px

เรื่อง : ตำนานงูยักษ์เขมือบโลก
ตอนที่ 14: งูและกระรอก


ตอนที่ 14: งูและกระรอก

 

          “ ย้ากกก ! ” ทันใดนั้นเองเจ้าสกั๊งค์ก็เป็นฝ่ายเปิดฉากโจมตีมาที่ฟ่างหยุน มันเล็งตรงไปที่หัวของเขาพร้อมกับพุ่งเข้ามาเพื่อที่จะกัด แต่ด้วยความมั่นใจพร้อมกับสัญชาตญาณการเอาตัวรอดชั้นเลิศแล้ว ฟ่างหยุดสามารถหลบหลีกการโจมตี้นี้ได้อย่างง่ายดาย และต่อมาเพียงไม่กี่อึดใจฟ่างหยุนก็ทำการตอบโต้กลับ เขาเล็งไปที่ขาของเจ้าสกั๊งค์พร้อมกับพุ่งเข้าไปฉก แต่ความว่องไวของมันนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่จะล้อเล่นได้ มันโยกตัวหลบลงไปทางขวาทำให้เขี้ยวของฟ่างหยุนนั้นได้แค่เฉี่ยวเนื้อมันไป เป็นแผลถลอกเล็กน้อยจนดูไม่น่ากังวล

 

          “ ฮ่าๆ เจ้านี่มันขี้โกง ” เมื่อเห็นว่าเจ้าสกั๊งค์นั้นไม่ได้โดนกัดเข้าอย่างจัง ฟ่างหยุนจากตอนแรกที่หมายมุ่งจะกัดที่ขาของมันอีกครั้ง ตอนนี้เขายิ้มขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์ พร้อมกับเปลี่ยนเป้าหมายเป็นหัวของมัน เพราะตอนนี้เขาได้คาดคะเนไว้แล้วว่าหากเขาพุ่งที่จะกัดมันอีกทีมันน่าจะกระโดดหลบไปทางขวาอีกเป็นแน่ แค่เขาหลอกที่จะจู่โจมและย้ายตัวไปทางซ้ายของตัวเอง เพียงเท่านี้ก็เท่ากับว่าเจ้าสกั๊งค์นั้นก็จะกระโดดตกลงมาที่ปากของเขาอย่างแน่นอน

 

          นี่ไม่ใช่ว่าเขามีเวทย์มนต์อะไรที่ทำให้ล่วงรู้ถึงสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นข้างหน้าได้ แต่เป็นเพราะว่าทางฝั่งด้ายซ้ายของเจ้าสกั๊งนั้นเต็มไปด้วย ต้นไม้ที่มองดูเหมือนเป็นกำแพงกั้น หากมันต้องการจะหลบการโจมตีของเขาแล้วละก็ มันมีทางเดียวที่จะหลบได้ก็คือฝั่งขวาของมันนั่นเอง!

 

          หลังจากที่ฟ่างหยุนนั้นปรับมุมที่เขาจะโจมตีให้แม่นยำขึ้น เขาคิดว่าคราวนี้เจ้าสกั๊งค์ไม่น่าจะพ้นคมเขี้ยวของเขาไปได้อย่างแน่นอน 

 

          “ ฟู่ ! ” ทันใดนั้นเองในขณะที่เจ้าสกั๊งค์กำลังจะหมดท่า มันก็ส่งกลิ่นเหม็นออกมาจากก้นของมัน กลิ่นนี้ฟุ้งกระจายเต็มทั่วโพรงไปหมด จนทำให้ฟ่างหยุนนั้นทนไม่ไหว เขาจึงต้องรีบกลั้นหายใจพร้อมกับคลานออกมาข้างนอกโพรงอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

 

          “ เฮือกกกกก ” เมื่อเขาออกมาถึงข้างนอก ฟ่างหยุนก็ทำการสูดลมหายใจเฮือกใหญ่เข้าไปในปอดอย่างเต็มที่ เขากล้าสาบานได้เลยว่ากลิ่นเหม็นของสกั๊งค์นี้เป็นกลิ่นที่แย่ที่สุดในชีวิตที่เขาเคยได้พบเจอมา มันน่าขยะแขยงเอาเสียมาก และในตอนที่เขาดมเอากลิ่นนี้เข้าไป มันทำให้เขารู้สึกเหมือนจะขาดใจตายให้ได้

