต่อไป
แต่ใครจะไปทราบ นางเพียงย่างเท้าก้าวเข้าตำหนักไปเพียงไม่กี่ก้าว กลับมีคนรับใช้เข้ามาหยุดนางไว้ก่อน
“คุณหนูเชียนสุ่ย ท่านเจ้าเมืองต้องการพบท่านจึงสั่งไว้ว่าเมื่อท่านกลับมาแล้ว ให้ไปพบท่านเจ้าเมืองที่ห้องฝึกวรยุทธทันที”
หลู่จิ้งเฟิงงั้นรึ? นี่คนอย่างเขานึกอยากจะพบหน้าข้าตั้งแต่เมื่อใดกัน?
แต่หลู่เชียนสุ่ยหาได้คาดหวังอันใดกับบิดาผู้นี้อีกไม่
นางตระหนักชัดแจ้งว่า หลังจากนี้คงต้องถูกหลู่จิ้งตำหนิยกใหญ่ หรือไม่ก็คงต้องการจะพบนางก็เพื่อโยนความขุ่นเคืองทั้งหมดที่มีลงที่ตัวนางเป็นแน่
แต่นางในตอนนี้กลับหาได้รู้สึกหวาดกลัวแม้สักนิด
นางเพียงแค่พยักหน้าและกล่าวตอบไปว่า
“ข้ารู้แล้ว”
จากนั้นหลู่เชียนสุ่ยก็เดินตรงไปยังห้องฝึกทันที