ตอนที่ 9: การวิวัฒนาการครั้งที่ 3
“ ข้าขอรับการวิวัฒนาการเดี๋ยวนี้ ” นั้นคือสิ่งที่ฟ่างหยุนตอบกลับระบบในใจของเขา ในเวลาเดียวกันนั้นเขาก็เริ่มทำการสงบจิตใจและเฝ้ารออย่างเงียบเชียบ หลังจากที่นิ่งไปสักพักแล้วตอนนี้เริ่มเกิดกระแสความอบอุ่นขึ้นมาที่เลือดในตัวของเขา มันเริ่มจะอุ่นขึ้น จนเปลี่ยนเป็นร้อนเลยก็ว่าได้ และก็เหมือนครั้งที่แล้วความร้อนในตัวของเขานั้นสูงขึ้นมาก มันจึงส่งผลให้เขานั้นต้องดิ้นไปมาอย่างทุรนทุราย จากความเจ็บปวดนั่นเอง
แต่ในความเจ็บปวดนี้ก็ยังมีสิ่งที่ต้องทำให้ฟ่างหยุนนั้นประหลาดใจ นั่นก็คือตัวเขานั้นมีความอดทนต่อความเจ็บปวดเหล่านี้สูงมากขึ้น ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะรู้สึกเจ็บปวดเจียนตาย แต่ในใจของเขานั้นกลับไม่สะท้านหวั่นไหวแต่อย่างใด เทียบได้ว่ามันแตกต่างจากการวิวัฒนาการรอบที่แล้วเป็นอย่างมาก
“ นี่น่าจะเป็นผลมาจากการที่เราได้รับความพัฒนาความเข้มแข็งทางด้านจิตใจ ” หลังจากเวลาผ่านพ้นไปสิบนาที ความทรมาณเจ็บปวดแสบร้อนทั้งหมดที่ฟ่างหยุนได้รับ ก็ค่อยๆจางหายไป ตอนนั้นเองฟ่างหยุนก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เขารับรู้ได้ทันทีเลยว่าตอนนี้ร่างกายของเขาแข็งแกร่งขึ้นมาอีกขั้นแล้ว
ฟ่างหยุนทดลองกระดิกส่วนล่างที่เป็นหางของเขาดู มันก็ทำให้เขารู้แล้วว่าตอนนี้นั้นมันทรงพลังเป็นอย่างมาก พูดถึงความทรงพลังขนาดนี้แล้ว เขาก็คิดได้เลยว่ามันสามารถเทียบเคียงกับงูประเภท งูเหลือม งูเหลาม
และถ้าหากเปรียบเทียบกับงูเหลือม งูหลามแล้วละก็ พลังการกอดรัดนั้นแน่นอนเลยว่าทรงพลังเป็นอย่างมากเพราะก่อนที่จะกลืนเหยื่อเข้าไป งูประเภทงูเหลือมงูหลามนั้น จะใช้ร่างกายของมันม้วนรอบตัวเหยื่อพร้อมกับบีบรัดจนกระดูกในร่างกายของเหยื่อแหลกเป็นชิ้นๆ จนหายใจไม่ออกและสุดท้ายก็ต้องสิ้นใจ มันถึงจะกลืนเข้าไปในปาก
แม้ว่าตอนนี้ในเขี้ยวของฟ่างหยุนนั้นจะมีพิษมรณะ แต่ปริมาณพิษในต่อมของเขานั้นก็มีจำกัด หากเขาต้องพบกับคู่ต่อสู้ที่มากกว่าหนึ่งในเวลาเดียวกันแล้วละก็ เขาสามารถใช้ท่ากอดรัดของงูเหลือมจัดการพวกมันทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย ถึงแม้ว่าวิชากอดรัดที่มีอยู่ในสัญชาตญาณของงูเหลือมนั้นจะมีติดตัวมาตั้งแต่เกิด แต่ก็ใช่ว่าจะใช้ได้อย่างง่ายดาย มันต้องผ่านการฝึกฝนที่หนักหน่วงและเข้มข้น จึงจะสามารถใช้มันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ฟ่างหยุนคิดถึงอดีต “ เมื่อตอนที่เรายังเป็นมนุษย์อยู่นั้น เราได้มีโอกาศเห็นงูเหลือมจัดการเหยื่อโดยการรัด แต่บางตัวนั้นก็ยังทำได้ไม่ดีพอ จึงทำให้บางครั้งเหยื่อสามารถหลุดรอดจากเงื้อมมือพวกมันไปได้ ”
หลังจากที่นึกถึงเรื่องแบบนี้ขึ้นมาแล้วฟ่างหยุนก็สลัดความคิดทิ้งไป พร้อมกับส่งเสียงเรียกหาระบบในใจของเขา และไม่นานเขาก็ต้องพบกับฉากเดิมคือม่านแสงสวยงามที่ปรากฏขึ้นตรงหน้า แต่ในขณะที่ม่านแสงปรากฏขึ้นนั้นก็มีการแจ้งเตือนเด้งขึ้นมาถึงสองฉบับ
