ตอนที่ 15: ขยายอาณาเขต
“ ตึ๊ง ! ระบบตรวจพบว่าท่านฟ่างหยุนนั้นมีพลังทางชีวภาพเพียงพอที่จะเข้าสู่การวิวัฒนาการ ท่านต้องการที่จะรับเลยหรือไม่ ? ”
“ รับ ! ” ฟ่างหยุนรีบตอบกลับระบบในความคิดของเขาขึ้นมาทันที และเช่นเคยเมื่อตอบรับไปดังนั้นแล้วจึงเกิดเป็นกระแสความอบอุ่นขึ้นมาในเลือดของเขาพอเวลาผ่านไปสักพักมันจึงเปลี่ยนจากความอบอุ่นพอดีจนถึงขั้นร้อนสุดขีด
ในโพรงไม้ตอนนี้นั้นฟ่างหยุนดิ้นไปมาอย่างทุรนทุราย เขาพยายามใช้ร่างกายของเขาถูเข้ากับพื้นผนังของโพรงอยู่ตลอดเวลา
แม้ว่าฟ่างหยุนนั้นจะมีความอดทนต่อความเจ็บปวดมากขึ้น แต่ก็ใช่ว่าจะสามารถล้อเล่นต่อความเจ็บปวดที่มาจากการวิวัฒนาการได้ เจ้ากระรอกที่กำลังขดตัวเป็นลูกบอลอยู่อีกมุมหนึ่งของโพรงไม้นั้น เมื่อเห็นว่าฟ่างหยุนเองกำลังมีปฏิกิริยาที่ผิดปกติไปจากเดิมจึงทำให้เจ้ากระรอกนั้นรู้สึกกังวลและสงสัยเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่ามันจะอยากเข้ามาดูไกล้ๆให้เห็นชัดว่าเกิดอะไรขึ้น แต่มันก็ทำได้แค่คิด เพราะจริงๆแล้วมันยังมีความเกรงกลัวต่อฟ่างหยุนอยู่นั่นเอง
หลังจากนั้นสิบนาทีความเจ็บปวดอันแสนทรมาณจากการวิวัฒนาการของฟ่างหยุนเองนั้นก็ได้จบลงอย่างเสร็จสมบูรณ์
“ ตึ๊ง ! การวิวัฒนาการครั้งที่ 4 ของท่านฟ่างหยุนเสร็จสิ้นอย่างสมบูรณ์ตอนนี้ท่านฟ่างหยุนอยู่ในระดับที่ 5 รางวัลของการวิวัฒนาการครั้งนี้คือคะแนนทักษะ 4 คะแนน”
“ ตึ๊ง ! ระบบตรวจพบว่าท่านฟ่างหยุนมีคะแนนทักษะคงเหลือ 4 คะแนน จึงสามารถอัพเกรดทักษะดังต่อไปนี้ได้ ท่านฟ่างหยุนต้องการที่จะตรวจสอบหรือไม่ ? ”
เมื่อได้ยินระบบแจ้งเตือนมาดังนี้แล้ว ฟ่างหยุนก็ไม่ลังเลที่จะตรวจสอบมัน อย่างไรก็ตามทักษะที่แสดงขึ้นมาตรงหน้าของเขานั้นก็ยังคงมีเพียงแค่ 2 ทักษะเท่านั้น นั่นก็คือ พิษมรณะ กับ การพรางตัว
เมื่อเห็นดังนั้นแล้วมันจึงทำให้ฟ่างหยุนรู้สึกผิดหวังขึ้นมาเล็กน้อย เพราะตอนนี้ระดับของทักษะพิษมรณะนั้นอยู่ขั้นที่ 2 แล้ว ซึ่งมันเพียงพอต่อความต้องการของฟ่างหยุนและตรงกันข้ามสำหรับทักษะ การพรางตัวนั้น ยังไม่มีความจำเป็นสักเท่าไหร่มากนัก
เมื่อคิดได้ดังนั้นแล้วฟ่างหยุนก็จึงหยุดที่จะไม่เลือกการอัพเกรดต่อทักษะใดๆ เขาต้องการเก็บสะสมคะแนนทักษะนี้ไว้ใช้ในภายภาคหน้า หรือสำหรับกรณีฉุกเฉินเท่านั้น
“ ช่วยเปิดฐานข้อมูลของข้าด้วย ”
