ตอนที่ 12: เจ้ากระรอกผู้น่าสงสาร
เมื่อเห็นว่ามีเงาดำบางอย่างกำลังพุ่งตัวหนีออกไปทางออกของโพรงไม้ มันทำให้ฟ่างหยุนนั้นรู้สึกถึงความประหลาดใจเล็กน้อยแต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร เพราะความคล่องแคล่งว่องไวขนาดนี้นั้น ฟ่างหยุนก็พอจะเดาออกได้ว่ามันคือสัตว์ตระกูลฟันแทะ หรือสัตว์ตัวเล็ก จึงไม่น่าจะเป็นพิษภัยอะไรต่อเขามากมายนัก
ฟ่างหยุนต้องการที่จะใช้โพรงไม้แห่งนี้เป็นที่หลบซ่อนตัวเพื่อพักผ่อนในคืนนี้ เพราะว่าหากพรุ่งนี้ฝนหยุดตกเขาจะมีเวลาเพียงพอที่จะหาที่ที่ปลอดภัยและสะดวกสบายมากกว่าที่นี่ พร้อมกับความคิดที่แล่นเข้ามาในหัวว่าเขานั้นอยากจะคืนโพรงนี้ให้กับเจ้าของเดิมไป แต่ถ้าหากพรุ่งนี้สภาพอากาศยังไม่เอื้ออำนวยแล้วละก็ เขาไม่มีทางเลือกและจำเป็นต้องอาศัยอยู่ในโพรงแบบนี้ต่อไป
ตอนนี้ฟ่างหยุนเริ่มปล่อยวางหัวสมองของเขาให้ผ่อนคลาย และพร้อมที่จะหลับตาลงเพื่อพักผ่อน ขณะที่เขากำลังเหยียดตัวตามสบายนั้น เขาก็มีความรู้สึกว่าโพรงนี้มันช่างจะสุขสบายเสียจริง เพราะข้างล่างที่เขานอนทับนั้นเหมือนจะมีฟูกนุ่ม ๆ รองรับเขาจากข้างใต้ ภายในฟูกที่นุ่มนั้นสร้างความอบอุ่นให้แก่ตัวเขาเป็นอย่างมาก ในฐานะสัตว์เลือดเย็นแล้ว พวกมันต้องการที่จะเพิ่มอุณภูมิในร่างกายให้สูงอยู่เสมอ เทียบกับการอาบแดดแล้วการนอนในรังที่นุ่มและอุ่นเช่นนี้ช่างเป็นสวรรค์สำหรับเขาเสียยิ่งกระไร
ความเหนื่อยจากการหนีตายเมื่อก่อนหน้านี้ทำให้ร่างกายของฟ่างหยุนนั้น อ่อนเพลียเป็นอย่างมากในไม่ช้าก็ทำให้เขานั้นเผลอหลับไป
ในเวลาเช้าตรู่ของวันต่อมา ฟ่างหยุนนั้นก็ค่อยๆลืมตาขึ้นมาพร้อมกับแสงแดดรำไรยามเช้าที่สาดส่องเข้ามาในโพรง ในระหว่างที่เขากำลังสังเกตรูปแบบของโพรงไม้อยู่นั้น ก็มีเสียงกรีดร้องดังก้องขึ้นมา มันทำให้เขานั้นพยายามมองหาต้นตอที่มาของเสียงนั้น
“ กวิ้กกกกก ! กวิ้กกกกกก ! ” เมื่อต้นเสียงนั้นมันดังมาจากปากทางเข้า ฟ่างหยุนก็ไม่รอช้าเขาจึงหันหน้ามองขึ้นไป ภาพที่ปรากฏตรงหน้าของเขานั้นเป็นภาพของสัตว์ตัวเล็กชนิดหนึ่ง ตัวของมันนั้นคอยแต่ขยับมือทั้งสองข้างไปมา พร้อมกับส่งเสียงกรีดร้องแหลมและจ้องมองไปที่ฟ่างหยุน เมื่อเห็นได้ว่ามีสัตว์ที่ตัวเล็กกว่ากำลังส่งเสียงราวกับว่ามันไม่พอใจเขาเป็นอย่างมาก ฟ่างหยุนก็ต้องประหลาดใจไปเล็กน้อย มันคือกระรอก ! และแล้วเสียงสวรรค์ก็ดังขึ้นมาในใจเขา
ตรวจพบเป้าหมาย !