 

          หลังจากที่เขานั้นสูดหายใจเข้าออกสักพักแล้ว ฟ่างหยุนก็ทำการพลิกตัวกลับ พร้อมกับมองไปที่โพรงไม้บนต้นสนนั้น เขาเห็นว่าเจ้าสกั๊งค์ยังคงนอนอยู่ในโพรง พร้อมกับส่งเสียงร้องออกมา มันพยายามจะหนีออกมาเช่นกันแต่ก็ไม่มีแรงเพียงพอให้ไต่กลับขึ้นมาได้ อย่าว่าแต่จะปีนหนีออกมาจากโพรงเลย แม้แต่การยืนก็เป็นไปได้ยาก

 

          อันที่จริงฟ่างหยุนเตรียมเคล็ดลับนี้ไว้นานแล้วแต่เพิ่งจะได้นำมาใช้กับเจ้าสกั๊งค์ เพราะเมื่อครั้งแรกที่เขากัดเข้าไปที่ขาของมันแล้วเขาก็ได้ทำการปล่อยพิษเข้าไปสู่กล้ามเนื้อของมันเป็นจำนวนมาก

 

          ตอนนี้พิษของเขานั้นได้ผล มันกำลังออกฤทธิ์ในร่างกายของเจ้าสกั๊งค์อย่างเต็มที่ “ ข้าไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลย ว่าพิษของข้านั้นมันจะรุนแรงถึงเพียงนี้ ”

 

          ฟ่างหยุนมองลงไปยังก้นของโพรงไม้ ตอนนั้นเขาเห็นเจ้าสกั๊งค์ที่กำลังจะดิ้นรนหนีตายปีนออกมา ตัวของมันสั่นอย่างรุนแรงจากฤทธิ์ของพิษ แต่หลังจากนั้นไม่ถึงหนึ่งนาที มันก็หยุดเคลื่อนไหวลงพร้อมกับล้มฟุบลงไป เพียงไม่กี่วินาทีตัวของมันนั้นก็พลิกกลับขึ้นมานอนหงาย และชักดิ้นชักงอย่างทุรนทุรายเพราะหายใจไม่ออก

 

          อย่างไรก็ตามฟ่างหยุนไม่ได้รีบร้อนที่จะลงไปกินมันทันที เขารอให้กลิ่นของมันนั้นจางหายไปก่อน หลังจากที่กลิ่นนั้นหายไปอย่างสนิทแล้วเขาก็ไม่ลังเลที่จะเลื้อยลงไปเขมือบร่างอันไร้วิญญาณของเจ้าสกั๊งค์ ฟ่างหยุนเริ่มกินจากส่วนหัวลงไปจนถึงเท้า

 

          ในโพรงไม้นั้นไม่ได้มีแค่ฟ่างหยุนเพียงลำพัง แต่ยังมีร่างของกระรอกนั้นปรากฏอยู่ มันได้เห็นฉากที่ฟ่างหยุนนั้นกลืนร่างของเจ้าสกั๊งค์ตั้งแต่ต้นจนจบ ทำให้ตอนนี้ตัวของกระรอกเองได้กลับมาสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวอีกครั้ง มันกลัวว่าฟ่างหยุนเองจะกินมันลงไปด้วย

 

          เจ้ากระรอกนั้นได้แต่ทำใจอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะขาหลังของมันนั้นได้รับบาดเจ็บจากการจู่โจม รวมไปถึงกลิ่นเหม็นที่พ่นออกมาจาก ก้นของสกั๊งค์ก็ทำให้ร่างกายของกระรอกในตอนนี้เป็นอัมพาต ดังนั้นในเวลานี้จึงทำให้มันไม่สามารถที่จะวิ่งหนีออกไปทางโพรงไม้ได้เหมือนอย่างคราวก่อนๆ ท้ายที่สุดมันจึงได้แต่นอนมองฟ่างหยุนอย่างผวา

