ตอนที่ 26: รอดตายอย่างหวุดหวิด
“ บ้าเอ้ย...นี่เราลืมตัวจนประมาทขนาดนี้เลยเหรอ ? ” ฟ่างหยุนโทษตัวเองเป็นอย่างมากที่ประมาท เพราะเขามัวแต่คิดฟุ้งซ่านเรื่องต่างๆนาๆ จนตัวเองมาอยู่ในตำแหน่งที่สามารถพบเจอได้ง่ายๆจากท้องฟ้า ซึ่งก็คือที่โล่งแจ้งกลางลานหญ้านั่นเอง
ตอนนี้สิ่งที่เขาทำได้นั่นก็คือรีบสะบัดหัวตัวเองเรียกสติกลับคืนมา
“ นี่ไม่ใช่เวลาจะมัวมาตื่นเต้น...รีบหาทางหนีก่อนดีกว่า ” ระหว่างที่คิดหาทางรับมือ ตัวฟ่างหยุนเองนั้นก็ไม่ได้ละสายตาจากนกอินทรีย์เลยแม้แต่น้อย ตอนนี้ร่างเงาสีดำของเจ้านกอินทรีย์ไกล้จะเข้ามาถึงตัวเขาเรื่อยๆแล้ว มันทำให้หัวใจของฟ่างหยุนนั้นเต้นไม่เป็นจังหวะ เขารู้สึกปวดหัวจนหัวแทบจะระเบิดให้จนได้
ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ละสายตาจากเจ้านกอินทรีย์เลย แต่ตัวของเขาเองก็แข็งทื่อเป็นหุ่นอยู่ตรงที่เดิมไม่ไปไหน เพราะถ้าหากตอนนี้เขาเริ่มที่จะขยับตัว เจ้านกอินทรีย์ที่กำลังพุ่งแหวกอากาศลงมานั้นก็จะมีเวลาเพียงพอเพื่อปรับองศาจุดตกพร้อมกับโฉบลงมาฆ่าเขาได้อย่างง่ายดาย
ดังนั้นฟ่างหยุนจึงทำได้แค่รอเวลาที่เหมาะสม ก็คือรอจนกว่านกอินทรีย์นั้นไกล้จะมาถึงตัวเขาในตอนนั้นเขาค่อยขยับหนี จะทำให้นกอินทรีย์ที่เหมือนล็อคตำแหน่งมาแล้วไม่สามารถปรับการบินได้กระทันหันและพลาดเป้าไปในที่สุดนั่นเอง
ตอนนี้สถานการณ์ค่อนข้างจะตึงเครียดเป็นอย่างมาก เครียดเสียจนไม่สามารถกระพริบตากันได้เลยทีเดียว เพราะฟ่างหยุนรู้ตัวเองดีว่าการกระทำนี้มันเสี่ยงอันตรายเกินไป และถ้าหากพลาดไปแล้วก็เท่ากับว่าเขาต้องไปสู่สวรรค์เลยทีเดียว แต่นี่ก็เป็นเพียงแค่หนทางเดียวเช่นกันที่จะสามารถเอาชีวิตรอดออกไปได้ในเวลานี้
รอ รอ รอ และก็รอ รอจังหวะที่ดี นอกจากความกลัวที่เข้ามาครอบงำในใจของเขาแล้ว ตอนนี้เขาทำได้แค่เพียงรอ
“ ไกล้แล้ว...ไกล้แล้ว ! ” ตอนนี้ฟ่างหยุนสามารถมองเห็นกรงเล็บอันแหลมคมราวกับหอกพร้อมกับสายตาอันเลือดเย็นของนกอินทรีย์ที่จ้องมายังนัยตาของเขาเช่นกัน ระหว่างที่รอจังหวะอยู่นั้นกรงเล็บมรณะก็ไกล้เข้ามาแทบจะถึงหัวของเขาแล้ว ราวกับว่าภายใน 1ถึง 2 วินาทีข้างหน้านี้มันจะต้องลงมากระแทกที่ร่างของเขาอย่างจังพร้อมกับสับชิ้นส่วนของเขาเละจนไม่มีชิ้นดีอย่างแน่นอน
“ ตอนนี้แหละ... ! ” ฟ่างหยุนกระชับกล้ามเนื้อทุกส่วนจนมันแน่นมากที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ และต่อมาเขาก็รีบพุ่งตัวไปด้านหน้าอย่างรวดเร็วและรุนแรงราวกับสายฟ้าฟาด !
