ตอนที่ 3 ความจริง
จางฉุ้ยเหลียนแบกจอบแบกเสียมขี่จักรยานตรงไปยังทุ่งนาที่ห่างจากบ้านออกไปประมาณ 2 กิโลเมตรทางทิศใต้ของหมู่บ้าน เมื่อจอดจักรยานแล้ว เธอก็เริ่มเอาจอบมาถางหญ้าทันที
ต้องบอกก่อนว่าพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดเธอนั้นเลี้ยงดูเธอมาไม่ดีนัก จริง ๆ มันก็มีเหตุผลของตัวมันเอง เพราะพวกเขานั้นทั้งขี้เกียจ ทั้งตะกละ ทั้งขี้เหนียว ทั้งขี้ขลาด แล้วก็ยังมีจิตใจที่ขี้อิจฉาริษยาต่อครอบครัวของคนอื่นเอามาก ๆ ในตอนที่แบ่งทรัพย์สมบัติกัน ทุกอย่างได้ถูกแบ่งออกมาอย่างค่อนข้างที่จะยุติธรรม โดยที่พ่อแม่ของเธอนั้นไม่ได้เลี้ยงดูปรนนิบัติผู้เฒ่าเลย แต่ก็ยังได้รับผลประโยชน์มากมายมหาศาล ซึ่งตามหลักเหตุผลแล้ว พวกเขาค่อนข้างมีชีวิตที่สุขสบาย
แต่ช่างน่าเสียดายที่พวกเขาทั้งสองคนเอามันมาสร้างประโยชน์อะไรไม่ได้เลย ขนาดแค่ทำแปลงผักปลูกข้าวโพดก็ยังไม่มีปัญญาทำ จะเอาอะไรไปเหมือนกับคุณลุง ที่ทั้งเลี้ยงสัตว์ปลูกผัก และรับจ้างทั่วไป
ที่นี่ เริ่มมีหิมะตกในช่วงปลายเดือนตุลาคมไปจนถึงกลางเดือนเมษายนของปีถัดไป ในระยะเวลา 1 ปี ก็อยู่ในช่วงฤดูหนาวไปแล้วเสียครึ่งปี หากพวกเขาคิดจะทำไรไถนา มันจะใช้เวลานานแค่ไหนกันเชียว แต่พวกเขาไม่ทำ ?
หลังผ่านช่วงฤดูกาลแห่งการเก็บเกี่ยวไป คุณลุงก็ต้องเข้าไปทำงานในเมือง คุณป้าที่อยู่ที่บ้านก็เลี้ยงกระต่าย ไก่ เป็ด และหมูไป เมื่อถึงปลายปีก็ขายกระต่าย ขายหมูที่อ้วนท้วนสมบูรณ์เพื่อแลกเป็นเงิน ทั้งสองคนใช้ชีวิตด้วยความกระตือรือร้นในการทำงานตลอดทั้งวัน ไม่กี่ปีก็มีเงินเอามาสร้างบ้านปูนหลังใหม่ได้
จางกว่างฝูที่อยู่ข้างบ้านต่างก็อิจฉาริษยาทั้งสองคนนี้เป็นอย่างมาก สุดท้ายก็ได้แต่ฟังชาวบ้านพูดชื่นชมแต่เรื่องนี้ทุกวี้ทุกวัน พวกเขาก็ทำได้แค่เบะปาก และพูดแก้ต่างให้ตัวเองว่า “แล้วยังไง ถ้าแม่เฒ่าให้ฉันดูแลเด็ก ทำอาหารให้กับผู้เฒ่า ทำไร่ทำนา ฉันก็มีเงินมาสร้างบ้านได้เหมือนกัน ! ”
เมื่อก่อนจางฉุ้ยเหลียนนั้นก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับเรื่องนี้ แต่เมื่อมาคิด ๆ ดูเกี่ยวกับเรื่องนี้ตอนนี้แล้วมันก็น่าตำหนิจริงๆ บางคนก็บ่นว่านโยบายการปกครองของรัฐนั้นไม่ดี บ่นว่าคนอื่นนั้นมีโชคชะตาที่ดีกว่าตัวเอง แต่ไม่เคยคิดว่าเป็นเพราะตัวเองนั้นไม่ขยันหมั่นเพียร แล้วโชคชะตาจะเป็นผู้กำหนดความโชคดีให้ตัวเองได้อย่างไร
หลังจากฤดูการเก็บเกี่ยวมาถึง สองสามีภรรยาจางกว่างฝูก็ไม่ได้ทำมาหากินอะไร บางครั้งก็อาจจะมีเรื่องวุ่น ๆ บ้าง แต่ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการเป็นเพื่อนบ้านที่เกียจคร้านอยู่ดี พวกเขาสร้างเตียงดิน เพื่อใช้ต้อนรับบรรดาญาติพี่น้อง และไว้ใช้เป็นที่นั่งกินข้าวกินน้ำไปด้วยในตัว ซึ่งจางกว่างฝูเองก็พอใจในสิ่งที่เขาทำเป็นอย่างมาก