 

          กระรอกน้อยเริ่มที่จะขู่คำราม จนสามารถมองเห็นฟันทุกซี่ของมันได้ ขนของมันที่เคยเรียบราบผ่อนคลายก่อนหน้านี้กลับลุกชันตั้งขึ้นมาอีกครั้งราวกับเหล็กแหลม แต่ถึงอย่างนั้นฟ่างหยุนก็ไม่ได้สนใจ เขากลับเพียงแค่ขดร่างกายของเขาบนขนกระต่ายอันอ่อนนุ่ม และพักผ่อนลงไปอย่างเงียบ ๆ

 

          เมื่อเจ้ากระรอกนั้นเห็นว่าฟ่างหยุนไม่มีทีท่าที่จะกินตัวมันเอง มันจึงค่อยๆผ่อนคลายอิริยาบถ พร้อมกับมองไปที่ฟ่างหยุนอย่างลังเล จากนั้นมันก็ขดตัวเป็นลูกบอลและนอนหลับไปเช่นกัน

          เช้าวันต่อมา ฟ่างหยุนนั้นได้ออกไปล่าเหยื่อตามปกติ แต่ระหว่างที่กำลังคลานออกจากโพรงนั้น มีเสียงดังเกิดขึ้นจากลำตัวของเขา มันทำให้เจ้ากระรอกนั้นตกใจตื่นขึ้นมาและแทบจะทำให้มันนั้นวิ่งหนีออกไปทางปากโพรงแบบที่เคยทำมาตลอด แต่ด้วยอาการบาดเจ็บที่ขาหลัง ส่งผลให้เจ้ากระรอกนั้นวิ่งไปเกือบจะถึงปากโพรงก็ต้องกลิ้งตกกลับลงมาดังเดิม และสิ่งที่มันทำได้ก็คือมองมาที่ฟ่างหยุนด้วยความตื่นตระหนกนั่นเอง

 

          ฟ่างหยุนไม่สนใจกระรอกอีกต่อไป เขาเลื้อยออกมาจากโพรงไม้และพร้อมที่จะออกล่าเหยื่อตามโปรแกรมที่เขาวางไว้ก่อนหน้านี้

 

          เขาคิดว่าวันนี้คงไม่ใช่วันดีสำหรับเขา เพราะเขานั้นไม่สามารถจับเหยื่อกินได้มากมายเท่ากับเมื่อวาน ทำให้วันนี้นั้นเขาได้รับพลังงานทางชีวภาพไปแค่ 5หน่วยเท่านั้น

 

          แต่อย่างน้อย พลังงานทางชีวภาพ 5 หน่วยนี้ก็มารวมกับของที่เขาสะสมไว้ก่อนหน้านั้น ทำให้เขามีพลังงานรวมแล้ว 85 หน่วย !

 

          “ อีกเพียงแค่ 5 หน่วยเท่านั้น ! เราก็จะสามารถเข้าสู่ระบบวิวัฒนาการขั้นต่อไปได้ ” เขารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ตราบใดที่โชคยังเข้าข้าง เขาอาจจะเข้าสู่ระบบวิวัฒนาการไม่วันนี้ก็พรุ่งนี้ อย่างแน่นอน

 

          หลังจากที่ร่างกายของเขาเติบโตขึ้นมาแล้วนั้น เขาคิดว่าคงจะอยู่ในป่านี้ได้อย่างปลอดภัยมากขึ้น ตราบใดที่เขาไม่เผยตัวในที่โล่งแจ้งแล้ว นกอินทรีย์ก็ไม่น่าจะสามารถมองเห็นเขาจากระยะไกลๆได้ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วชีวิตเขาก็คงไม่มีอันตรายใดเข้ามาคุกคามได้อีกต่อไป อย่างน้อยก็ในบริเวณรอบๆที่เขาสำรวจมาแล้วอย่างดี

 