ร่างของฟ่างหยุนนั้นพุ่งลอยออกมาจากตำแหน่งเดิมไปข้างหน้าหลายเมตร เมื่อเวลากระชั้นชิดขนาดนี้ เจ้านกอินทรีย์ที่เห็นว่าฟ่างหยุนกำลังพยายามหนีจากการล่าของมัน มันจึงได้ทำการเหยียดขาให้ยาวกว่าเดิมและพยายามตะครุบไปที่ลำตัวของฟ่างหยุน แต่ด้วยความรวดเร็วของฟ่างหยุนแล้ว นกอินทรีย์พลาดเป้าจากลำตัวของฟ่างหยุนทำให้ปลายเล็บอันแหลมคมนั้นไปเฉี่ยวที่บริเวณหางของฟ่างหยุน
“ แย่แล้ว... ” ตอนนี้ฟ่างหยุนรู้สึกได้ทันทีว่าหางของเขานั้นบาดเจ็บจากการถูกตระครุบ เขาพยายามกัดฟันเพื่อฝืนความเจ็บปวดของตัวเองพร้อมกับลากตัวเองให้เลื้อยมุ่งหน้าต่อไป
“ หางของเราฉีกยับเลยแหะ ” หางของฟ่างหยุนนั้นรู้สึกปวดแสบปวดร้อนขึ้นมาทันทีทันใด ราวกับว่ามีคนเอามีดรนไฟร้อนๆ แล้วนำมาเฉือนที่เนื้อของเขาออกมาเป็นชิ้นๆ
อย่างไรก็ตามทุกครั้งที่เขาเข้าสู่การวิวัฒนาการเขาก็จะต้องทุกข์ทรมาณจากความเจ็บปวดตามมาเสมอๆ จากประสบการณ์ที่ผ่านมานั้นทำให้เขามีความอดทนต่อความเจ็บปวดได้เป็นอย่างดี ดังนั้นถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะเจ็บปวดมากมายเพียงใด เขาก็ยังสามารถเลื้อยไปได้อย่างรวดเร็วอยู่ดี
“ ฮึบ...ฮึบ ” ตอนนี้ฟ่างหยุนกระชับกล้ามเนื้ออย่างสุดความสามารถ พร้อมกับเร่งความเร็วในการเลื้อยจนถึงขีดสุดเท่าที่เขาจะสามารถทำได้ จึงทำให้แต่ละวินาทีนั้นเขาเลื้อยไปเบื้องหน้าได้ไกลหลายเมตร
“ ตู้มมมมม ! ” ร่างของนกอินทรีย์ปรากฏอยู่บนพื้นดิน ตอนนี้มันกางปีกกว้างพร้อมกับสยายปีกไปมา มันมองฟ่างหยุนที่กำลังพยายามหลบหนีอยู่เบื้องหน้า ตอนนี้มันขยับปีกตัวเองให้เร็วขึ้นพร้อมกับบินพุ่งไปหาฟ่างหยุนอีกครั้ง
“ บ้าเอ้ย...ไอ้นกเวรนี่จะตามทันแล้ว ” ฟ่างหยุนเอ่ยขึ้นในใจด้วยความเกลียดชังจนเข้าไปถึงกระดูกดำ ตอนนี้เขาพยายามเร่งตัวเองเพื่อหลบหนีอย่างสุดความสามารถ นอกจากที่จะเกลียดนกอินทรีย์แล้วเขาก็รู้สึกเกลียดตัวเองขึ้นมาด้วยเหมือนกันที่ทำไมต้องมาเกิดเป็นงู ทำไมไม่เกิดเป็นสัตว์อย่างอื่นที่มีขาเยอะๆ เอาไว้วิ่งหนีเวลาเจอภัย
“ ซ่อนมันในพุ่มไม้นี่แหละ ! ”
เขาเปล่งเสียงอุทานออกมา....ตอนนี้เบื้องหน้าเขานั้นปรากฏพุ่มไม้เป็นแถวตระหง่าน ระยะทางระหว่างตัวเขากับพุ่มไม้นั้นไกล้จะถึงเต็มทีแล้ว แต่ยิ่งระยะนั้นไกล้มากขึ้นเท่าไหร่ ใจของเขานั้นก็เต้นแรงเพราะความหวาดเสียวมากขึ้นเท่านั้น