เมื่อก่อนจางฉุ้ยเหลียนจะแบกจอบแบกเสียมด้วยความรู้สึกเหมือนไม่ได้รับความเป็นธรรม ทำอะไรไม่ได้ก็ได้แต่เอ้อละเหยปล่อยเวลาให้ล่วงเลยผ่านไป แต่เมื่อเธอมีหัวใจของสาววัย 42 ปีอยู่ในตัว การทำงานของเธอในตอนนี้จึงเป็นไปได้อย่างคล่องแคลวว่องไว เธอสามารถถางหญ้าได้อย่างรวดเร็ว เมื่อเสร็จก็ค่อยคิดเรื่องที่ต้องทำต่อไป
“หนังสือจากทางมหาวิทยาลัยจะมาในช่วงกลางเดือนสิงหาคมที่จะถึงนี้ พวกเขาต้องไม่มีเงินให้เธอไปเรียนต่อแน่ ๆ ดังนั้นเธอจะต้องหาเงินด้วยตัวเองให้ได้!”หลังจากนั้นจางฉุ้ยเหลียนก็นั่งลงบนพื้นหญ้าเพื่อคำนวณค่าใช้จ่ายที่เธอจะต้องใช้
เธอจำได้ว่าตอนนั้นค่าเล่าเรียนอยู่ที่ประมาณ 20 หยวนต่อปี ค่าสื่อการสอน 15 หยวน เพื่อนในห้องบอกว่าค่าหอพักไม่ต้องจ่าย ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันก็ตกเดือนละประมาณ 10 หยวน ส่วนค่าใช้จ่ายส่วนอื่น ๆ ก็ยังพอถู ๆไถ ๆ ได้ ก่อนเปิดภาคเรียนเธอจะต้องหาเงินสำหรับค่าเล่าเรียนและเงินใช้จ่ายในชีวิตประจำวันใน 1 เดือนให้ได้ก่อน
จางฉุ้ยเหลียนได้แต่เกาหัว ถ้าไปทำงานในเมืองตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะไปทำอะไร ส่วนใหญ่ทุกที่ก็มักจะมองหาแต่พนักงานประจำเท่านั้น เพราะฉนั้นถ้าเธอคิดจะหาเงินก็ต้องโกหกว่ามาทำงานประจำอย่างนั้นสิ
หลังจากที่พักไปได้ชั่วครู่ จางฉุ้ยเหลียนก็รู้สึกอยากกลับบ้านไปอาบน้ำ เธอจึงปั่นจักรยาน ตรงกลับบ้านด้วยความรวดเร็วทันที
ด้านหลังของบ้านตระกูลจางมีถนนเส้นเล็ก ๆ อยู่เส้นหนึ่ง ปกติแล้วแทบจะไม่มีใครผ่านไปผ่านมาบนถนนเส้นนี้ วันนี้จางฉุ้ยเหลียนกลับบ้านเร็ว จึงได้ลงจากจักรยานและค่อย ๆ เดินเข็นจักรยานกลับเข้าบ้าน
เมื่อเดินผ่านบ้านคุณลุง เธอก็ได้ยินเสียงบทสนทนาของแม่และป้าดังมาจากหน้าต่างด้านหลัง เดิมทีจางฉุ้ยเหลียนก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเธอจะได้ยินพวกหล่อนพูดเรื่องพ่อบุญธรรมของตัวเอง เธอจึงได้หยุดเดินด้วยความอยากรู้ทันทีจากนั้นก็ค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้หน้าต่างเพื่อฟังให้ชัด ๆ
เธอได้ยินแค่คุณป้าพูดว่า “ฉุ้ยเหลียนต้องเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว ถ้าสอบเข้าได้ พวกเธอจะหาเงินค่าเล่าเรียนมาได้ไหมล่ะ ? ”
เช่าหวาแสยะยิ้มออกมา ราวกับได้ยินนิทานพันหนึ่งราตรีของอาหรับอย่างไรอย่างนั้น “หล่อนน่ะหรือ ? หล่อนเนี่ยนะจะสอบเข้าได้ เหมือนหมูแก่ขึ้นต้นไม้น่ะสิไม่ว่า เมื่อเช้าฉันคิดว่าที่หล่อนชักสีหน้าไม่พอใจใส่ฉันก็เพราะสอบไม่ได้นั่นแหละ ! ”
คุณป้าทำท่าทีไม่อยากจะเชื่อ “จางฉุ้ยเหลียนน่ะเหรอจะชักสีหน้าใส่เธอ เธออย่าไปคิดแบบนั้นเลย พูดออกไปใครเขาจะเชื่อ เพราะหล่อนกลัวเธอจะตายไป!”