กระรอกหางยาว
ประเภท: สัตว์ฟันแทะ ตระกูลสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
สามารถเพิ่มพลังทางชีวภาพ 20 หน่วย
หลังจากที่เสียงของระบบนั้นสิ้นสุดลง ฟ่างหยุนก็ต้องทึ่งไปกับข้อมูล เพราะเจ้าสัตว์ตัวเล็กตัวเดียวเพียงเท่านี้สามารถเพิ่มพลังงานทางชีวภาพให้เขาได้มากมายขนาดนี้ เมื่อเทียบกับอาหารที่เขาพึ่งจะกินไปเมื่อคืนแล้ว เจ้ากระรอกตัวนี้มีค่าพลังงานทางชีวภาพมากกว่าเสียด้วยซ้ำ แต่เมื่อจ้องมองที่กระรอกตัวนี้อย่างถี่ถ้วนแล้วก็ทำให้เห็นว่ามันนั้นมีความสูงถึง 20 เซนติเมตร รูปร่างของมันก็ใหญ่กว่าเจ้าหนูพุกที่พึ่งจะกินไปเมื่อคืน ฟ่างหยุนเลยเข้าใจได้ในทันทีเลยว่าทำไมมันถึงให้ค่าพลังงานที่สูงกว่า
แต่ถึงอย่างนั้นก็ช่างเถอะ ในใจของเขานั้นแทบจะไม่คิดเลยว่าจะต้องล่ากระรอกมาเป็นเหยื่อ เพราะสัญชาตญาณของพวกมันนั้นค่อนข้างไว การเคลื่อนที่มีความรวดเร็วคล่องแคล่วเป็นอย่างมาก จึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะจับกระรอกพวกนี้มาเป็นอาหาร เหตุผลที่เขาต้องยึดที่นี่ใว้เป็นรังหลับนอนนั้นเป็นเพราะว่าเขาไม่มีทางเลือก
และแล้วความคิดของพระเอกก็แล่นขึ้นมาในหัวของฟ่างหยุน “ สงสัยวันนี้จะต้องเล่นบทพระเอกงูที่ดีเสียแล้ว ”
หลังจากที่ฟ่างหยุนเหลือบมองไปที่เจ้ากระรอกเป็นบางครั้งคราวแล้ว เขาก็หยุดให้ความสนใจกับมันพร้อมมองไปรอบๆรังที่เขากำลังนอนอยู่ ตอนนี้แสงแดดที่สาดส่องเข้ามาเพียงพอที่จะทำให้เขามองเห็นรอบ ๆ และแล้วเขาก็ต้องตกใจขึ้นมาด้วยความทึ่ง เพราะสิ่งที่อยู่รอบๆเขานั้นมันเป็นขนของสัตว์มากมายกองรวมกันอยู่บนพื้น รวมไปถึงขนกระต่ายและสัตว์ขนนุ่มจำนวนนับไม่ถ้วน
“ เจ้ากระรอกตัวนี้ไม่ธรรมดา ” ฟ่างหยุดอุทานออกมาด้วยความชื่นชนในตัวของเจ้ากระรอกตัวนี้ เพราะมันเป็นสัตว์ที่ฉลาดเอาเสียมากๆ ฉลาดจนถึงขั้นรู้จักการตกแต่งรังของตัวเอง
“ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเราถึงนอนหลับได้อย่างสบายในรังแห่งนี้ ” และเมื่อมองไปเห็นอีกฝั่งของโพรงไม้นี้ ภายในที่กึ่งมืดนั้นมีเมล็ดพันธุ์ของพืชต่างๆ เป็นจำนวนมาก เช่น เมล็ดเกาลัด ลูกสน กองอยู่เรียงราย มันแสดงให้เห็นว่ากระรอกตัวนี้มีการกักตุนหาอาหารมาสำรองเอาไว้ใช้กินยามฉุกเฉิน หรือยามขาดแคลน อย่างแน่นอน