“ เร็วเข้าสิ เร็วเข้า ! ” เขาบ่นพึมพำขึ้นมาเพราะต้องการให้มันถึงพุ่มไม้นั้นไวๆ ทันใดนั้นเองก็มีเงาดำขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นมาคร่อมเหนือร่างของเขา...ใช่แล้วครับท่านผู้ชม ! นกอินทรีย์ตะครุบร่างเขาได้เต็มๆ
ถึงแม้ว่าร่างเงาอันดำมืดของนกอินทรีย์จะอยู่เหนือลำตัวของเขา ตอนนี้ฟ่างหยุนกลับไม่รู้สึกตื่นเต้นอีกต่อไป กลับกันนั้นเขารวบรวมพลังที่มีทั้งหมดในร่างกายของเขา สลัดร่างของตัวเองให้หลุดพ้นจากเงื้อมกรงเล็บของนกอินทรีย์พร้อมกับตกลงมาบนพื้น เมื่อตกมาถึงพื้นแล้วเขาไม่รอช้าที่จะใช้จังหวะนี้ พุ่งเข้าไปซ่อนตัวในพุ่มไม้อย่างรวดเร็ว ราวกับว่าเป็นกระสุนที่ยิงออกมาจากปากกระบอกของปืนใหญ่
ในระหว่างที่เขาเข้าไปในพุ่มไม้ได้แล้ว เงาของเจ้านกอินทรีย์ก็ไล่หลังเข้ามาติดๆ อย่างไม่ลดละ มันพยายามที่จะคว้าเอาตัวฟ่างหยุนมาให้ได้ แต่สิ่งที่มันคว้าได้นั่นก็คืออากาศ ด้วยแรงดึงดูดของโลกบวกกับแรงพุ่งทะยานของฟ่างหยุนนั้นทำให้เขาพุ่งเข้าไปยังพุ่มไม้ได้ลึกมากเสียทีเดียว
“ แคร่ก ! ” เสียงกิ่งไม้หักจากแรงปะทะที่นกอินทรีย์พุ่งลงมาใส่พุ่มไม้เพื่อจะตามจับตัวฟ่างหยุน ตอนนี้ทำให้นกอินทรีย์นั้นต้องร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างรุนแรง มันพยายามกระพือปีกเพื่อที่จะได้บินหนีขึ้นไปจากจุดนี้
เศษขนเศษปีกของนกอินทรีย์กระจุยกระจาย บนพื้นเต็มไปหมด ตอนนี้นกอินทรีย์บินหนีขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างทุลักทุเล มันไม่ได้ดูสง่างามอย่างที่เคย ตอนนี้ขนของมันมีรอยขาดร่วงเป็นหย่อมๆ ดูสกปรกยุ่งเหยิงราวกับอีแร้ง พร้อมกันนั้นเลือดของมันก็หยดเป็นทางจากบาดแผลที่เสียดสีกับกิ่งไม้อย่างแรงอีกด้วย
ตอนนี้ฟ่างหยุนแทบจะหยุดหายใจ เพราะเขากลัวว่านกอินทรีย์จะตามหาเขาเจอแม้ว่าตอนนี้มันจากไปแล้วก็ตาม
ฟ่างหยุนพยายามที่จะมองออกไปข้างนอกเพื่อจะดูว่ามันยังอยู่แถวนั้นหรือไม่ เพราะในใจของเขาตอนนี้ยังหวาดระแวงมันไม่หาย เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบเจอกับมันในระยะเผาขนขนาดนี้ แม้ว่าเจ้านกอินทรีย์ตัวนี้จะยังไม่ใช่ตัวโตเต็มวัย แต่สายตากับกรงเล็บมรณะของมันนั้นก็ทำให้ฟ่างหยุนไม่มีวันลืมมันไปได้อย่างแน่นอน
โชคยังเข้าข้างที่ฟ่างหยุนพยายามหนีสุดชีวิต ถ้าหากเขาลังเลที่จะหยุดแม้แต่เสี้ยววินาทีแล้วละก็ ตอนนี้เขาคงไปเกิดใหม่อีกรอบแล้วก็เป็นได้
ตรวจพบเป้าหมาย !