เช่าหวาคลี่ยิ้มออกมาด้วยความเย็นชา “เธอก็อย่าเพิ่งเชื่อเลย นิสัยของทุกคนยากที่จะคาดเดา เหอะ! ยังไงซะก็ต้องขอบคุณเซี่ยจวิน ที่ให้การสนับสนุนเธอมานานหลายปี สอบไม่ได้ ก็ช่างมันปะลัย !”
คุณป้าจึงพูดขึ้นว่า “ไอ้หยา เธอพูดถึงเซี่ยจวิน ฉันละเชื่อเขาเลย ตั้งนานหลายปีแล้วเขายังส่งเงินมาให้บ้านเธออยู่อีกหรือ ? จางฉุ้ยเหลียนก็ไม่ได้ไปเยี่ยมไปหาเขาเลยนี่ เขายังคงส่งเงินมาให้หล่อนอีกเหรอเนี่ย ? ”
จางฉุ้ยเหลียนอึ้งไปชั่วขณะ หล่อนไม่รู้เลยว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้พ่อบุญธรรมได้ส่งเงินมาให้เธอโดยไม่ขาด มิน่าล่ะ พ่อกับแม่ของเธอที่ขี้เหนียวซะขนาดนั้น แต่กลับให้เธอได้เข้าเรียนจนถึงมัธยมปลาย
“ตกลงกันแล้วว่าจะส่งก็ต้องส่งสิ 5 หยวนต่อเดือน เธอลองคิดดูนะ หล่อนกลับมาอยู่ที่นี่ 6 ปีแล้ว ต้องให้เงินจางฉุ้ยเหลียน 60 หยวนต่อปีเลยนะ ทำไมฉันจะไม่เอาล่ะ ถ้าไม่เอาล่ะก็โง่ตายเลย!” เช่าหวาพูดออกมาด้วยความภูมิใจ จางฉุ้ยเหลียนรู้สึกเหมือนฟ้าผ่าลงมากลางอกทันใด
พ่อแม่บุญธรรมของเธอได้ส่งเสียงค่าเล่าเรียนให้แก่เธอปีละ 60 หยวน 6 ปีก็ 360 หยวน เงินจำนวนมากขนาดนี้ แต่พ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของเธอกลับไม่ได้บอกเธอเลยแม้แต่คำเดียว จนกระทั่งเธอตายจากไป ก็ไม่รู้ว่าเงินที่เธอเรียนในตอนนั้นเป็นเงินของเซี่ยจวิน
เงินเดือนละ 5 หยวน นี่เป็นค่าใช้จ่ายที่มากเลยทีเดียว ในเมืองขนาดเล็กทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือที่มีเงินเดือนไม่สูงนัก เงิน 5 หยวนถือเป็นเงินที่มีมูลค่ามากมายมหาศาลมาก ถ้าเธอไม่กินไอติมเป็นเวลา 1 เดือน ไม่ซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่เลย สมุดการบ้านก็ราคาเล่มละไม่เท่าไหร่ ตลอดหนึ่งภาคเรียนเธอใช้เงินไม่ถึง 5 หยวนเลยด้วยซ้ำ
ถ้าจะให้พูดอีกอย่างก็คือตั้งแต่เธอออกมาจากบ้านพ่อแม่บุญธรรมแล้ว จะมีสิทธิ์ไปเรียกร้องเงินจากพ่อบุญธรรมได้หรือ ? พ่อแม่ผู้ให้กำเนิดเอาเงินของเธอไปทำอะไรกันแน่ ?
