px

เรื่อง : ตำนานงูยักษ์เขมือบโลก
ตอนที่ 13: การสำรวจพื้นที่


ตอนที่ 13: การสำรวจพื้นที่

 

          “ ในที่สุดฝนก็หยุดตกสักที ! ” ฟ่างหยุนค่อยๆ ชูคอขึ้นมาจากโพรงไม้ และหันมองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่มืดมิด ในตอนนี้ฝนได้หยุดตกลงมาแล้ว ตอนนี้ในใจของฟ่างหยุนนั้นรู้สึกกังวลขึ้นมา เพราะฝนที่ตกหนักนั้นกินเวลาไปหลายวันทำให้เขาไม่สามารถออกล่าเหยื่อเพื่อเพิ่มพลังงานทางชีวภาพได้เต็มที่ เขาจึงไม่รู้เลยว่าเขานั้นจะเข้าสู่ขั้นวิวัฒนาการในครั้งต่อไปได้อีกเมื่อไรกัน

 

          ซึ่งในช่วงสองวันแรกระหว่างที่ฝนตกหนักนั้น เขาได้กินนกน้อยผู้น่าสงสารเข้าไปทำให้เขามีพลังงานทางชีวภาพรวมทั้งสิ้น 32 หน่วย แต่นั้นมันก็ยังคงห่างไกลจากการวิวัฒนาการซึ่งต้องการพลังงานอีกหลายหน่วยกว่าจะครบ 90 หน่วยตามที่คุณสมบัติของระบบได้ระบุไว้ เขาถึงจะบรรลุเป้าหมายในครั้งนี้ไปได้

 

          “ ต้องสารภาพตามตรงเลยว่าตอนนี้เราไม่รู้เลยว่ามีเหยื่ออยู่มากมายขนาดไหนในบริเวณนี้หวังว่าคงจะมีมากกว่าบริเวณที่เราได้จากมานะ ”

 

          ในขณะที่กำลังคิดหาทางเพลิน ๆ หางตาของฟ่างหยุนก็เหลือบไปเห็นเงาบางอย่างยืนทำท่าทางฉุนเฉียวหงุดหงิดอยู่บนกิ่งไม้ทางด้านซ้ายมือของเขา และฉากเดิมก็ย้อนกลับมา เจ้าตัวที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็คือเจ้ากระรอกตัวเดิม ตัวที่ถูกฟ่างหยุนยึดโพรงไม้ซึ่งเป็นรังอาศัยของมันนั่นเอง

 

          สองสามวันให้หลังมานี้ ฟ่างหยุนรู้สึกจากการแสดงออกของกระรอกได้ว่าตอนนี้มันเริ่มที่จะกลัวฟ่างหยุนน้อยลงไปแล้ว เขาได้ละสายตาจากเจ้ากระรอกตัวนี้และหันไปมองบริเวณทุ่งหญ้าซึ่งห่างจากเขาออกไปราวๆ 100 เมตร ตอนนั้นเองดวงอาทิตย์ก็เริ่มโผล่พ้นขอบฟ้าขึ้นมา มันทำให้เขารับรู้ได้ว่าทิศนั้นเป็นทิศตะวันออกอย่างแน่นอน

 

          จากตอนแรกที่เขากำลังจะมุ่งตรงไปยังบริเวณทุ่งหญ้าอันกว้างไกล จู่ๆทันใดนั้นเขาก็ต้องหยุดความคิดนั้นลงอย่างสิ้นเชิง เพราะมีเสียงสัตว์ชนิดหนึ่งร้องก้องออกมา !