ฟ่างหยุนพูดถึงระบบเบาๆในความคิดของเขา จึงทำให้ม่านแสงแสบตานั้นปรากฏขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับรายละเอียดดังนี้
รายการคุณสมบัติของท่านฟ่างหยุน
ระดับ: 5
พลังงานทางชีวภาพ: 12/250
คะแนนทักษะ: 4
ความยาวของลำตัว: 1 เมตร
เส้นผ่าศูนย์กลาง: 2.8 เซนติเมตร
พลัง: 2
พลังป้องกัน: 2.0
ความเร็ว: 1.5
ความว่องไว: 2.0
วิญญาณ: 3.0
ความแข็งแกร่งทางกายภาพ: 2.8
ทักษะติดตัว: พิษมรณะ 2/5
คะแนนชื่อเสียง: 0/10000000
เมื่อมองคุณฐานคุณสมบัติของตัวเองตั้งแต่ต้นจนจบแล้ว ฟ่างหยุนเองนั้นก็ได้รู้ว่าตอนนี้ตัวของเขานั้นมีการพัฒนาไปเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะความยาวของลำตัวที่โดดเด่นเห็นได้ชัด คราวนี้มันมีขนาดถึง 1 เมตรเลยทีเดียว ส่วนคุณสมบัติด้านอื่นก็เช่นกัน
นอกจากนี้แล้วเขาก็ยังสังเกตเห็นอีกว่า การจะเข้าสู่ขั้นตอนวิวัฒนาการในครั้งต่อไป จะต้องใช้พลังงานทางชีวภาพถึง 250 หน่วย ซึ่งมันก็ไม่มากไม่น้อยแต่อย่างใด
แม้ว่าระบบนิเวศน์ในระแวกนี้นั้นจะค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ แต่มันก็ยังเป็นเรื่องยากที่เขาจะบรรลุเป้าหมายได้อย่างรวดเร็วในตอนนี้ เพราะถ้าหากเขาต้องการที่จะรวบรวมพลังงานชีวภาพเพื่อที่จะเข้าสู่การวิวัฒนาการขั้นต่อไปให้ไวมากขึ้นแล้ว เขาจำเป็นต้องขยายอาณาเขตให้การล่า
ตอนนี้จุดประสงค์ในการล่าของฟ่างหยุนนั้นเริ่มเปลี่ยนไป ของควรที่จะต้องมองหาเหยื่อที่มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิมเพื่อให้ได้รับพลังงานสะสมที่เพียงพอ
“ กวิ้ก กวิ้ก ! ” ทันใดนั้นเองก็ปรากฏเสียงแหลมแผดร้องดังขึ้นมาขัดจังหวะความคิดของฟ่างหยุน เขาไม่รอช้าที่จะมองไปยังต้นเสียงแหลมที่แผดออกมานั้น เจ้าของเสียงก็คือเจ้ากระรอกนั่นเอง ตอนนี้มันอยู่บริเวณทางด้านขวาของเขาและดูเหมือนว่ามันเองก็กำลังจ้องมองขนาดลำตัวที่ใหญ่ขึ้นของเขาอย่างประหลาดใจ
ความสัมพันธ์ของทั้งสองเริ่มที่จะแน่นแฟ้นขึ้น ตอนนี้กระรอกเริ่มที่จะไม่กลัวฟ่างหยุนแบบที่ผ่านมาแล้ว มันเริ่มที่จะวางใจว่าฟ่างหยุนคงไม่ทำร้ายมันเป็นอย่างแน่นอน บางครั้งเองเจ้ากระรอกก็อยากที่จะสานสัมพันธ์ให้ดีขึ้นโดยการส่งเมล็ดเกาลัดให้กับฟ่างหยุนเพื่อให้ได้ทดลองชิม