คำพูดต่อจากนั้น จางฉุ้ยเหลียนไม่ได้ยินอะไรอีกแล้ว เธอได้ยินแค่เพียงว่าเช่าหวาได้เอาเงินของพ่อบุญธรรมเซี่ยจวินไป และหัวเราะเยาะเย้ยเซี่ยจวินราวกับว่าเขาเป็นคนโง่อย่างไรอย่างนั้น
“ตอนนั้นฉันต้องไปหาจางฉุ้ยเหลียนที่โรงเรียนทุกวัน ฉันพูดกับหล่อนว่าพ่อแม่คู่นั้นไม่ใช่ผู้ให้กำเนิด ไม่ช้าก็เร็วเราจะพาหล่อนกลับบ้าน ต่อให้ดีแค่ไหนมันก็ไม่สู้บ้านตัวเองหรอก หล่อนเองก็คงจะกลัวจริง ๆ ถึงได้ยอมกลับบ้านมากับฉัน” เช่าหวาพูดออกมาด้วยความภาคภูมิใจมาก ดูเหมือนเก่งไปซะทุกเรื่อง
“ถึงอย่างไรก็มีความสัมพันธ์กันทางสายเลือด หล่อนก็ต้องสนิทชิดเชื้อกับพวกเธอสิ!” คุณลุงพูดคล้อยตาม แต่กลับไม่รู้เหตุผลที่แท้จริงของจางฉุ้ยเหลียนว่าทำไมถึงออกมาจากบ้านของพ่อแม่บุญธรรม
เธอรู้มาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว ว่านั่นไม่ใช่พ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของตัวเอง พ่อบุญธรรมเซี่ยจวินก็ได้แต่เงียบและก้มหน้าก้มตาใช้ชีวิตต่อไป แม่บุญธรรมก็ไม่ได้เป็นคนชอบพูดชอบจานัก วัน ๆ นอกจากงานบ้านที่ต้องทำในทุกวันแล้วก็ต้องมาช่วยงานพ่อบุญธรรมอีก
จางฉุ้ยเหลียนไม่ได้ขาดตกบกพร่องเรื่องเสื้อผ้าอาภรณ์หรืออาหารการกินตั้งแต่เด็กจนโต แต่มักจะถูกพ่อแม่บุญธรรมห้ามไม่ให้เธอออกไปเล่นกับเด็กคนอื่นและให้อ่านหนังสืออยู่แต่ในบ้านเสมอ จางฉุ้ยเหลียนไม่เข้าใจ และรู้สึกว่าพ่อแม่บุญธรรมนั้นใจร้ายกับตัวเอง ตอนนี้เมื่อกลับมาคิด ๆ ดูแล้ว การที่ให้อ่านหนังสือที่มีมูลค่าแพงเหล่านั้น ก็เพื่อให้เธอมีอนาคตที่ดีไม่ใช่หรือ
จางฉุ้ยเหลียนไม่ได้ยินประโยคถัดไปอีกแล้ว ตอนนี้เธออยากจะวิ่งกลับไปหาพ่อแม่บุญธรรมเอามาก ๆ อยากกอดและปล่อยโฮกับพวกเขา และบอกเรื่องที่ตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรมเหล่านี้กับพ่อแม่บุญธรรมได้ฟัง
จางฉุ้ยเหลียนเข็นรถจักรยานกลับบ้าน เมื่อเปิดประตูเข้าไปเธอก็ได้กลิ่นควันบุหรี่ เธอรู้ได้ในทันทีเลยว่าเป็นฝีมือน้องชายที่แอบสูบบุหรี่ในบ้าน เธอขี้เกียจสนใจก็เลยปล่อยเลยตามเลยต่อไป
เธอหอบเอากระติกน้ำร้อน เข้าไปอาบน้ำในห้องที่คับแคบของตัวเอง หลังจากที่เสร็จสิ้นทุกอย่างแล้ว จางฉุ้ยเหลียนก็เดินไปยังลานกว้างพร้อมกับถังซักผ้าขนาดใหญ่ แล้วออกแรงเทน้ำออก
เมื่อเทน้ำเสร็จแล้ว เธอก็นำถังซักผ้าเก็บใต้บานหน้าต่าง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองเข้าไปในห้องผ่านกระจกโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งเธอก็เห็นว่าพ่อของเธอกำลังนั่งม้วนยาเส้นอยู่ กระดาษที่อยู่ในมือก็ดูคุ้นตา เมื่อคิดได้ว่ามันคืออะไรเธอก็รีบวิ่งเข้าไปในห้องทันที
เธอแย่งหนังสือที่อยู่ในมือของจางกว่างฝูมา และพบว่าเป็นหนังสือเรียนในชั้นมัธยมของตัวเองจริง ๆ เธอจึงอดที่จะถลึงตาใส่ไม่ได้ “พ่อ พ่อเผาหนังสือเรียนของหนูทำไม ? ”
จางกว่างฝูตกใจขึ้นมาทันที จากนั้นก็ตอบกลับไปอย่างไม่ถือสานักว่า : ลูกสอบเสร็จแล้ว ยังมีอะไรต้องใช้อีกเหรอ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนจึงพูดขึ้นมาด้วยความโกรธว่า : “มันคือหนังสือ ถึงจะสอบเสร็จแล้วก็สามารถเอาไว้อ่านทีหลังได้ พ่อจะใช้อะไรสูบก็ได้ แต่พ่อกลับเอากระดาษหนังสือของหนูไปสูบเนี่ยนะ หนังสือเล่มนี้ตอนน้องชายเข้าเรียนมัธยมปลายก็ยังได้ใช้ไม่ใช่หรือ ? ถ้าหนูสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ หนูก็เอามันกลับมาอ่านซ้ำอีกก็ยังได้!”
