เล่มที่ 1 ตอนที่ 11 - ดินแดนรกร้าง จุดจบของโลก
'ดอกทานตะวัน'เป็นพืชที่ปลูกง่าย และสามารถเติบโตได้ทุกที่ที่ได้หว่านเมล็ด พวกมันเพียงแค่ต้องการน้ำ แล้วจะออกดอกอันสวยงามคืนเป็นค่าตอบแทน และเมื่อดอกเติบโตก็จะออกเมล็ด รางวัลที่ได้รับคงต้องใช้ความพยายาม สิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้นได้คือเมล็ดทานตะวันจะมีขนาดเล็กเนื่องจากขาดสารอาหาร
แต่สาเหตุใหญ่ที่จะทำให้มันไม่อาจจะโตได้ก็คือดิน
ดิน!!
ฉันมองดูดินสีแดงเข้มที่อยู่โดยรอบและนึกถึงกลิ่นกรดฉุนก่อนหน้านี้ในป่าของฉัน หรือว่า….ดินที่นี่จะปนเปื้อนอย่างรุนแรง?
ก่อนหน้านี้ฉันกินดินเข้าไปเต็มปากเลย!!
เวรเอ้ย…..
ฉันพยายามไม่คิดถึงมัน
"น่าเสียดาย….เมล็ดทานตะวันอร่อยมาก…."ฉันถอนหายใจและพยายามไม่นึกถึงดินสกปรกที่เคยอยู่เต็มปาก
"นายเคยกินมันมาก่อนหรือ!!?"เหอเล่ยและอาซิงตะโกนด้วยความตกใจ
อาซิงจ้องมองฉันด้วยสายตาประหลาด "อันนี้มันเรียกว่าอะไรนะ? เมล็ดทานตะวัน!?"
ฉันหยิบเมล็ดขึ้นมาและกล่าวตอบว่า "อืม นี่คือเมล็ดทานตะวัน ดอกไม้ที่นายพูดถึงก็คือดอกทานตะวัน เมล็ดพวกนี้กินได้"
เหอเล่ยจ้องมองด้วยความประหลาดใจเช่นกัน "สิ่งนี้กินได้!! ทำไมยายถึงไม่บอกฉันแบบนั้น?"เขาเกาหัว ในแววตาของเขาแสดงออกถึงความเสียใจ ราวกับว่าเขารู้สึกเสียใจที่มอบเมล็ดพันธุ์เหล่านั้นให้กับเรา
"เยี่ยมมาก!!"อาซิงจ้องมองเมล็ดพันธุ์ในมือของฉันและของเขาด้วยความตื่นเต้น "พวกเราพบพืชอื่นที่สามารถกินได้แล้ว"
"ถูกต้อง ไม่เพียงแต่รับประทานเมล็ดมันได้ เรายังสามารถสกัดเอาน้ำมันทานตะวันออกมาได้อีกด้วย พวกมันสามารถใช้ทอดผักแล้วทำให้รสชาติอาหารอร่อยขึ้นได้"ฉันกล่าวเสริม เหอเล่ยถึงกับกระพริบตากลืนน้ำลาย
ทันใดนั้นเขาก็หันไปหาอาซิงและกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า "นายต้องปลูกมันให้ได้"
"อืม"อาซิงพยักหน้า
ดวงตาของชายหนุ่มทั้งสองประกายแสงสะท้อนแสงจันทร์ เมล็ดทานตะวันเล็กๆทำให้ทั้งคู่ทิ้งอคติที่ฝังรากลึกในจิตใจ
ฉันมองดูพวกเขามอบของขวัญให้กันและกันและหันกลับมามองตัวเอง ฉันไม่ได้เอาอะไรติดตัวมาด้วยเลย กระเป๋าของฉันล่ะ? ไม่มีทาง สิ่งของในกระเป๋าล้วนไม่มีความหมาย ทันใดนั้น ก็มีเงาสะท้อนบนหน้าอกของฉัน ฉันชำเลืองมองป้ายตราสมาคมเยาวชน!! ดูเหมือนว่ามันจะเป็นทั้งเลือกที่ดี
ฉันถอดตราสมาคมเยาวชนออกและยื่นมันให้กับเหอเล่ย "นี่คือตราให้โชคของผม ผมอยากจะ….."ฉันจ้องมองเหอเล่ยและอาซิงที่กำลังจ้องมองมาที่ฉันและกล่าวว่า "วันนี้ ผมได้พบกับพวกนายและมีชีวิตรอดมาได้ ความโชคดีทั้งหมดเกิดขึ้นจากตรานี้…"ฉันเงยหน้ามอง ซึ่งอาซิงและเหอเล่ยก็เหมือนจะรู้สึกแบบเดียวกัน ก่อนที่ทั้งคู่จะกลับคืนสู่ความเงียบ
