px

เรื่อง : เกิดใหม่ทั้งทีขอลิขิตรักเอง (นิยายแปล) **จบแล้ว**
ตอนที่ 6 มโนธรรมของการค้าขาย


ตอนที่ 6 มโนธรรมของการค้าขาย

 

เมื่อรู้ว่าซาลาเปาทั้งหมด 120 ลูกที่ขายได้ในวันนี้ทำเงินได้เท่าไหร่ ? จางกว่างฝูและเช่าหวาก็ถึงกับมึนงงขึ้นมาในทันที และไม่มีทางที่พวกเขาทั้งสองคนจะปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปได้อย่างแน่นอน

 

จางฉุ้ยเหลียนฉีกกระดาษแผ่นหนึ่งออกมา และเริ่มคิดคำนวณอย่างง่าย ๆ : “แป้งขาว 1 ชั่ง ทำซาลาเปาได้ทั้งหมด 12 ลูก ต้นทุนแป้งซาลาเปา 1 ลูกเท่ากับ 3 หลี ไข่ 1 ฟองเท่ากับ 3 เฟิน แป้งซาลาเปา 1 ชั่ง ใช้กุยช่าย 1 ชั่ง และไข่ไก่ 6 ฟอง ต้นทุนของซาลาเปากุยช่าย 1 ชั่ง เท่ากับ 2.2 เหมา ส่วนต้นทุนของซาลาเปา 1 ลูกก็เกือบ 2 เฟิน ขาย 2.5 เฟิน ซาลาเปา 1 ลูกจะได้กำไรลูกละ 5 หลี

 

เมื่อสองสามีภรรยาจางได้ยินดังนี้ พวกเขาทั้งสองคนต่างก็พากันส่ายหน้าในทันที : “ไม่ได้สิ ได้เงินน้อยเกินไป ไม่คุ้มค่าเหนื่อยเลย ” เมื่อขายของเสร็จแล้ว หางที่ซ่อนไว้ก็โผล่ออกมาทันที

 

เรื่องที่จางฉุ้ยเหลียนเบื่อหน่ายมากที่สุดก็คือพฤติกรรมที่ไม่ชอบทำงานแต่หวังรายได้มหาศาลของพ่อกับแม่ของตัวเอง เธอทอดถอนหายใจออกมา “ซาลาเปากุยช่ายไข่เป็ดทำเงินได้น้อยจริง ๆ ซาลาเปา 1 ลูกทำเงินได้ 5 หลี ส่วน 10 ลูกได้ 5 เฟิน และซาลาเปา  80 ลูก ก็ได้ 4 เหมา”

 

เมื่อคำนวนได้แบบนี้แล้ว ซาลาเปาไส้หมู 40 ลูกทำเงินได้ 1 หยวน 4 เหมา ซาลาเปาไส้มังสวิรัติ 80 ลูกทำเงินได้ 4 เหมา 8 เฟิน บวกกับซาลาเปาไส้ผักอีก 4 เหมา วันนี้พวกเขาขายซาลาเปาได้ทั้งหมด 2 หยวน 2 เหมา และอีก 8 เฟิน

 

แต่ในเวลานี้เช่าหวากลับไม่มีความรู้สึกพึงพอใจแต่อย่างใด หล่อนจึงแผดเสียงแหลมพูดออกไปว่า : “มันต้องไม่ใช่แบบนี้สิ นังเด็กบ้านี่ เมื่อวานแกใช้ไข่ของฉันไปตั้ง 40 ฟอง แล้วทำไมฉันต้องขาดทุนไปตั้ง 1.2  หยวนด้วยล่ะ แกต้องเอาเงิน 1.2 หยวนนั่นมาให้ฉัน

 

จางฉุ้ยเหลียนขมวดคิ้ว : “แม่จะคิดแบบนี้ไม่ได้นะ ถึงแม้ว่าเมื่อวานจะขายไปได้เยอะ แต่ซาลาเปาที่พ่อกับแม่กินมันก็เงินเหมือนกัน

 