          นอกจากนี้แล้วเขายังสามารถเลื้อยไปที่ห่างไกลมากกว่าเดิม เพื่อสำรวจเพิ่มเติมได้อีกด้วย อย่างไรก็ตามเมื่อร่างของเขานั้นพัฒนาขึ้น แน่นอนว่าการวิวัฒนาการครั้งต่อไปอาจจะต้องใช้พลังงานทางชีวภาพที่มากขึ้นเพิ่มเข้าไปอีกเป็นเท่าตัว

 

          หลังจากที่ออกล่าสัตว์อย่างเหนื่อยล้ามาทั้งวัน ฟ่างหยุนก็เลื้อยกลับมาที่โพรงไม้เช่นเดิม ตามปกติแล้วเจ้ากระรอกจะหาที่ซ่อนตัวอยู่มุมใดมุมหนึ่งของโพรงไม้ผสมกับสายตาจ้องมองมาที่เขาด้วยความระมัดระวัง แต่มาวันนี้ตัวของเจ้ากระรอกเองก็ไม่ได้สั่นแล้ว

 

หลังจากที่พักผ่อนมาทั้งคืนฟ่างหยุนก็ตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่นเบิกบานและพร้อมที่จะออกล่าเหยื่อต่อแล้ว แต่ระหว่างล่านั้นก็ต้องทำให้ฟ่างหยุนรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา เพราะวันนี้เขาโชคร้ายกว่าเมื่อวานหลายเท่าเพราะเขานั้นแทบจะไม่ได้พบกับเหยื่อเลย อีกไม่พอเวลาที่เขานั้นเจอกับเหยื่อบางชนิด อีกฝ่ายก็จะไหวตัวทันพร้อมกับหนีหายไปในพริบตาทันที วันนี้เขาสามารถล่าเหยื่อและได้รับพลังงานทางชีวภาพแค่ 3 หน่วยเท่านั้น

 

อย่างไรก็ตามจากการคาดคะเน วันนี้เขาจะเริ่มทำการทดลองเพิ่มศักยภาพทางร่างกายของเขาด้วยการออกกำลังกาย เพื่อเป็นการทดสอบว่าสิ่งที่เขาสงสัยนั้นจะเป็นไปตามที่เขาทดลองหรือไม่

 

แต่ดูเหมือนมันจะจืดชืดไปเสียหน่อย เพราะการออกกำลังกายนั้นให้ผลลัพธ์ที่ค่อนข้างช้ามากหากเทียบกับการออกไปล่าเหยื่อแล้วนั้น อย่างหลังดีกว่าเป็นไหนๆ

 

เพราะจากการค้นพบของเขานั้น หากต้องการเพิ่มคุณสมบัติของตัวเอง เขานั้นจะต้องทะลุขีดจำกัด ทางกายภาพของเขา โดยการหักโหมมันอย่างมาก ครั้งแล้วครั้งเล่า ยกตัวอย่างเช่นรอบที่ผ่านมานั้นเขาเลื้อยอย่างเต็มกำลังติดต่อกันนานถึงหนึ่งชั่วโมง ทำให้ความแข็งแกร่งทางกายภาพของเขานั้นเพิ่มขึ้นมา 0.1 หน่วย

 

หลังจากที่ฟ่างหยุนนั้นอยากจะพัฒนาความแข็งแกร่งทางร่างกายของตัวเขาเองด้วยจำนวนที่เท่ากันกับครั้งก่อนแล้ว การวิ่งแค่ 1 ชั่วโมงอาจจะไม่เพียงพอสำหรับเขา อ้างอิงจากการทดสอบ ถ้าหากเขาต้องการจะพัฒนามันขึ้นไปอีกเขานั้นจะต้องเลื้อยอย่างเต็มกำลัง 2 ถึง 3 ชั่วโมงเลยก็ว่าได้

 

แน่นอนว่ามันอาจจะไม่เป็นไปตามที่คาดคะเนไว้ แต่เขาก็อาจจะใช้มันสำหรับทางเลือกสุดท้าย ยกตัวอย่างเช่นวันนี้โชคไม่เข้าข้างเขาไม่สามารถล่าเหยื่อได้เลยสักตัว เขาก็แค่เปลี่ยนวิธีเพิ่มความแข็งแกร่งของร่ายกายโดยการออกกำลังกายนั่นเอง