 

          “ กว้ากกกกกกกก ! ” เมื่อได้ยินเสียงนี้ดังก้องไปทั่ว ฟ่างหยุนเองก็ถึงกับตัวสั่นไปด้วยความหวาดกลัว เพราะเสียงนี้เป็นเสียงของนกอินทรีย์ศัตรูตัวร้ายที่เขาคอยระวังมันมาตลอด เมื่อเป็นเช่นนั้นเขาก็หันหน้าไปมองยังตำแหน่งที่มาของเสียง และตรงตำแหน่งนั้นเองก็เป็นตำแหน่งเดียวกับที่ที่เขาตั้งใจจะเลื้อยไป นั่นก็คือบริเวณทุ่งหญ้านั่นเอง

 

          ฟ่างหยุนเงยหน้ามองบนท้องฟ้าก็ต้องตกใจเป็นอย่างมาก เพราะตอนนี้มีพวกนกอินทรีย์สีดำตัวมหึมาจำนวนมาก กำลังบินโฉบเฉี่ยวไปมาเป็นวงกลม ราวกับว่าพวกมันได้ติดตามเหยื่อของพวกมันจนพบแล้ว และฉากสยองขวัญสำหรับฟ่างหยุนก็เกิดขึ้นตรงหน้าเขา พวกนกอินทรีย์บินโฉบลงมาอย่างรวดเร็วเพื่อจู่โจมบางสิ่งบางอย่าง และหลังจากที่มันบินลงมาถึงพื้นดินได้ไม่กี่อึดใจ พวกมันก็ได้ทะยานสู่ท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว แต่สิ่งที่กำลังติดอยู่ในกรงเล็บนั้นก็คือ กระตายตัวอ้วนที่ได้กลายเป็นเหยื่อของพวกมันไปเรียบร้อยแล้ว

 

          “ อินทรีย์ตัวนี้จะเป็นตัวเดียวกับที่เราเคยเจอมาก่อนรึเปล่านะ ? ” ในหัวของฟ่างหยุนเกิดความสงสัยขึ้น แต่ปากของเขาถึงกับต้องสั่น เพราะในตอนที่เขานั้นอาศัยอยู่ที่รังมดเก่าเมื่อหลายวันที่แล้ว เขาพยายามคิดหาทางเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงตัวเองกับนกอินทรีย์อย่างสุดความสามารถ แต่ผลของความพยายามนั้นกลับตรงกันข้ามเลย เพราะสุดท้ายแล้วเขาก็ยังต้องเจอกับพวกมันอยู่ดี

 

          “ หรือว่าเราแค่โชคร้ายไปเอง ? ” เมื่อเป็นเช่นนั้นเขาจึงตกอยู่ในสภาพที่พูดไม่ได้คายไม่ออก และเริ่มรู้สึกท้อแท้ขึ้นมา พร้อมกับพูดว่า

 

          “ เราควรจะหนีไปอยู่ที่อื่น ที่ที่ไกลจากบริเวณนี้ ! ”

 

“ ไม่ ! ไม่เอาดีกว่าไม่ย้ายไปที่ไหนแล้วทั้งนั้น ” เขาพูดขึ้นมาพร้อมกับส่ายหัวอย่างรุนแรง อันที่จริงในผืนป่าบริเวณนี้ก็มีที่เพียงพอให้หลบภัยจากการมองเห็นของพวกนกอินทรีย์ และสิ่งที่สำคัญที่สุดที่เขาต้องรู้ให้ได้ในตอนนี้ก็คือว่า ในป่าแห่งนี้นั้นมีเหยื่อเพียงพอต่อการสะสมคะแนนพลังชีวภาพสำหรับการวิวัฒนาการหรือไม่

 

          เมื่อคิดได้เช่นนี้แล้ว เขาก็เริ่มใจเย็นลงมา เพราะตราบใดที่เขานั้นไม่ปรากฏตัวเองบนพื้นที่โล่งแจ้ง เขาก็ไม่ต้องกังวลเรื่องนกอินทรีย์อีกต่อไป หลังจากที่ตกลงกับความคิดของตัวเองได้แล้ว เขาก็ไม่รอช้าที่จะค่อย ๆ เลื้อยลงมาจากต้นไม้ เพื่อตรวจจับหาความเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิตต่อไป และแล้วเสียงที่คุ้นหูก็ดังขึ้นมาจากด้านหลังของเขา

 