ฉันโน้มตัวไปข้างหน้าและอาซิงก็รีบจับแขนฉัน เขาพยุงฉันที่กำลังพยายามเดินกระเพกไปหาเหอเล่ย เหอเล่ยมองฉันด้วยสายตาซับซ้อน ฉันติดตราที่หน้าอกของเขาและกล่าวว่า "ผมหวังว่ามันจะช่วยปกป้องนาย ขอบคุณนะเหอเล่ย!! ขอบคุณที่ช่วยชีวิตผม!!"เครื่องรางนำโชคจะมีความหมายก็ต่อเมื่อคนผู้นั้นไว้วางใจมัน ตราสมาคมเยาวชนเป็นตัวแทนของเยาวชนพรรคคอมมิวนิสต์ ธงที่จารึกอยู่บนตราลูกไหม้ดุจเปลวเพลิง เช่นเดียวกับแสงไฟจากดวงดาวที่คอยสร้างความหวังให้กับผู้คน
และ….ในประเทศจีนสีแดงก็เป็นสีนำโชค .ถ้า..ในกรณีที่…...ฉันไม่สามารถกลับไปที่โลกของฉันได้ ฉันก็หวังว่าจะได้เจอกับเหอเล่ยอีก
เหอเล่ยจ้องมองตราสมาคมเยาวชนที่ฉันติดไว้ที่หน้าอกของเขา มันเปล่งประกายระยิบระยับเช่นเดียวกับดวงดาวบนท้องฟ้า สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความซับซ้อน และเงยหน้ามองมาหาฉัน ดวงตาของเขาบ่งบอกว่าเขาเปลี่ยนการแยกทาง
จากนั้นก็ยกมือมาลูบหัวของฉัน "ดูแลตัวเองด้วย" เขากล่าว หลังจากนั้นก็ไม่พูดอะไรต่อ เขาลูบศีรษะฉันเป็นเวลานาน จากนั้นคิ้วก็เริ่มขมวดได้รีบดึงมือกลับ หันหลังเดินไปหาคนของเขา
ในระหว่างที่เขาดึงมืออันแสนอบอุ่นออกจากหัวของฉัน ฉันก็รู้สึกถึงความห่วงใยที่เขามีต่อฉันมันเหมือนกับว่าเขาไม่อยากให้ฉันติดตามอาซิงไป อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่มีทางเลือก เพราะเขาไม่สามารถรักษาบาดแผลให้กับฉันได้ ดังนั้นเขาทำได้เพียงแค่ส่งฉันไปหาคนที่ช่วยได้ ถึงแม้ว่าคนกลุ่มนั้นจะเป็นคนจากเมืองพระจันทร์เงินที่เขาเกลียดก็ตาม
"พวกเราเองก็ควรไป"อาซิงจับแขนของฉันและฉันก็พยักหน้า จากนั้น เขาก็พยุงแขนของฉัน ในขณะเดียวกันฉันก็เริ่มสงสัย เขาเดินนําหน้าฉันและนั่งยอง "ขึ้นมา"
ปรากฏว่าเขาอยากจะให้ฉันขี่หลัง
ฉันปีนขึ้นไปบนหลังของเขา และเขาก็เริ่มยกตัวฉันขึ้น ฉันหันไปมองเหอเล่ยที่กำลังจากพวกเราไป คนที่ออกมาจากโกดังก็มองไปที่เขาเหมือนกับฉัน เขาได้กลายเป็นผู้นำของทุกคน ความดึงดูดของเขาคือเสน่ห์ที่เขาครอบครอง โชคชะตาผู้พันพวกเขาเอาไว้เป็นหนึ่งเดียว
*โฮ่ง โฮ่ง!!*รถบรรทุกคันยาวขับออกมาจากโกดัง กรงนักโทษที่เราเห็นก่อนหน้านี้ก็ยังคงอยู่บนรถ เมื่อรถบรรทุกจอด ทุกคนก็กลับเข้าไปในกรงนักโทษ จากนั้นเหอเล่ยก็กระโดดไปนั่งด้านหน้ารถบรรทุกข้างคนขับ
เขาหันมามองพวกเราจากระยะไกล จากนั้นก็เริ่มใช้งานระบบรถบรรทุก ทันใดนั้นแผ่นเหล็กขนาดใหญ่ก็โผล่ขึ้นมารอบๆกรงนักโทษ!! พวกเขาถูกปิดล้อมอย่างสมบูรณ์ แม้ว่าคนข้างในจะเหมือนถูกคุมขัง แต่มันก็ให้รู้สึกเหมือนได้รับการปกป้อง
"มันคือรถบรรทุกป้องกันรังสี"อาซิงวางฉันลงเมื่อมาถึงทางเข้ายานอวกาศ ดูเหมือนเขาจะมองเห็นความสับสนของฉัน
ฉันจ้องมองต่อไปด้วยความสงสัย อาซิงเข้าไปในยานอวกาศและจ้องมองกลับมาหาฉัน "นาย….นายจำอะไรไม่ได้เลยจริงๆหรือ?"