เมื่อได้สติกลับมาแล้วฟ่างหยุนก็ค่อยๆ เลื้อยออกมาจากโพรงไม้ เพื่อตรวจสอบความเป็นไปโดยรอบ แต่เมื่อเจ้ากระรอกที่ยืนอยู่หน้าปากทางเข้าโพรงเห็นว่าฟ่างหยุนนั้นกำลังเลื้อยเข้ามาหาตนเอง มันก็คิดว่าฟ่างหยุนนั้นคงจะต้องมาฆ่ามันกินเป็นอาหารอย่างแน่นอน มันไม่รอช้าเจ้ากระรอกรีบกระโจนหายไปในพริบตา
ฟ่างหยุนไม่รอช้าเขาจึงเลื้อยออกจากที่นั่นทันที พร้อมกับแลบลิ้นเข้าออกเพื่อตรวจจับความเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิตเพื่อเป็นการหาเหยื่อ และหลีกเลี่ยงจากนักล่าที่อยู่บนห่วงโซ่ของเขาไปในตัว
ฝนก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตก แต่ว่าปริมาณของฝนนั้นลดน้อยลงกว่าเมื่อวานมากแล้วดังนั้นจึงเป็นแค่เม็ดฝนที่ตกลงมาปรอยๆเพียงเท่านั้น จึงทำให้การมองเห็นในระยะไกลของเขานั้นดีขึ้น ระหว่างที่กำลังเลื้อยไปด้านหน้านั้น เขาก็ได้พบกับต้นสนยักษ์ เขามองไปที่มันแล้วคาดคะเนในใจ ต้นสนต้นนี้เส้นผ่าศูนย์กลางน่าจะราวๆห้าคนโอบหรือเทียบกับความยาวของตัวฟ่างหยุนหากพันโดยรอบ น่าจะประมาณ 2 ถึง 3 เท่าเลยก็ว่าได้ ต้นสนต้นนี้เมื่อมองไปยังยอดแล้วก็จะเห็นถึงความอุดมสมบูรณ์จากสีเขียวเข้มที่ใบ และกิ่งก้านของมันก็แผ่กิ่งก้านครอบคลุมพื้นที่ถึง 10 เมตรเลยทีเดียว
นอกจากนี้ในบริเวณที่เขากำลังเลื้อยอยู่นั้น ยังเขียวชอุ่มไปด้วยพืชพันธุ์ไม้นาๆ ชนิด อย่างเช่นต้นสน และต้นยูคาลิปตัส จึงทำให้มองแทบจะไม่เห็นถึงพื้นที่ว่างของดินเลยก็ว่าได้
อย่างไรก็ตามทางด้านฝั่งขวาของเขา ห่างจากต้นสนราวๆหนึ่งร้อยเมตร มีกลุ่มหญ้าบางชนิดขึ้นอยู่ มันมองดูเหมือนทางราบเรียบแต่ลาดชันไปด้วยหินผาซึ่งมีสีเทาดิบๆ บวกเข้ากับต้นมอสสีเขียวบางส่วนเติบโตอยู่ตามแนวซอกหิน อยู่ๆฟ่างหยุนก็ได้ยินเสียงประหลาดดังขึ้น
“ กวิ้ก กวิ้กกกกกก ! ” เสียงกรีดร้องอันแหลมคม นั้นเข้ามาขัดจังหวะของฟ่างหยุนที่กำลังเลื้อยอยู่ เขาจึงมองตรงไปที่ด้านขวาของเขา สิ่งที่เขาเห็นอยู่บนกิ่งนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่น เจ้าของเสียงก็คือเจ้ากระรอก ตัวที่พบกับเขาก่อนหน้านี้นั่นเอง
“ กวิ้กกกกกก ! กวิ้กกกกกก ! ” เมื่อเจ้ากระรอกเห็นฟ่างหยุนกำลังมองหน้ามันอยู่ มันก็ยิ่งส่งเสียงกรีดร้องแหลมคมดังขึ้นมากกว่าเดิม ซึ่งเป็นการบอกนัยยะ ว่ามันกำลังท้าทายเขาอยู่นั่นเอง
ฟ่างหยุนอดไม่ได้ที่จะเกิดความรำคาญขึ้นมาในใจ เจ้ากระรอกตัวนี้มันรนหาที่ตายเสียจริง ดังนั้นแล้วเขาจึงหันหัวกลับไปหามันพร้อมกับส่งเสียงขู่ออกมา