          “ กวิ้กกกกก ! ” เสียงนี้เป็นเสียงของกระรอกตัวเดิมนั่นเอง มันทำให้ฟ่างหยุนต้องชะงักและหยุดมองไปที่ตัวมัน ตอนนี้ตัวของเจ้ากระรอกนั้นสั่นราวกับถูกเจ้าเข้า เมื่อมันเห็นฉากอันดุเดือดจากกลุ่มนกอินทรีย์ไปต่อหน้าต่อตา

 

          เห็นได้ชัดว่าการปรากฏตัวของนกอินทรีย์จะทำให้มันอกสั่นขวัญผวาเป็นอย่างมาก เสียงที่มันส่งมาถึงฟ่างหยุนนั้นเป็นนัยยะราวกับว่า ตัวมันเองต้องการที่จะไปทำใจให้เย็นลงในโพรงของมัน แต่เพราะฟ่างหยุนนั้นกำลังขวางทางมันอยู่ มันก็ไม่รู้ว่าจะกลัวฟ่างหยุนหรือกลัวนกอินทรีย์ดี

 

          หลังจากฟ่างหยุนเข้าใจเจ้ากระรอกผู้น่าสงสารแล้ว เขาก็ค่อยๆคลานลงไปยังพุ่มไม้ด้านล่างโดยไม่ลังเล บนใบหญ้าด้านล่างนั้นถูกปกคลุมไปด้วยน้ำค้าง แม้ว่าตอนนี้สภาพอุณภูมิในป่ากำลังค่อยๆสูงขึ้น แต่มันก็ยังทำให้รู้สึกหนาวได้อยู่ดี

 

          ตอนนี้ฟ่างหยุนเองก็ใช้เวลาทั้งวันเพื่อที่จะพยายามเข้าใจสถานการณ์ของสภาพแวดล้อมในบริเวณนี้ เขาต้องเลื้อยออกไปสำรวจบริเวณรอบๆราว 500 เมตรได้ แต่มีทิศเดียวที่เขาไม่ยอมไปสำรวจนั่นก็คือฝั่งตะวันออก และเป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่งการสำรวจครั้งนี้กลับทำให้เขานั้นไม่พบกับสถานที่ที่ปลอดภัยและอบอุ่นเช่นดังกับโพรงไม้ของเจ้ากระรอกตัวนี้ แต่ในความโชคร้ายยังมีความโชคดีอยู่ เพราะบริเวณแห่งนี้อุดมสมบูรณ์ไปด้วยสัตว์ป่า จะว่าไปก็มีทั้ง กบ หนู กิ้งก่า และสัตว์ขนาดเล็กจำพวกกระต่าย และอีกหลายๆชนิด นอกจากนี้บริเวณทางใต้ เขายังพบกับภูเขาและลำธาร ซึ่งในบริเวณนั้นเองก็เต็มไปด้วยฝูงปลา

 

“ ตอนนี้แค่รอฤกษ์ดีที่จะออกไปล่าปลามาเป็นอาหาร ” ฟ่างหยุนรู้สึกดีขึ้นมาเป็นอย่างมากจากไอเดียนี้ ขณะที่เขากำลังสำรวจอยู่นั้น ไม่ไกลจากต้นสนมากนัก เขาก็ได้พบกับงูเขียวไม้ไผ่ ซึ่งมีลำตัวยาวถึง 1 เมตร

 

          งูเขียวไม้ไผ่นั้นเป็นสายพันธุ์งูที่มีพิษ งูประเภทนี้สามารถพรางตัวได้ดีเยี่ยม เพราะถ้าหากมันพรางตัวอยู่บนกิ่งไม้แล้วละก็ แทบจะไม่มีใครสามารถมองเห็นมันได้เลย

 

          อย่างไรก็ตามตอนนี้สถานะของฟ่างหยุนนั่นก็คืองู ยังไงซะ งูเขียวไม้ไผ่แม้ว่าจะซ่อนตัวดีขนาดไหนก็ไม่สามารถหลบซ่อนพ้นจากประสาทสัมผัสรวมถึงกลิ่นที่ส่งไปถึงฟ่างหยุนได้

 