แต่เนื่องจากว่าฟ่างหยุนนั้นไม่สามารถรับพลังงานทางชีวภาพได้จากการกลืนกินพืช และฟันของฟ่างหยุนเองนั้นก็ไม่สามารถเคี้ยวลูกเกาลัดให้ละเอียดได้ นั่นหมายความว่าถ้าหากเขาต้องกลืนกินมันลงท้องไปจริงๆ แล้วมันอาจจะทำให้เขาปวดท้องอย่างรุนแรงจากการที่ท้องเขาไม่สามารถย่อยอาหารได้ ดังนั้นเขาจึงปฏิเสธน้ำใจอันดีงามของเจ้ากระรอกทุกๆ ครั้ง
ในไม่กี่วันข้างหน้านี้ ฟ่างหยุนเองก็พยายามที่จะขยายอาณาเขตสำหรับการล่าเหยื่อของเขาให้กว้างขึ้นจากเดิมเป็นสามถึงสี่เท่า ตามความคิดที่เคยคิดไว้
แต่การที่จะทำเช่นนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะก่อนหน้านี้นั้นเขาพยายามที่จะขยายอาณาเขตในการล่าลงไปทางทิศใต้ของป่า ทำให้ในครั้งนั้นเขาได้พบเจอกับเจ้าพังพอนมาแล้ว และถ้าหากว่าในตอนนั้นเขาไม่ได้ระวังตัวเป็นอย่างมาก ตอนนี้เขาอาจจะกลายเป็นขนมขบเคี้ยวให้มันแล้วก็ได้
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาฟ่างหยุนก็จดจำไว้เสมอเลยว่า ทิศใต้นั้นคือเขตหวงห้าม และนอกจากนี้ตอนที่เขาพยายามจะขยายอาณาเขตไปทางทิศเหนือ เขาก็ยังได้พบกับเจ้างูภูเขาสีดำซึ่งลำตัวมันมีความยาวถึง 1 เมตร และที่แย่ไปกว่านั้นเขาทั้งสองก็เกือบที่จะได้ต่อสู้กัน
และเป็นเพราะว่าอีกฝ่ายนั้นเพิ่งจะอิ่มจากการล่าเหยื่อมาใหม่ๆ ทำให้สภาพร่างกายของมันนูนเป็นคลื่นอย่างเห็นได้ชัด จึงเป็นความโชคดีที่มันยังไม่เปิดฉากโจมตีฟ่างหยุนแต่อย่างใด
แต่ในความเป็นจริงนั้นด้วยความสามารถของฟ่างหยุนที่มีอยู่ มันไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรเลยที่จะจัดการเจ้างูภูเขาสีดำ เพราะความเร็วของมันในตอนนั้นเองเชื่องช้าเป็นอย่างมาก ถ้าหากเขาต้องการที่จะจัดการมันจริงๆ เขาแทบจะไม่ต้องออกแรงอะไรมากมายเลย
แต่เนื่องจากเจ้างูภูเขาสีดำในตอนนั้นมีลำตัวที่ยาวกว่าลำตัวของเขาเป็นอย่างมาก และฟันของฟ่างหยุนก็ไม่สามารถที่จะบดขยี้เนื้อของมันได้ เขาจึงตัดสินใจปล่อยอาหารมื้อโอชะไปอย่างน่าเสียดาย
ภายใต้การสำรวจพื้นที่มาสักพักของฟ่างหยุนเอง มันก็ทำให้เขาค้นพบว่า ในบริเวณที่เขาอยู่อยู่นั้นมีเหยื่อมากกว่าบริเวณอื่นๆ ซึ่งแน่นอนว่ามันก็ทำให้เขานั้นต้องมีคู่แข่งเพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าตัวในไม่ช้า และทั้งนี้มันก็อาจจะเป็นการดึงดูดศัตรูในทางธรรมชาติของเขาเข้ามาอีกด้วยอย่างแน่นอน ดังนั้นเพื่อที่จะออกล่าในแต่ละครั้งเขาต้องวางแผนให้ถี่ถ้วนก่อนที่จะเดินทางออกไป