เช่าหวาไม่ฟังคำอธิบายของจางฉุ้ยเหลียนแต่อย่างใด หล่อนพูดออกไปว่า : “นังลูกไม่รักดี ฉันเป็นแม่แกนะ แล้วยิ่งไปกว่านั้นฉันก็ให้แกกินข้าวที่บ้านนี้มาตั้งหลายปี ฉันก็ไม่เห็นจะเก็บเงินจากแกเลย ”

 

เช่าหวาดึงเงินจำนวน 2 หยวน 2.8 เหมา ออกมาจากกองเงิน ส่วนเงินที่เหลือก็ถูกเก็บเอาไว้ในกล่องเก็บเงินส่วนกลางของบ้าน ก่อนที่หล่อนจะคลี่ยิ้มจนตาหยีแล้วพูดว่า : “เงิน 2 หยวน 2.8 เหมา นี่เป็นกำไร ต้นทุนฉันใส่กลับไปแล้ว หลังจากนี้ก็ใช้เงินนี้ขายซาลาเปาแล้วกันนะ

 

จางฉุ้ยเหลียนพูดเตือนขึ้นมา : “แม่ เนื้อหมูนั่นหนูเป็นคนไปซื้อมาเมื่อวาน เนื้อทั้งหมดนั่นหนูใช้เงินซื้อไป 1.4 หยวนเลยนะ แม่ต้องให้เงินหนูสิ ในทุนนั่นมันมีเงินของหนูรวมอยู่ด้วย

 

เช่าหวากลอกตาไปมา : “แกคิดให้ฉันชัดเจนดีแล้วไม่ใช่เหรอ?  เมื่อวานก็พูดกันแล้วว่าแกจะใช้ไข่ของฉันในราคา 1.2  หยวน ถือซะว่าคืนกำไรให้ฉันก็แล้วกัน ซาลาเปาวันนี้ก็ใช้เงินของฉันทำ แล้วแกยังจะมีปัญหาอะไรอีกห๊ะ

 

จางฉุ้ยเหลียนถลึงตาใส่เช่าหวา : “หนูเหนื่อยมาตั้งแต่เมื่อวานจนมาถึงวันนี้ แต่หนูได้เงินแค่ 2 เหมา ? แล้วยังต้องทำซาลาเปาให้พ่อกับแม่กินฟรี ๆ ตั้งมื้อหนึ่งอีกอย่างนั้นหรือ ? ”

 

ในที่สุดเช่าหวาก็ทนไม่ไหว หล่อนจึงยื่นมือออกไปตบหน้าของจางฉุ้ยเหลียน และพูดออกมาว่า : “ทำไมแกถึงพูดกับแม่ของแกแบบนี้ ? ไม่ละอายแก่ใจบ้างเลยรึไง ฉันให้ข้าวให้น้ำแกกินแล้วยังดูแลตอนที่แกป่วยอีก แกยังไม่รู้จักสำนึกอีกหรือ ? ”

 

จางฉุ้ยเหลียนจับหน้าตัวเอง จากนั้นก็คลี่ยิ้มเศร้า ๆ ออกมาแล้วพูดว่า : “แม่นี่เหมือนดั่งคำที่ว่า  เสร็จงานฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพลเลยนะ ?

 

เมื่อจางกว่างฝูเห็นสองแม่ลูกกำลังทะเลาะกันใหญ่โต เขาก็เริ่มพูดโน้มน้าวใจเช่าหวาออกไปว่า : “พอได้แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะฉุ้ยเหลียนเอ๋อ ก็ไม่รู้ว่าพวกเราจะขายซาลาเปาได้เงินมากมายขนาดนี้ไหม เธอก็คืนเงินให้ลูกไปเถอะ

 

เช่าหวาถลึงตาพร้อมกับกัดฟันกรอด ก่อนจะพูดว่า : “จะเอาให้มันทำไม ! ไฟก็ของฉัน ฟืนก็ของฉัน แล้วยังใช้เกลือของฉันอีก ทำไมไม่ให้เงินฉันล่ะ คุณช่วยหยุดทำตัวเป็นคนดีหน่อยได้ไหม ไสหัวออกไปเลยไป