          หลังจากที่เหลือบมองงูเขียวไม้ไผ่ตัวนี้แล้ว เขาก็เลื้อยมุ่งหน้าต่อไป แม้ว่าทั้งสองต้องอาศัยอยู่ไกล้บริเวณเดียวกัน แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาเลย เพราะที่นี่มีเหยือเพียงพอต่อการล่า ซึ่งทำให้ทั้งสองนั้นไม่จำเป็นจะต้องต่อสู้เพื่อแย่งชิงกันเอง

 

          ถึงแม้ว่าวันนี้เขาจะใช้เวลาส่วนใหญ่ในการสำรวจท้องที่ แต่เขาก็ไม่ได้ลืมที่จะนึกถึงการล่าเหยื่อ เพราะหลังจากการวิวัฒนาการครั้งที่สามสำเร็จ อัตราการล่าเหยื่อของเขานั้นก็สำเร็จมากขึ้นตามไปด้วย ในระหว่างที่เขากำลังสำรวจนั้น เขาก็ได้จับตุ๊กแกที่ยังโตไม่เต็มที่ รวมถึงกบลายเสือและกบสีดำอีก 4 ตัวกินเป็นอาหาร

 

          และเมื่อเขาเดินทางกลับไปถึงยังโพรงไม้ เหยื่อของเขานั้นก็ถูกย่อยอย่างเสร็จสมบูรณ์ในท้องของเขานั่นเอง ตอนนี้เขาได้รับพลังงานชีวภาพเพิ่มขึ้นมาอีก 23 หน่วย

 

          เพราะตุ๊กแกนั้นให้พลังงานชีวภาพ 5 หน่วย กบลายเสือให้อีก 10 หน่วย ส่วนกบสีดำทั้ง 4 ตัวนั้นให้อีก 8 หน่วย ทำให้พลังงานทางชีวภาพของเขาทั้งหมดที่มีในปัจจุบันนี้ มีมากถึง 55 หน่วย !

 

          ตอนนี้เขาได้เลื้อยกลับไปขึ้นไปบนต้นไม้แล้ว เมื่อฟ่างหยุนเข้าไปไกล้โพรงไม้นั้น เขาก็ต้องประหลาดใจเป็นอย่างมาก เพราะตอนนั้นเองในโพรงมีเสียงร้องด้วยความหวาดกลัวของกระรอกดังขึ้น !

 

          เขารีบแลบลิ้นเข้าออกจากปากอากาศเพื่อตรวจจับความร้อนจากสิ่งมีชีวิตอื่น ทำให้ฟ่างหยุนรับรู้ได้ถึงกลิ่นที่ผิดปกติ กลิ่นนี้ไม่ใช่ทั้งของตัวเขาเองและไม่ใช่กลิ่นของเจ้ากระรอก และเมื่อเสียงร้องอย่างหวาดกลัวดังก้องขึ้นมาจากในโพรงทำให้เขามั่นใจได้เลยว่า กระรอกนั้นกำลังถูกโจมตี

 

          ตอนนี้เขารีบพุ่งลงไปในโพรงไม้นั้นอย่างรวดเร็ว และเมื่อเขาลงไปแตะถึงพื้น เขาก็ต้องพบกับสิ่งที่เกิดขึ้นทันทีทันใด เบื้องหน้าของเขานั้นมีสัตว์สองชนิด กำลังประชันหน้ากัน หนึ่งในนั้นก็คือเจ้ากระรอกที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี ส่วนอีกตัวหนึ่งนั้นมีแถบสีดำขาวบนลำตัวยาวและมีจุดด่างที่ปาก

 

          ในขณะที่ฟ่างหยุนกำลังจ้องมองแขกที่ไม่ได้รับเชิญอยู่นั้น เสียงของระบบก็ดังขึ้นมาในใจของเขา

 

ตรวจพบเป้าหมาย !