คำพูดก่อนหน้าจางกว่างฝูไม่ได้ใส่ใจนัก แต่คำพูดหลังจากนั้นมันกลับเข้าไปในหูอย่างชัดเจน “อะไรนะ? เธอสอบเข้าไม่ได้แล้วยังคิดจะกลับมาอ่านมันซ้ำอีกปีหนึ่งงั้นหรือ ? ”
เช่าหวาที่เพิ่งเข้ามาก็ดันได้ยินประโยคนี้เข้าพอดี จากนั้นก็แผดเสียงแหลมเหมือนมีคนเหยียบหางแมวอย่างไรอย่างนั้นออกมา “สอบไม่ติดก็พอ นี่ยังจะมาคิดเรื่องอ่านซ้ำอีกทำไม” ในขณะที่พูดหล่อนก็เดินมาแย่งหนังสือที่อยู่ในมือของจางฉุ้ยเหลียน แล้วโยนลงไปบนเตียง
เธอชี้หน้าของจางฉุ้ยเหลียนพร้อมกับด่าทออย่างไม่มีความเมตตาว่า “ฉันจะบอกอะไรให้นะ ว่าค่าเล่าเรียนของแกมันใช้เงินไม่น้อยเลย แกสอบเข้าได้แล้วก็ถือว่าเป็นหน้าเป็นตาให้ฉัน แต่ถ้าแกสอบไม่ได้แกก็ต้องออกไปทำงาน! ”
จางฉุ้ยเหลียนขมวดคิ้วเข้าหากันพร้อมทั้งคลี่ยิ้มออกมา “พ่อแม่จะส่งเสียหนูเรียนหรือ ? ค่าเล่าเรียนตลอด 6 ปีเต็มตั้งแต่กลับมาอยู่ที่นี่ก็เป็นเงินของพ่อบุญธรรมทั้งนั้น เงินตั้ง 5 หยวนต่อเดือน ในระยะเวลา 6 ปีก็ตกเป็นเงินประมาณ 300 กว่าหยวนแล้ว พ่อกับแม่เอาเงินหนูไปไว้ไหนหมดคะ ? ที่พ่อกับแม่พูดได้อย่างเต็มปากว่าจ่ายเงินให้หนู ใครกันแน่คะที่เป็นคนจ่าย ? ”
เช่าหวาถึงกับอึ้งตะลึงงันไปชั่วขณะ จากนั้นก็พูดออกไปว่า : “แกรู้ได้ยังไง ? ใครเป็นคนบอกแก ? ” เมื่อพูดจบ เธอก็มองไปทางสามีของตัวเอง ซึ่งจางกว่างฝูก็โบกมือไปมาเป็นการปฏิเสธ แล้วพูดขึ้นมาว่า “ฉันไม่รู้ ไม่ต้องมาถามฉัน!