นกอินทรีย์
ประเภท: นักล่าสูงสุดของห่วงโซ่อาหาร
สามารถเพิ่มพลังงานทางชีวภาพได้ 200 หน่วย
ระหว่างที่ฟ่างหยุนมัวแต่ครุ่นคิดถึงเรื่องของนกอินทรีย์อยู่นั้น ระบบก็ส่งฐานข้อมูลเกี่ยวกับมันมาให้ในหัวของเขาทันที มันจึงทำให้ฟ่างหยุนนั้นรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก แต่สิ่งที่ทำให้เขานั้นต้องประหลาดใจก็คือนกอินทรีย์สามารถให้พลังงานทางชีวภาพมากกว่าเจ้ากระต่ายตัวอ้วนถึงสองเท่า เมื่อดูผิวเผินนั้นขนาดตัวของทั้งคู่ก็ไม่ได้ต่างกันมากมายเท่าใดนัก น่าจะอยู่ที่ราวๆ 9 กิโลกรัมได้
ฟ่างหยุนพอจะเดาออกแล้วว่านอกเหนือจากขนาดของเหยื่อ ลำดับในห่วงโซ่อาหารก็น่าจะส่งผลต่อการให้พลังงานชีวภาพได้
ตัดภาพมาฝั่งของนกอินทรีย์ตอนนี้มันยังอยู่บนฟ้าที่ไม่สูงมากนัก พร้อมกับจ้องมองไปที่พุ่มไม้เดิมพักสักมันก็ตัดสินใจว่าคงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะจับฟ่างหยุนในตอนนี้ มันจึงกระพือปีกให้แรงขึ้นและกลับไปอยู่ในชั้นบรรยากาศดังเดิม
ก่อนจะลา....มันบินวนไปวนมาบริเวณนั้นอยู่สองสามรอบ พร้อมกับส่งเสียงร้องอย่างไม่พอใจ จากนั้นมันก็จากไปโดยสมบูรณ์
เมื่อเห็นว่านกอินทรีย์ตัวนั้นจากไปแล้ว ฟ่างหยุนก็โล่งใจขึ้นมาเป็นอย่างมาก ตอนนี้เขาค่อยๆ เลื้อยออกมาจากพุ่มไม้ซึ่งมีกิ่งไม้เล็กๆขูดไปตามลำตัวของเขาตลอดเวลา จึงทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยสบายตัวสักเท่าไรนัก และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลากิ่งไม้ขูดที่ส่วนหางแล้วละก็มันจะทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดแสบปวดร้อนเป็นอย่างมาก
ตอนนี้ฟ่างหยุนหลุดออกมาจากพุ่มไม้แล้ว เขานอนเหยียดตัวตรงพร้อมกับดูอาการที่หางของเขา เนื่องจากเมื่อสักครู่นั้นเขาถูกไล่อย่างเอาเป็นเอาตาย เลยไม่มีเวลาสักนิดเลยที่จะดูอาการบาดเจ็บของตัวเอง และเมื่อเห็นแผลที่หางของตัวเองแล้วเขาก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
เพราะสิ่งที่เขาเห็นคือมันเป็นรอยสามเส้นเหมือนกับรูปร่างของกรงเล็บ ที่สำคัญมันยาวเท่าๆ กันประมาณ 20 เซนติเมตร ซึ่งมันแหวกทั้งเกล็ดและมีเนื้อโผล่ออกมาพร้อมกับเลือด