ฉันจ้องมองกลับไปและส่ายหน้า
"แล้วนายรู้เรื่องเกี่ยวกับเมล็ดทานตะวันได้อย่างไร?"เขาจ้องมองฉันในขณะที่แสงสีม่วงก็ไหลผ่านดวงตาของเขา "ผมเองก็ไม่รู้ จู่ๆมันก็นึกขึ้นได้เอง…."แม้ว่านักคณิตศาสตร์จะสูญเสียความทรงจำ แต่พวกเขาก็สามารถแก้สมการคณิตศาสตร์ที่ยากได้ แม่นักวิทยาศาสตร์จะสูญเสียความทรงจำ เขาก็ยังทำการทดลองต่อไปได้ แม้ทหารรบหน่วยพิเศษจะสูญเสียความทรงจำ พวกเขาก็ยังสู้เป็น สมองเป็นสิ่งที่ลึกลับ ฉันคิดว่ามันไม่จำเป็นต้องมีคำอธิบายใดๆ
อาซิงมองฉันอย่างเงียบๆพักใหญ่ ก่อนจะช่วยพยุงฉันเข้าไปในห้องโดยสาร
ในห้องโดยสารยานอวกาศมีลักษณะเป็นรูปไข่แบน ที่พื้นที่กว้างขวางตรงกลางยานมีเก้าอี้ขาวรูปวงรี อาซิงพาฉันไปนั่ง จากนั้นแสงสีฟ้าบนเก้าอี้ก็สว่าง เข็มขัดนิรภัยทำงานด้วยตัวเอง อาซิงนั่งลงเก้าอี้ตัว เขาดูเคร่งขรึมเปลี่ยนเป็นคนละคน เขาทำให้ผู้คนรู้สึกไม่อาจเข้าถึงตัวเขาได้
ประตูห้องโดยสารปิด มันรู้สึกเหมือนยานอวกาศกำลังจะบิน ฉันมองออกไปนอกหน้าต่างด้านข้างและเห็นรถบรรทุกของเหอเล่ยกำลังเคลื่อนตัวออกไป ส่วนท้ายยาวของรถบรรทุกให้ความรู้สึกเหมือนตะขาบที่กำลังคลานต้วมเตี้ยมใต้แสงจันทร์ เมื่อยานอวกาศบินขึ้นฟ้า รถบรรทุกก็มีขนาดเล็กลงเรื่อยๆจนกลายเป็นเพียงตะขาบตัวเล็กๆบนแผ่นดินสีแดงเข้ม
แต่แล้วฉันก็จะหนักได้ว่าสิ่งที่ฉันกำลังมองอยู่นอกหน้าต่างมันไม่เห็นต้นไม้เลยแม้แต่คนเดียว!! มีเพียงแผ่นดินสีแดงเข้มภายใต้ดวงจันทร์
มันเป็นไปได้อย่างไร!?
ในไม่ช้า ฉันเองก็พบว่าเก้าอี้มันสามารถหมุนได้ และสามารถเอนตัวไปที่หน้าต่างได้…..ขณะที่ฉันหันมองไปนอกหน้าต่าง ภาพด้านนอกสร้างความตกใจให้กับฉัน มันไม่มีแม้กระทั่งเมือง ไม่มีบ้าน ไม่มีทุ่งนา ไม่มีป่าไม้ภูเขาหรือแม่น้ำ ไม่มีอะไรเลย นอกจากแผ่นดินสีแดงเข้ม