“ ฟู่ ! ” เสียงขู่นั้นเป็นผลอย่างมาก มันทำให้เจ้ากระรอกตัวนี้ตกใจกลัวพร้อมกับกระโดดหนีฟ่างหยุนไปหากิ่งไม้ที่อยู่ไกล้ๆกันแทน แต่ด้วยความตื่นตกใจทำให้ระหว่างที่เจ้ากระรอกที่กำลังกระโดดไปยังต้นไม้อีกต้นนั้น เกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นมา ขาของมันไม่สามารถที่จะเกาะยึดกึ่งไม้ไว้ได้ทำให้มัน ร่วงตกลงมาสู่พื้นดิน
“ แกร๊กกก ! แกร๊กกก ! ” เจ้ากระรอกหล่นลงมาสู่พื้นดินเต็มแรงพร้อมกับเสียงกรีดร้องที่หวาดกลัว แต่โชคยังเข้าข้าง พื้นที่มันหล่นลงมานั้นมีพื้นหญ้านุ่มๆรองรับ ซึ่งบวกกับขนที่หนา บนตัวของมัน จึงทำให้มันไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมากมายจากการตกลงมาในครั้งนี้
เมื่อเห็นฉากแบบนี้เกิดขึ้น ฟ่างหยุนที่ในขณะนั้นกำลังเลื้อยอยู่บนลำต้นของต้นสน ก็อดไม่ได้ที่จะยกยิ้มที่มุมปากอย่างตลกขบขันพร้อมกับอุทานออกมาว่า
“ฮ่าๆ เจ้ากระรอกตัวนี้ทำไมมันช่างโง่เขลายิ่งนัก ” หลังจากที่เขาอุทานจบ ทุกอย่างรอบตัวก็กลับสู่ความเงียบงันอีกครั้ง ฟ่างหยุนก็พยายามคิดถึงอนาคตว่าเขานั้นจะหาทางเอาตัวรอดต่อไปยังไงหากต้องเจอกับปัญหา ซึ่งตอนนี้ฝนก็ยังคงโปรยปรายลงมาอย่างไม่ขาดสาย แน่นอนว่าตอนนี้คงยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะแก่การมองหารังแห่งใหม่ไว้ให้ตัวเขานั้นหลับนอนเป็นแน่ ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ณ ตอนนี้เองเขาก็ยังไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าบริเวณแถวนี้นั้นจะเหมาะสมกับการอยู่อาศัยของเขาหรือไม่ เขาจะมีชีวิตรอดออกจากที่นี่ไปได้หรือเปล่าก็ไม่อาจจะคาดเดาได้
คุณสมบัติสำคัญของรังนอนที่ฟ่างหยุนนั้นกำลังมองหา หลักๆมีอยู่ 2 ประการ อย่างแรกก็คือรังนอนนั้นต้องมีทางเข้าออกเปิดปิดได้อย่างมิดชิด ขนาดของรังไม่ควรใหญ่เกินไปหรือเล็กเกินไป แค่พอดีกับขนาดตัวของเขาก็เพียงพอ เพื่อที่สามารถป้องกันศัตรูทางธรรมชาติขุดเจาะเข้ามาฆ่าเขาอย่างง่ายดาย ประการที่สองนั้นก็คือในบริเวณไกล้เคียงของรังควรจะมีเหยื่อมากเพียงพอสำหรับการดำรงชีวิตของเขา
ตอนนี้เขาจึงแหงนหน้ามองขึ้นไปบนฟ้า ความมืดมิดจากเมฆฝนก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะสลายหายไป ถึงจุดนี้แล้วสิ่งเดียวที่เขาสามารถทำได้ก็คือการเลื้อยกลับไปที่โพรงไม้ก่อนหน้านี้