 

จางฉุ้ยเหลียนไม่ได้ทำอาหารเย็นแต่อย่างใด เธอกลับห้องไปนอนร้องไห้อยู่บนเตียง เธอไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ว่าทำไมหลายปีที่ผ่านมานี้ เธอถึงได้โง่ขนาดนี้ ทำไมเธอจะไม่เห็นล่ะว่า พวกเขาทำกับเธอเหมือนกับเธอไม่ใช่คนในครอบครัวแบบนี้มาโดยตลอด

 

ช่วงเวลาอาหารเย็น จางกว่างฝูได้พูดกับภรรยาตัวเองด้วยน้ำเสียงเบา ๆ ว่า : “เธอเหลือข้าวไว้ในครัวแล้วใช่ไหม ? ”

 

เช่าหวารู้อยู่แก่ใจดีกว่าสามีของหล่อนนั้นกำลังต้องการที่จะพูดอะไร หล่อนจึงตั้งใจพูดเสียงดังออกไปว่า : “ไม่มีข้าวเหลืออยู่ในครัวแล้ว คุณจะเหลือไว้ให้ใครกินล่ะ?  ฉันทำงานมาทั้งวัน เหนื่อยแทบขาดใจยังต้องมานั่งปรนนิบัติรับใช้ทำกับข้าวให้คนในบ้านอีกอย่างนั้นหรือ”

 

จางกว่างฝูพูดออกมาเบา ๆ ด้วยความร้อนใจ : “ทำไมเธอถึงพูดแบบนี้ล่ะ จางฉุ้ยเหลียนจะไม่อึดอัดใจแย่เหรอ เธอเป็นแม่ของหล่อนก็จริง แต่เธอก็ไม่มีสิทธิ์ไปรังแกหล่อนแบบนี้นะ

 

เช่าหวาโยนตะเกียบลงไปบนโต๊ะ จากนั้นก็หันหน้ากลับไปตะโกนใส่อีกฝ่ายเสียงดังจนสะเทือนลั่นห้อง : “ทำไมฉันถึงได้ซวยซ้ำซวยซ้อนทุกวันแบบนี้นะ ทำเงินได้เท่าเศษขี้เล็บก็คิดว่าตัวเองเก่งมากนักรึไง เอาไข่ของฉันไปแล้วไม่ให้เงิน คุณยังคิดว่าสมเหตุสมผลอยู่อีกหรือ ประสาท! งั้นหลังจากนี้บ้านที่คุณอยู่ ข้าวที่คุณกินก็ต้องให้เงินฉันหมดเลยสิ ฉันไม่สนหรอกนะว่าคุณจะเป็นจะตายยังไง ตอนนั้นฉันน่าจะเอาโถฉี่กรอกปากคุณให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลยจริง ๆ

 

จางฉุ้ยเหลียนได้ยินประโยคเหล่านี้มาตั้งแต่เด็กจนโต เธอต้องแอบมานอนร้องไห้ทุกครั้งเมื่อไม่ได้รับความเป็นธรรม เธอไม่เข้าใจ ว่าทำไมพ่อกับแม่ถึงไม่ชอบเธอ แต่ถ้าพวกเขาไม่ชอบเธอจริง ๆ แล้วทำไมพวกเขาถึงต้องพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อไปรับตัวเธอกลับมาจากพ่อแม่บุญธรรมด้วยล่ะ

 

เมื่อก่อนเธออยากกลับไปหาพ่อแม่บุญธรรมมาก แต่เมื่อตัวเองกลับมาอยู่ที่บ้านแล้ว จะกลับไปอีกได้ยังไง ถ้าพ่อบุญธรรมไม่ต้องการเธอ และแม่ผู้ให้กำเนิดไม่ต้องการเธออีกแล้วล่ะ เธอจะไปอยู่ที่ไหน

 

เพราะเช่าหวาเข้าใจจิตใจของเธอดี ดังนั้นหล่อนจึงได้รังแกและทรมานเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่แบบนี้