หากเมื่อเอ่ยถึงความคุ้มค่าแล้ว หลายวันที่ผ่านมานี้ฟ่างหยุนพยายามออกล่าเหยื่ออย่างสุดความสามารถ ทำให้ตอนนี้เขามีพลังงานทางชีวภาพสะสมถึง 123 หน่วย ซึ่งมันเกือบจะถึงครึ่งหนึ่งของเงื่อนไขในการวิวัฒนาการครั้งต่อไปแล้ว
ฟ่างหยุนกำลังซุ่มซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้ใต้ต้นชอมพออยู่นั้น เขาทำการตวัดลิ้นเข้าออกเพื่อให้รับรู้ถึงการเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิต ทันใดนั้นสายตาเขาก็เหลือบมองไปเห็นโพรงใต้รากไม้
เขาไม่รอช้าที่จะเลื้อยพุ่งลงไปในรูของโพรงไม้นั้น หลังจากที่เข้าไปได้สักพักเขาก็ตรวจจับกลิ่นได้ว่าโพรงนี้มีเจ้าของอาศัยอยู่ เขาจึงเลื้อยเข้าไปในส่วนที่ลึกที่สุดของโพรงเพื่อที่จะตามหาเจ้าของตัวนี้ จากนั้นเพียงครู่หนึ่งก็ปรากฏเสียงร้องแหลมออกมาด้วยความตื่นตระหนก ก่อนที่เสียงนั้นจะเบาบางลงไป
หลังจากนั้นไม่ถึงนาทีฟ่างหยุนก็ค่อยๆ เลื้อยกลับขึ้นมาจากโพรง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้กลับมามือเปล่า เขากลับออกมาพร้อมกับหนูตัวใหญ่ที่เขากำลังกอดรัดมันอย่างแน่นหนาพร้อมกับลากมันออกมาอย่างทุกลักทุเล จากนั้นในไม่ช้าเขาก็กลืนกินมันลงไปในท้องของเขานั่นเอง
เมื่อเสร็จกิจกรรมยามบ่ายแล้ว ฟ่างหยุนค่อยๆ แหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกล่าวขึ้นมาว่า “ พระอาทิตย์ไกล้จะตกดินแล้ว ไม่น่าจะเกินสองชั่วโมงความมืดมิดก็คงเข้ามาเยือน ”
คงจะถึงเวลาที่เขาต้องกลับบ้านแล้วจริงๆ วันนี้การล่าของเขาออกมาเป็นที่น่าพอใจ เพราะก่อนที่จะเจอกับเจ้าหนูตัวใหญ่นี้ เขาได้จับตัวตุ่นโตเต็มวัยและกิ้งก่ากินเป็นอาหารมาก่อนแล้ว ถ้าหากรวมเจ้าหนูยักษ์ตัวนี้เข้าไปแล้วละก็ เขาสะสมพลังงานได้ถึง 47 หน่วยเลยทีเดียว
ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะต้องใช้เวลานานนับชั่วโมงในการย่อยเหยื่อเหล่านี้แล้ว เขาอาจจะสามารถล่าเหยื่อและสะสมพลังงานทางชีวภาพได้เยอะกว่านี้อย่างแน่นอน
“ ตอนนี้ข้าเองก็สามารถล่าเหยื่อได้เยอะขึ้นกว่าเดิม ผลมาจากการที่เราขยายอาณาเขตในการล่าอย่างแน่นอน ”
ฟ่างหยุนถอนหายใจออกมาเบาๆ เขาต้องใช้ความกล้าเป็นอย่างมากในการขยายอาณาเขตในการล่าให้กับตัวเขาเอง นึกย้อนไปสมัยที่เขายังมีความยาวแค่ 20-30 เซนติเมตรแล้วต้องหลบๆ ซ่อนๆจากเจ้าไก่ฟ้า จึงทำให้เขาอดที่จะคับแค้นใจขึ้นมาไม่ได้