ด้วยสภาพในป่าที่มีฝนตกลงมาอย่างไม่ขาดสายเช่นนี้ ทำให้อุณภูมิในป่าและฟ่างหยุนนั้นลดต่ำลงไปด้วย ความหนาวเย็นนั้นเริ่มที่จะรบกวนฟ่างหยุนเป็นอย่างมาก สิ่งที่เขาหวังจะทำให้รวดเร็วที่สุดคือกลับไปถึงรังและขดตัวอยู่บนกองขนของกระต่ายในโพรงของเจ้ากระรอก
เรื่องการหารังแห่งใหม่นั้น เขาคิดว่าคงจะต้องรอไปก่อน รอจนกว่าอากาศจะกลับมาเป็นปกติ ถึงเวลานั้นค่อยหาใหม่ก็ยังไม่สายเกินไป แต่สิ่งที่เขาไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเพราะตอนนี้ฝนกระหน่ำลงมาติดต่อกันถึง 7 วันเข้าไปแล้ว และระหว่าง 7 วันที่ผ่านมานั้นเขาก็ไม่ได้ออกไปล่าเหยื่ออีกเลย แต่มีอยู่ช่วงหนึ่งในตอนบ่ายนั้นเขาได้พบเจอกับนกตัวหนึ่งที่กำลังเปียกโชกไปด้วยสายฝนกำลังนอนสั่นอยู่บนพื้นที่ไม่ห่างไปมากนักจากต้นสน เขาจึงสังหารมันพร้อมกับกลืนกินมันเข้าไป
เจ้านกน้อยตัวนี้ให้พลังงานชีวภาพกับเขาถึง 10 หน่วย และเมื่อเขาอิ่มหนำกับการจับนกที่โชคร้ายตัวนั้นกินไปแล้วนั้น ระหว่างที่กำลังลงไปที่รังในโพรงไม้ เขาก็ได้พบเจอกับเงาดำวิ่งหนีออกมา เจ้าของเงาดำก็ยังคงเป็นเจ้ากระรอกตัวเดิมที่รังของมันนั้นถูกฟ่างหยุนยึดเอาไว้หลับนอน
เจ้ากระรอกตัวนี้มันไม่ยอมสละรังของมันให้ฟ่างหยุน และด้วยความเป็นห่วงจึงทำให้มันกลับมาที่รังของมันทุกวันเวลาที่ฟ่างหยุนออกไปหากิน แต่ในตอนกลางคืนนั้นฟ่างหยุนก็ไม่รู้เลยว่ามันไปนอนที่ไหน เขาคิดว่ามันน่าจะไปแอบอยู่ตามกิ่งไม้ที่ไหนสักแห่งบริเวณไม่ไกลจากรังมากนัก แต่ช่วงเวลากลางวัน มันจะเอาแต่มายืนจ้องมองอยู่บริเวณหน้าปากทางเข้าโพรง พยายามมองหาฟ่างหยุนด้วยความขุ่นเคือง และเมื่อฟ่างหยุนกลับมาจริงๆ เจ้ากระรอกนั้นก็ทำได้แค่วิ่งหนีจากไป
ฟ่างหยุนคิดว่ามันก็แค่กระรอกโง่ๆตัวหนึ่ง จากนั้นเขาก็ไม่ได้สนใจมันอีกและพร้อมที่กำลังจะเอนตัวลงนอนพักผ่อน ตาของเขาก็ได้เหลือบไปเห็นเจ้ากระรอกอีกรอบโดยที่ปากของมันกำลังคาบลูกเกาลัดและวิ่งหนีไป จากสิ่งที่ได้เห็นนั้นกลับกลายเป็นว่าเจ้ากระรอกตัวนี้กำลังเสี่ยงชีวิตเพื่อกลับมาขนอาหารของมันออกไป
นับตั้งแต่นั้นมาฟ่างหยุนก็จะพยายามออกจากรังนอนไปทุกวัน เพื่อทีจะเปิดช่องว่างให้เจ้ากระรอกได้กลับมาขนอาหารที่มันต้องการ
เวลาก็ล่วงเลยมาถึงเจ็ดวัน การที่ได้กินแต่สัตว์ตัวเล็กๆ ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาบ้าง แต่ในความโชคร้ายยังมีความโชคดีอยู่เสมอ หลังจากเจ็ดวันที่ฝนตกหนักผ่านพ้นไป ในที่สุดวันที่แปดอากาศก็กลับมาแจ่มใสอีกครั้ง