เมื่อเห็นเช่นนั้นแล้ว ฟ่างหยุนจึงบังเกิดความกลัวขึ้นมาในใจของเขาทันที เพราะถ้าหากว่าพลังโจมตีของเจ้านกอินทรีย์นั้นรุนแรงกว่านี้ หางของเขาต้องขาดออกจากกันเป็นแน่ แม้ว่าจะหนีรอดจากการถูกฆ่าตรงนั้นมาได้ทันที แต่ก็ใช่ว่าจะรักษาอาการบาดเจ็บให้หายขาดได้ บางทีฟ่างหยุนเอง อาจจะต้องไปสวรรค์เนื่องจากเลือดที่ไหลไม่หยุดก็เป็นได้
แน่นอนว่าฟ่างหยุนไม่ได้ประมาทและคิดว่าพลังโจมตีของนกอินทรีย์นั้นอ่อนแอ แต่เขามั่นใจอย่างมากที่เขารอดมาได้นั้นเป็นเพราะทักษะที่เขาอัพเกรดไว้ นั้นก็คือ “ภูมิต้านทาน ” ถ้าหากไม่มีทักษะที่ว่านี้แล้วละก็ เล็บมรณะของนกอินทรีย์ต้องตัดลำตัวและหางของเขาขาดออกจากกันได้แน่ๆ บางทีเขาคงไม่มีโอกาสจะหลบหนีมาจนถึงที่นี่ได้ด้วยซ้ำ
และนี่ก็เป็นผลมาจากทักษะที่มีระดับแค่ 1 เท่านั้น ถ้าหากมันถูกอัพเกรดขึ้นไปถึงขั้น 3 หรือ 4 แล้วละก็ นกอินทรีย์อย่าหวังว่าจะได้ทำกับเขาแบบนี้ แม้แต่รอยข่วนก็คงไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน
ด้วยประสบการณ์อันเสี่ยงตายมาในครั้งนี้ ในทางกลับกันมันยิ่งเป็นแรงผลักดันให้ฟ่างหยุนนั้นต้องกระตือรือร้นที่จะพัฒนาตัวเองและทักษะขึ้นไปให้สูงขึ้นอีก แต่โชคไม่ค่อยเข้าข้างทักษะนี้ใช้คะแนนในการอัพเกรดค่อนข้างสูงซึ่งมันต้องใช้ถึง 8 คะแนนเลยทีเดียวในการอัพเกรดมันแต่ละครั้ง
ด้วยความเศร้าจากความเจ็บปวด ฟ่างหยุนจึงค่อยๆเลื้อยกลับไปยังที่รังนอนบนต้นสนยักษ์ จากอาการบาดเจ็บของเขาในครั้งนี้ส่งผลให้เขาไม่สามารถที่จะเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วได้แบบเมื่อก่อน จึงทำให้กว่าที่เขาจะถึงรังฟ้าก็คงมืดไปเสียแล้ว
พอมาถึงที่ต้นสนใหญ่ตรงหน้าแล้ว ก่อนจะขึ้นไปฟ่างหยุนก็ทำการสูดหายใจเข้าลึกๆ ตอนนี้เขารู้สึกว่าตัวเองสภาพเหมือนกับพนักงานบริษัทที่ทำงานตรากตรำอย่างหนักหน่วง และเพิ่งกลับมาถึงบ้านอันแสนสุข ถึงแม้ว่าจะเหนื่อยล้ามากแค่ไหนแต่เขาก็คงรู้สึกดีที่ตอนนี้เขากลับมาถึงบ้านแล้ว
“ กวิ้กกกกก ? ” เมื่อเลื้อยขึ้นไปถึงลำต้นของต้นสนยักษ์ได้สักพัก ก็ปรากฏเสียงร้องอย่างเป็นห่วงจากเจ้ากระรอกน้อยเพื่อนยาก ตอนนี้มันยืนอยู่บนกิ่งไม้ส่งสายตาจ้องมองมาที่บาดแผลพร้อมกับความรู้สึกเป็นห่วงที่มีต่อฟ่างหยุน
ฟ่างหยุนเองตอนนี้อดไม่ได้ที่จะรู้สึกประทับใจขึ้นมา อย่างน้อยเขาก็มีเพื่อนที่ภักดีรอคอยการกลับมาของเขาอย่างเป็นห่วง