“ ตึ๊ง! การวิวัฒนาการครั้งที่ 3 ของท่านประสบความสำเร็จ ตอนนี้ระดับของท่านอยู่ที่ระดับ 4 โดยความสำเร็จครั้งนี้ท่านได้รับคะแนนทักษะ 3 หน่วยเป็นรางวัล ”
“ ตึ๊ง! ระบบตรวจพบว่าตอนนี้ท่านมีคะแนนทักษะถึง 3 หน่วยและปัจจุบันท่านยังมีทักษะที่รอการอัพเกรดอยู่ถึง 2 ทักษะ ท่านต้องการจะตรวจสอบมันหรือไม่ ? ”
เมื่อได้รับรู้ถึงการแจ้งเตือนจากระบบดังนี้แล้ว ฟ่างหยุนก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา ถึงแม้ว่าเขาจะให้ความสำคัญกับขนาดลำตัวของเขาเป็นอย่างมาก แต่เรื่องทักษะของเขานั้นก็ไม่สามารถมองข้ามมันไปได้
“ ระบบ ข้าขอตรวจสอบทักษะ ” ฟ่างหยุนบอกกับระบบในใจของเขา และแล้วม่านแสงที่สวยงามก็ค่อยๆจางลงพร้อมกับข้อความที่เริ่มจะปรากฏขึ้น
“ คะแนนที่ท่านมีติดตัวอยู่ในตอนนี้สามารถนำมาใช้เพื่อฝึกฝนสองทักษะดังต่อไปนี้ ”
( เปลี่ยนสีพรางตัว )
ประเภท: สามารถเลือกใช้เวลาใดก็ได้
คุณสมบัติ: ท่านสามารถเปลี่ยนสีบนผิวหนังเพื่อทำให้กลมกลืนกับสภาพแวดล้อมในที่แห่งนั้นเพื่อพรางตัวหรือซุ่มโจมตีศัตรู
การอัพเกรดในแต่ละครั้งต้องการคะแนนทักษะ 3 หน่วย
ระดับปัจจุบัน: 0/5
ทักษะที่สอง
( พิษมรณะ )
ประเภท: สามารถเลือกใช้เวลาใดก็ได้
คุณสมบัติ: หากเลือกรับทักษะนี้จะทำให้เขี้ยวทั้งสองนั้นมีความยาวมากขึ้น พร้อมกับพลังการโจมตีที่น่ากลัวและสามารถสังหารเหยื่อโดยพิษอย่างง่ายดาย
การอัพเกรดในแต่ละครั้งต้องการคะแนนทักษะ 3 หน่วย
ระดับปัจจุบัน: 1/5
เมื่อมองเห็นข้อความบนม่านแสงแล้ว มันก็ต้องทำให้ฟ่างหยุนนั้นรู้สึกหดหู่ไปเล็กน้อย เพราะในใจของเขานั้นคาดหวังว่าการวิวัฒนาการในครั้งนี้จะทำให้เขาสามารถได้เรียนรู้ทักษะใหม่ๆ มากกว่าเดิมแต่กลับกลายเป็นว่ามันยังคงเป็นทักษะแบบเดียวกันกับการวิวัฒนาการในครั้งก่อน
ฟ่างหยุนมองโลกในแง่ดีขึ้นมา ตอนนี้เขาคิดได้แล้วว่าทักษะทั้งสองนี้อาจจะเป็นพื้นฐานของการเรียนรู้ทักษะใหม่ๆในอนาคตอย่างแน่นอน เอาเป็นว่าเขาจะพยายามตั้งหน้าตั้งตาเก็บสะสมคะแนนทักษะเพื่อใช้ในการเรียนรู้ครั้งต่อไปคงจะดีกว่า แต่ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ได้คิดที่จะปล่อยให้คะแนนทักษะทั้ง 3 หน่วยนี้เปล่าประโยชน์
ในขณะที่ฟ่างหยุนยังต้องหายใจอยู่ คะแนนทักษะเหล่านี้เป็นสิ่งที่จำเป็นต่อชีวิตของเขามากและเขาจำเป็นต้องใช้มันเพื่อพัฒนาความแข็งแกร่งของตัวเอง ดังนั้นเขาจึงไม่ลังเลที่จะใช้คะแนนทักษะทั้ง 3 หน่วยนี้เลือกที่จะอัพเกรดทักษะ
“ พิษมรณะ ” ซึ่งเป็นทักษะที่เขาได้เลือกเรียนรู้มาก่อนหน้านี้แล้ว
“ ทักษะ พิษมรณะได้รับการอัพเกรดจนเสร็จสมบูรณ์แล้ว ระดับของมันคือ 2/5 ” ทันทีที่เสียงของระบบจบลง มันก็ส่งผลให้ฟ่างหยุนนั้นมีความรู้สึกเสียวซ่านขึ้นมาทันทีที่บริเวณเขี้ยวในปากของเขารวมไปถึงต่อมพิษ ต่อมพิษนั้นจากปกติที่มันเล็กอยู่แล้วแต่ตอนนี้มันกลับใหญ่มากขึ้น และพิษที่มีอยู่น้อยนิดในต่อมนั้นก็ถูกเติมขึ้นมาจนมากล้น เขี้ยวที่แหลมอยู่แล้วตอนนี้มีความยาวที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งยังคมมากขึ้นอีกด้วย !