 

ตอนนี้จางฉุ้ยเหลียนทำได้เพียงแค่ทำยังไงก็ได้ให้ตัวเองรอดภายใน 1 เดือนนี้ หลังจากที่ได้รับหนังสือแจ้งจากทางมหาวิทยาลัยแล้ว เธอจะไปจากบ้านหลังนี้ อาศัยเงินที่ตัวเองตรากตรำทำงานมาเลี้ยงดูตัวเอง เมื่อเรียนจบเธอก็จะไปอยู่ที่อื่นคนเดียว จากนั้นก็ค่อยแต่งงานกับกู้จื้อเฉิง ทุกอย่างก็จะเป็นเหมือนดั่งคำที่ว่าน้ำมาค่อยเกิด เมื่อมีเงื่อนไขที่ดีทุกอย่างก็จะบรรลุผลสำเร็จ ทุกอย่างก็จะดำเนินไปตามเหตุผลอันสมควรของมัน

 

กลางดึกจางฉุ้ยเหลียนรู้สึกหิวจนต้องลุกขึ้นมาจากเตียง เธอแอบย่องเข้าไปในห้องครัว ซึ่งก็เป็นอย่างที่เช่าหวาพูดไว้จริง ๆ หล่อนไม่ได้เหลือข้าวไว้ให้เธอ แม้แต่มันฝรั่งที่เธอนึ่งไว้ก่อนหน้านั้นก็กินจนหมดไม่มีเหลือ

 

จางฉุ้ยเหลียนกลับไปบนเตียง จากนั้นก็นั่งทอดมองออกไปข้างนอกหน้าต่างภายใต้แสงจันทร์สีนวล เธอรู้สึกคิดถึงกู้จื้อเฉิงที่ไม่รู้ว่าชีวิตของเขาตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง อีกทั้งยังคิดถึงพ่อและแม่บุญธรรมของเธอด้วยเช่นกัน

 

เช้าตรู่วันที่สอง เช่าหวาลุกขึ้นจากที่นอนตอนเวลาประมาณ 04.00 น. หล่อนออกไปเก็บผักกาดขาวสองสามต้นมาจากแปลงผัก ครั้งนี้ไม่มีทั้งกุยช่าย ไม่มีทั้งไข่เป็ด หล่อนจึงนึ่งได้แค่ซาลาเปาไส้มังสวิรัติเพียงเท่านั้น

 

แต่เพราะหล่อนทะเลาะกับจางฉุ้ยเหลียนเมื่อคืน ตอนที่หล่อนออกไปซื้อเนื้อ หล่อนจึงได้รู้ว่าเนื้อหมูนั้นมีราคาแพงมาก หล่อนจึงซื้อเนื้อหมูมาแค่ 1 ชั่งเท่านั้น

 

หลังจากที่ใส่ไส้ซาลาเปาเสร็จแล้ว เช่าหวาที่พบว่าจางฉุ้ยเหลียนยังไม่ตื่น หล่อนจึงตะโกนเสียงดังลั่นบ้าน : “ยังไม่ตื่นอีกรึไง แค่ฉันไม่ให้เงินแกแค่นี้ถึงกับไม่ลุกขึ้นมาทำมาหากินเลยหรือ ? ”

 

ในเวลานี้จางฉุ้ยเหลียนก็ได้แหวกม่านออกมาจากห้องของเธอพอดี เธอเดินตรงเข้ามาในครัว เธอพับแขนเสื้อขึ้น และพูดออกไปว่า : “หนูช่วยนึ่งซาลาเปาให้ก็ได้ แต่หนูไม่ไปขายกับแม่แล้วนะ วันนี้หนูจะไปทำงานที่บ้านคุณน้าเฉิน

 

เช่าหวาส่งเสียงเหอะออกมาอย่างเย็นชา : “แกไม่ไปก็เรื่องของแกสิ คิดว่าไม่มีแกแล้วฉันจะขายไม่ได้รึไง ? ”

 

หลังจากนั้นสองแม่ลูกไม่พูดไม่จาอะไรกันอีก จางฉุ้ยเหลียนเพิ่งสังเกตเห็นว่าไส้ที่ยัดในซาลาเปานั้นมันน้อยลงมาก เธอจึงถามออกไปว่า : “แม่ แม่ซื้อเนื้อมาเท่าไหร่? ทำไมมันถึงได้แต่มีต้นหอมแล้วไม่เห็นเนื้อแบบนี้ล่ะ?”