 

ยิ่งไปกว่านั้นแล้ว ฟ่างหยุนคิดว่า ไม่ใช่เพียงแต่ความแข็งแกร่งของร่างกายที่จะได้รับการพัฒนาจากการออกกำลังกาย แต่ความคล่องแคล่วว่องไวก็อาจจะพัฒนาขึ้นมาได้จากการออกกำลังกายเช่นกัน

 

หลังจากที่เขาทำการทดลองนี้กับตัวเองถึงครึ่งวัน ฟ่างหยุนก็ได้รับความแข็งแกร่งทางกายภาพเพิ่มขึ้นมาจากเดิม 2.1 หน่วย ตอนนี้เป็น 2.2 หน่วยแล้วนั่นเอง

 

ตอนนี้ขีดจำกัดในการเลื้อยของฟ่างหยุนนั้นเพิ่มขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด เขาสามารถเลื้อยอย่างเต็มกำลังและต่อเนื่องเป็นเวลาถึง 2 ชั่วโมงได้อย่างสบาย

 

หลังจากที่ฟ้ามืดลงแล้วฟ่างหยุนก็เลื้อยกลับมาที่โพรงไม้เดิม แต่เมื่อมาถึงแล้วนั้นเขาก็ต้องแปลกใจเพราะกระรอกไม่ได้อยู่ในโพรงนั้นแล้ว เพราะในตอนเช้าเขาพบว่าอาการบาดเจ็บของกระรอกนั้นดีขึ้นมามาก บางทีมันอาจจะออกไปหาที่สงบๆ เพื่อพักผ่อนก็เป็นได้ เพราะปกติหลังจากที่ฟ่างหยุนมายึดโพรงไม้แล้วเจ้ากระรอกก็ต้องนอนอยู่ด้านนอกในเวลากลางคืนเสมอ

 

แต่แล้วก็มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ฟ่างหยุนนั้นต้องประหลาดใจเป็นอย่างมาก คือเมื่อเขามาถึงในโพรงไม้ได้ไม่นาน เจ้ากระรอกก็ปรากฏตัวขึ้นหน้าปากทางเข้า พร้อมกับค่อยๆไต่ลงมายังพื้นโพรง และเมื่อมันมาถึงด้านล่างนี้แล้วมันจึงหลบเข้าไปยังมุมมุมหนึ่งพร้อมกับม้วนตัวเป็นลูกบอลและแอบส่งสายตามองฟ่างหยุนด้วยความระมัด

 

ดูเหมือนว่าตอนนี้ความกลัวในใจของกระรอกที่มีต่อฟ่างหยุนนั้นค่อยๆจางหายลงไปแล้ว ฟ่างหยุนจากที่ไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน ตอนนี้เขากลับรู้สึกมีความสุขขึ้นมาที่มีกระรอกเป็นเพื่อนข้างกาย

 

ด้วยเหตุผลนั้นฟ่างหยุนอาจจะไม่ค่อยแน่ใจนัก บางทีอาจจะเป็นเพราะเขารู้สึกโดดเดี่ยวจนเกินไป จึงทำให้เขานั้นต้องการใครสักคนมาอยู่เคียงข้าง ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายนั้นจะไม่สามารถสื่อสารกับเขาได้ แต่แค่อยู่เป็นเพื่อนยามเหงา ได้แค่นี้เขาก็รู้สึกพอใจแล้ว

 

ในขณะที่คิดถึงเรื่องนั้นทั้งคู่ก็เผลอหลับลงไปโดยไม่รู้ตัว

 

เช้าของวันถัดมา ฟ่างหยุนยังคงออกล่าเหยื่อตามปกติ และในที่สุดวันนี้เขาก็มีพลังทางชีวภาพเพียงพอที่จะเข้าสู่ระบบของการวิวัฒนาการขั้นที่สี่ของเขา

 

รีวิวผู้อ่าน