แต่ฟ่างหยุนก็กลับสงสัยขึ้นมาในใจว่า “ พิษของเรามีเยอะขึ้นขนาดนี้ ไม่รู้ว่ามันจะร้ายแรงขนาดไหนหากต้องเปรียบเทียบกับงูพิษชนิดอื่นๆ ”
บนโลกที่เขากำลังอยู่ในตอนนี้นั้นมันเป็นดาวเคราะห์ที่มีความเทียบเคียงพอๆ กับโลกใบเก่าของฟ่างหยุน หากจะพูดให้ชัด ที่นี่อาจจะเป็นโลกคู่ขนานก็เป็นไปได้ ความคล้ายคลึงขนาดนี้แน่นอนว่ามันทำให้มีสรรพสัตว์และสิ่งมีชีวิตที่น่าจะเหมือนกับโลกใบเก่าโดยไม่ต้องสงสัย
บนโลกนั้น งูที่มีพิษที่ร้ายแรงที่สุด ก็คือสายพันธุ์ ไทปันจากออสเตรเลีย ตามด้วยงูพิษชนิดอื่นๆ เช่น แบล็กแมมบ้าและงูเห่า นอกจากนี้ยังมีงูสายพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในทะเล ซึ่งบางชนิดนั้นมีพิษร้ายแรงกว่างูที่อาศัยอยู่บนบกเสียอีก ยกตัวอย่างเช่น งูแสมรังเกล็ดเบลเชอร์! บนลำตัวของพวกมันนั้นมีแถบสีจางๆอยู่ แต่มันเป็นงูทะเลที่มีพิษร้ายแรงมาก ไม่ใช่แค่ร้ายแรงธรรมดาแต่ในบรรดางูทะเลแล้ว มันเป็นงูที่มีพิษร้ายแรงมากที่สุดในโลก ซึ่งพิษของมันนั้นรุนแรงกว่าสายพันธุ์ไทปันจากออสเตรเลียเป็นร้อยเท่า
ตามการคาดเดาของฟ่างหยุน เขาคิดว่าถ้าหากการพัฒนาความแข็งแกร่งของทักษะ “ พิษมรณะ ” ของเขาเข้าสู่ระดับที่สูงที่สุดแล้ว ความร้ายแรงของพิษนี้ อาจจะสามารถเทียบได้กับความร้ายแรงของงูสายพันไทปันเลยก็ว่าได้ หรือดีไม่ดีพิษของเขานั้นอาจจะร้ายแรงกว่านั้นเสียอีก
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงแค่ความคาดเดาของฟ่างหยุนเพียงเท่านั้น แต่จะให้ดูเฉพาะเจาะจงกว่านี้แล้ว เขาต้องหาทางพิสูจน์มันให้ได้ในภายหลังอย่างแน่นอน ตอนนี้ฟ่างหยุนเลิกที่จะคิดฟุ้งซ่าน พร้อมกับเรียกหาระบบขึ้นมาในใจของเขา และหลังจากเรียกไปสักพัก ระบบก็แสดงตัวขึ้นมาทันที
รายการคุณสมบัติของท่านฟ่างหยุน
ระดับ: 4
พลังงานทางชีวภาพ: 7/90
คะแนนทักษะ: 0
ความยาวลำตัว: 60 ซม
เส้นผ่าศูนย์กลาง: 2ซม
อำนาจ: 1.0
พลังป้องกัน: 0.5
ความเร็ว: 1.0
วิญญาณ: 2.5
ความแข็งแรงทางกายภาพ: 2.0
ทักษะ: พิษมรณะ 2/5
ค่าชื่อเสียง: 0/10000000
เมื่อเห็นข้อมูลจากระบบแล้ว มันก็ทำให้ฟ่างหยุนนั้นมีความยินดีเป็นอย่างมาก คราวนี้ลำตัวของเขายาวถึง 60 เซนติเมตร ซึ่งจากเดิมนั้นเขามีความยาวแค่ 35 เซนติเมตร นั่นหมายความว่าเขาเติบโตขึ้นมาถึง 25 เซนติเมตร ! เส้นผ่าศูนย์กลางจากเดิม 1.2 เซนติเมตร ตอนนี้มันเป็น 2 เซนติเมตร