สกั๊งค์(เจ้าตัวเหม็น)

ประเภท: สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม

สามารถเพิ่มพลังทางชีวภาพได้ 25 หน่วย

 

หลังจากสิ้นเสียงของระบบในใจของเขาแล้ว รูม่านตาของฟ่างหยุนนั้นถึงกับหรี่ลง เพราะเขาคิดว่าเจ้าแขกไม่ได้รับเชิญนี้คือพังพอน ศัตรูตัวร้ายอีกตัวของ งู มันทำให้เขาตกใจเป็นอย่างมาก

 

          สกั๊งค์นั้นถึงแม้จะไม่ใช่ศัตรูตามธรรมชาติของงู แต่ก็เป็นเรื่องยากที่งูนั้นจะสามารถจัดการสกั๊งค์ให้อยู่หมัดได้ แม้ว่าพวกมันจะมีขนาดเล็ก แต่โดยนิสัยแล้วพวกมันดุร้าย ก้าวร้าวที่สำคัญพวกมันมีอาวุธลับที่สุดแสนจะบรรยาย เพราะในเวลาที่เกิดวิกฤต สกั๊งค์จะส่งกลิ่นเหม็นเน่าออกมา ทำให้พวกมันรอดตัวจากนักล่ารายอื่นๆ มาได้จนนับไม่ถ้วน

          หลังจากที่ได้ยินเสียงบางสิ่งบางอย่างเข้ามาในโพรงนี้ มันก็ทำให้เจ้าสกั๊งค์นั้นตกใจไปเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นร่างของฟ่างหยุนซึ่งเป็นงูนั้นปรากฏขึ้นต่อหน้ามัน มันจึงหันไปมองฟ่างหยุนเช่นกัน ตอนนี้ตาทั้งคู่สบกัน ทำให้ขนหัวของสกั๊งค์ลุกตั้งขึ้นมาด้วยความกลัว ดูเหมือนเจ้าสกั๊งค์จะไม่คิดไม่ฝันมาก่อนว่าจะมีบุคคลที่สามเข้ามาร่วมด้วยเช่นนี้

 

          แต่ในทางกลับกันนั้นเมื่อเจ้ากระรอกเห็นฟ่างหยุนปรากฏตัวขึ้น ขนหัวของมันที่กำลังตั้งชันก่อนหน้านี้ กลับมีทีท่าทีผ่อนคลายลงเล็กน้อย และในเวลานั้นเองฟ่างหยุนก็สังเกตเห็นว่าขาหลังของมันได้รับบาดเจ็บและมีเลือดไหลออกมา เห็นได้ชัดเจนเลยว่าการต่อสู้ครั้งนี้ กระรอกนั้นจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ

 

          “ กวิ้กกกกก ! ” ในที่สุดทางฝั่งเจ้าสกั๊งค์ก็เริ่มตอบสนอง ตอนนี้มันจ้องไปทางฟ่างหยุนพร้อมกับคำรามออกมา โดยตอนนั้นเองมันก็ทำท่าเตรียมพร้อมที่จะโจมตีเข้าหาฟ่างหยุน

 

          ดูเหมือนว่ามันกำลังจะต้องการเพิ่มเนื้อของฟ่างหยุนลงไปในจานเดียวกับเนื้อกระรอก ฝั่งฟ่างหยุนเมื่อเห็นอย่างนั้นแล้วก็ไม่รอช้า เขารีบชูคอขึ้นมาแผ่แม่เบี้ย พร้อมกับตั้งท่าจะโจมตีตอบโต้

 

          “ เจ้าสกั๊งค์คงจะคิดว่าตัวเองนั้นแน่มากสินะ ถึงพยายามจะขู่เราขนาดนี้ ”ฟ่างหยุนคิดพร้อมกับขำ ออกมาเบาๆ ในเวลานี้เองดวงตาของพวกเขาทั้งสองกำลังจ้องสบตากัน และระยะห่างระหว่างทั้งคู่นั้นก็เริ่มที่จะลดระยะเข้ามาหากันเรื่อยๆ ภายใต้การเปิดฉากโจมตีของสกั๊งค์

 

          การต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายใกล้เข้ามาเต็มทีแล้ว !

 

 

รีวิวผู้อ่าน