เพราะตอนนี้ถ้าหากเขาต้องเจอกับไก่ฟ้าขึ้นมาอีกครั้งแล้วละก็ เขาอยากที่จะสั่งสอนมันและจับมันเป็นอาหารให้จนได้
ขณะที่คิดถึงเรื่องที่จะจัดการกับเจ้าไก่ฟ้า ฟ่างหยุนก็ยังคงเลื้อยมุ่งหน้าต่อไปจนถึงรังของเขาเอง เพราะตอนนี้มันก็ไกล้จะมืดมากแล้ว เรื่องล่าเหยื่อค่อยเริ่มใหม่วันพรุ่งนี้ก็แล้วกัน
หลังจากที่เลื้อยมายาวนานเกือบชั่วโมง เขาก็กลับมาถึงรังนอนอย่างปลอดภัย ไม่นานเมื่อเขาเข้าไปถึงพื้นของรังนอน เจ้ากระรอกน้อยก็กำลังพึ่งจะกลับมาถึงเช่นเดียวกัน โดยมันนั่งอยู่ที่มุมของตัวเองพร้อมกับคายลูกเกาลัดออกมากองไว้ข้างๆ เพื่อสะสม
ฟ่างหยุนเองนับได้โดยรวมตอนนี้มีลูกเกาลัดอยู่ถึง 9 ลูกแล้ว ดูเหมือนว่าวันนี้จะไม่ใช่เขาเพียงคนเดียวที่มีโชคในการหาอาหาร แต่เจ้ากระรอกตัวนี้ก็คงโชคดีเช่นเดียวกันกับเขา
ในตอนนี้ฟ่างหยุนมีชีวิตประจำวันที่ซ้ำซากจำเจ เขาต้องออกล่าและกลับเข้ามาที่รังแบบนี้เหมือนทุกๆวัน โดยที่เขานั้นต้องทำมันอย่างไม่มีวันจบอย่างซ้ำไปซ้ำมา
อย่างไรก็ตามฟ่างหยุนเองก็ไม่ได้ลดละความไม่ประมาทลงเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าตอนนี่เขาจะเริ่มแข็งแกร่งและติดอันดับสูง ๆในห่วงโซ่อาหารแล้ว แต่เขาก็ยังคงทำทุกอย่างอย่างรอบครอบอยู่ดี
แต่จะว่าไปแล้ว พังพอน,แมวป่า และนกอินทรี ก็ยังคงเป็นภัยคุกคามของเขาอยู่ดี ดังนั้นแม้ว่าจะเบื่อหน่ายกับวิถีชีวิตอันซ้ำซากจำเจของตัวเอง แต่เขาก็ยังเลือกที่จะทำแบบนั้นในทุกๆวัน เพื่อให้เขานั้นได้สะสมพลังงานจนพร้อมที่จะเข้าสู่ขั้นวิวัฒนาการในครั้งต่อไป
แต่ถึงอย่างนั้นก็ช่างมันยังคงเป็นเรื่องที่น่าหดหู่สำหรับฟ่างหยุนอยู่ดี แต่โชคยังดีที่มีกระรอกน้อยตัวนี้คอยเติมสีสันให้จึงทำให้ชีวิตของเขาไม่น่าเบื่อจนเกินไป
และเมื่อเขาเห็นกระรอกน้อยตัวนี้กลับมาที่รังทุก ๆ วันถึงแม้ว่าจะไม่สามารถสื่อสารกันให้เข้าใจได้ แต่นั่นก็ยังทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายสบายใจอยู่ดี
และแน่นอนว่าฟ่างหยุนเองก็ไม่ลืมที่จะตั้งชื่อให้เจ้ากระรอกน้อยตัวนี้ด้วย เพราะขนที่นุ่มเงางามของมันแล้วด้วยเหตุนี้เขาจึงเลือกตั้งชื่อให้มันว่า เสี่ยวหม่า !
โดยเดิมทีนั้นฟ่างหยุนคิดว่าเขาจะต้องใช้ชีวิตอันน่าเบื่อนี้ต่อๆ ไปจนถึงในอนาคต แต่ใครจะรู้ว่าชะตาของเขาถูกลิขิตให้มาพบกับเพื่อนรักต่างสายพันธุ์โดยบังเอิญเช่นนี้