โดยทั่วไปนั้นแล้วตัวของฟ่างหยุนในตอนนี้เทียบได้ว่าเป็นงู กึ่งโตเต็มวัย แม้แต่เหยื่ออย่างหนูนาที่โตเต็มที่เขายังสามารถกลืนพวกมันได้อย่างสบาย ปากของงูนั้นเป็นสิ่งมหัศจรรย์ มันสามารถขยายกว้างขึ้นได้ถึง 130 องศา และก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรเลยที่พวกมันจะสามารถกลืนเหยื่อที่มีลำตัวขนาดใหญ่กว่าตัวเอง สองถึงสามเท่า
เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วฟ่างหยุนก็รู้สึกมีกำลังใจขึ้นมา แต่เมื่อมองไปเห็นถึงข้อมูลอื่น ๆ จากระบบ เขาก็ต้องอุทานออกมาว่า “ อะไรกัน! หากต้องการที่จะเข้าสู่การวิวัฒนาการในครั้งต่อไป มันต้องใช้พลังชีวภาพถึง 90 หน่วยเลยรึ ? ”
ฟ่างหยุนถึงกับพูดไม่ออก เพราะการวิวัฒนาการรอบที่ผ่านมานั้นเขาใช้พลังงานทางชีวภาพเพียงแค่ 30 หน่วยแต่คราวนี้เขาต้องสะสมให้ถึง 90 หน่วย แต่ก็ไม่เป็นไรมันไม่ได้มากมายเกินกว่าความสามารถของเขา
“ จะว่าไปแล้วเมื่อไหร่ เราถึงจะเพิ่มคะแนนชื่อเสียงได้ล่ะ ? ” ฟ่างหยุนมองลึกลงไปที่บรรทัดของระบบชื่อเสียง เขามาถึงที่โลกใบนี้ได้สิบวันแล้ว แต่ว่าค่าชื่อเสียงของเขานั้นกลับไม่เพิ่มเลยแม้แต่น้อย ท้ายที่สุดแล้วเขาก็คิดว่าคงไม่มีใครบ้าพอที่จะเข้ามาในป่าแห่งนี้ที่เต็มไปด้วยนักล่า และแมลงมีพิษหรอก แต่ถ้าหากจะให้เขานั้นออกจากป่าเพื่อไปตามหามนุษย์ในเมืองก็คงไม่ดีแน่ เพราะว่ามนุษย์ส่วนใหญ่นั้นเกลียดและกลัวงู ถ้าพวกเขาพบเจอฟ่างหยุนในร่างงูแล้วละก็ เขาคงต้องถูกมนุษย์ตีจนจบชีวิตลงแน่ๆ และที่สำคัญฟ่างหยุนต้องกลายเป็นงูในไหยาดองเป็นแน่หากเขาไปโผล่ที่เขตชายแดนของประเทศจีน
ฟ่างหยุนได้แต่ถอนหายใจ เพราะเขารู้ตัวว่าการที่จะทำให้มันสำเร็จนั้นไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นได้ในเวลาอันสั้นเลย อย่างน้อยก็ต้องรอจนกว่าพลังป้องกันตัวของเขาถึงระดับที่สามารถกันกระสุนได้ หลังจากนั้นถึงจะคิดเรื่องนี้ต่อไป
ฟ่างหยุนส่ายหัวพร้อมกับที่กำลังเตรียมตัวจะเดินทางออกจากโพรงไม้นั้น เพราะหลังจากที่ได้รับการวิวัฒนาการแล้วท้องของเขาก็เริ่มปั่นป่วนจากความหิว มันทำให้เขานั้นต้องออกหาจับเหยื่อกิน
เมื่อเลื้อยไปได้สักพัก เขาก็กลับขึ้นมาบนพื้นดิน ในขณะนั้นท้องฟ้าก็ได้มืดลงแล้ว แต่ในป่าแห่งนี้นั้นมันกลับดูเหมือนว่ามีชีวิตชีวา ราวกับว่าสัตว์หลายๆชนิดนั้นผลัดเปลี่ยนเวรกัน
ฟ่างหยุนเริ่มที่จะแลบลิ้นเข้าออก เพื่อตรวจสอบการเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิตโดยรอบว่าพอจะมีเหยื่อให้เขาล่าได้หรือไม่ แต่ทันใดนั้นเองกลับมีเงาบางอย่างปรากฏขึ้นตรงหน้ามันทำให้เขานั้นต้องสะดุ้งตัวโยน