เช่าหวาจึงด่าทอออกมาด้วยความโกรธ “ใช่ เขาให้เงินแก แต่รายจ่ายทุกอย่างบนตัวแก ไม่ว่าจะเป็นค่าเล่าเรียน ค่าข้าว ค่าเสื้อผ้า มันไม่ใช่เงินรึไง ? เงินแค่นั้นมันจะไปพออะไร ฉันก็ต้องจ่ายไปให้แกไม่น้อยเหมือนกัน”
จางฉุ้ยเหลียนหมดแรงทะเลาะขึ้นมาอย่างฉับพลัน จากนั้นก็ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเสียใจว่า “ในเมื่อแม่ไม่อยากเลี้ยงหนู แม่จะพยายามเอาหนูกลับมาทำไม ? ”
เช่าหวาอึ้งงันขึ้นมาอีกครั้งทันที ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ จางฉุ้ยเหลียนหันไปมองจางกว่างฝู พ่อแท้ ๆ ของตัวเอง “ตอนแรกที่หนูกลับมา หนังสือที่หนูขนกลับมาด้วย พ่อก็ฉีกกระดาษออกมาม้วนเป็นบุหรี่ ไม่เคยพูดว่าจะให้หนูและน้องชายได้เรียนได้อ่าน พ่อรู้ไหมว่าพ่อบุญธรรมจ่ายเงินซื้อของเหล่านี้ให้หนูตั้งเท่าไหร่ คนนอกต่างก็รู้ว่าพ่อแม่บุญธรรมทำงานหนักก็เพื่ออนาคตของหนู แต่พ่อกับแม่กลับกลัวว่าเมื่อหนูออกจากบ้านหลังนี้ไปแล้ว จะปีกกล้าขาแข็งไปมีอนาคตที่ดีกว่านี้ใช่ไหม”
เช่าหวาเกิดความรู้สึกสับสนขึ้นมาทันที หล่อนไม่รู้ว่าทำไมจางฉุ้ยเหลียนถึงได้รู้เรื่องของเซี่ยจวิน ก่อนหน้าวันนี้ เธอก็ดูปกติมาก และเมื่อคิดถึงคำพูดเมื่อสักครู่ ยิ่งเมื่อเห็นท่าทางเสียใจของจางฉุ้ยเหลียน ในที่สุดเธอก็รู้สึกสำนึกตัวขึ้นมาได้บ้าง และย้อนคิดไปในสิ่งที่เธอได้พูดออกมาเมื่อกี้
จางฉุ้ยเหลียนก็เป็นคนโง่คนหนึ่ง เพียงแค่เธอพูดไม่กี่ประโยคก็เชื่อแล้ว แต่มาวันนี้หล่อนกลับมาโวยวาย และอยากจะวิ่งกลับไปบ้านตระกูลเซี่ย ความพยายามทั้งหมดก่อนหน้านั้นที่เธอทำมามันก็สูญเปล่าน่ะสิ ผู้หญิงคนนี้สามารถทำเงินได้แค่เพียงเลี้ยงดู ถ้าจะพูดอีกอย่างก็คือ เมื่อจะต้องแต่งงานออกไปอยู่ข้างนอก อย่างน้อยได้เงินค่าสินสอดมาประมาณ 2,000-3,000 หยวนก็ยังดี ทั้งหมดมันก็คือเงินยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย ยังไงก็ไม่ยอมปล่อยให้เงินหลุดมือไปอย่างเปล่าประโยชน์โดยเด็ดขาด
“พอแล้ว แกรู้ว่าพ่อบุญธรรมดีกับแก ฉันเป็นแม่ผู้ให้กำเนิดของแกจะไม่ดีกับแกอย่างนั้นหรือ ? เขาให้เงินแกฉันก็ต้องเก็บไว้สิ ไม่อย่างนั้นตอนแกเข้ามหาวิทยาลัยจะใช้จะกินอะไรล่ะ ! ” เช่าหวาพูดออกมาประมาณว่า เงินที่เหลือนั้นก็ต้องเก็บไว้เพื่อเป็นค่าเล่าเรียนของจางฉุ้ยเหลียนในอนาคต
“แกอายุ 18 แล้ว ยังมีหน้ามาขอเงินจากฉันอีกงั้นหรือ ? ” คำพูดของเช่าหวาดูไม่สมเหตุสมผล ชาติที่แล้ว เธอจะได้เข้าเรียนแล้วจริง ๆ ถ้าไม่ใช่เพราะน้องชายมาเกิดเรื่องขึ้นมากะทันหันจนต้องใช้เงินก่อนละก็ แล้วถ้ามันเกิดเป็นความจริง เธอจะต้องเข้าใจผิดพ่อแม่อย่างแน่นอน
ก็ได้ เชื่อพวกเขาอีกสักครั้งก็ได้ !