 

เช่าหวาเบะปาก : “ก็ซื้อมาแค่ 1 ชั่งน่ะสิ ซื้อมาเยอะขาดทุนจะตาย ” จางฉุ้ยเหลียนเงยหน้ามองแม่จางด้วยสีหน้าตื่นตกใจ : “ซาลาเปาเนื้อ 1 ลูก ทำเงินได้ตั้ง 3.5 เฟิน แม่ยังบอกว่าขาดทุนอีกเหรอ!”

 

เช่าหวาแสยะยิ้มแล้วพูดว่า : “ฉันว่าแกเรียนหนังสือไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก ต้นทุนซาลาเปา 1 ลูก ทำเงินได้แค่ 4 เฟิน มันจะพอกินรึไง ? ฉันทำซาลาเปา 1 ลูก ทำเงินได้ตั้ง 5 เฟิน แกเชื่อฉันไหมล่ะ ?

 

จางฉุ้ยเหลียนกำลังจะบอกว่า ลูกค้าเขากัดแค่คำแรกเขาก็รู้แล้วว่าข้างในมันเป็นยังไง จะขายได้ทีละสิบ ๆ ลูกได้ยังไงกัน แต่เรื่องแบบนี้ต้องให้แม่ของเธอเจอเองกับตัวถึงจะจำได้ขึ้นใจ

 

หลังจากที่นึ่งซาลาเปาเสร็จแล้ว จางฉุ้ยเหลียนก็กินอาหารเช้า จากนั้นเธอก็ตรงไปทำงานที่บ้านคุณน้าเฉินทันที ส่วนจางกว่างฝูและเช่าหวาก็ออกไปขายซาลาเปาที่ริมถนนด้วยกัน

 

เมื่อมาถึงบ้านตระกูลเฉิน จางฉุ้ยเหลียนก็เริ่มทำงานโดยไม่พูดไม่จาทันที ผ่านไปประมาณ 1 ชั่วโมงกว่า ๆ ก็เริ่มมีหญิงสาวต่างทยอยกันเข้ามาเรื่อย ๆ  พวกหล่อนเห็นจางฉุ้ยเหลียนนั่งอยู่ที่มุมห้อง จึงได้กวักมือเรียกเธอมาสอบถาม : “ฉุ้ยเหลียนเอ๋อ น้าเห็นว่าเธอออกไปขายซาลาเปาที่ริมถนนมาเมื่อวันก่อน ? เป็นอย่างไรบ้าง ขายดีไหม ? ”

 

จางฉุ้ยเหลียนคลี่ยิ้มออกมาแล้วพูดว่า : “ค่ะ หนูไปขายซาลาเปาที่ริมถนนมาจริง ๆ และยังขายดีมากอีกด้วย แต่ทำเงินไม่ได้เยอะเท่าไหร่หรอกค่ะ เสียแรงเสียเวลาซะเปล่า ๆ

 

หญิงสาวคนนั้นไม่อยากจะเชื่อ หล่อนจึงได้เบะปากและพูดออกไปว่า : “ถ้ามันทำเงินได้น้อย แล้วทำไมวันนี้แม่เธอถึงยังออกไปขายซาลาเปาอยู่อีกล่ะ?”

 

จางฉุ้ยเหลียนรู้ ถ้ากระแสความนิยมเพิ่มขึ้น พ่อกับแม่ของเธอก็คงจะไม่อยากออกไปขายซาลาเปาแล้ว และถ้าไม่มีเงิน เช่าหวาก็คงไม่ยอมให้เธอเรียนมหาวิทยาลัยอย่างแน่นอน

 

เธอจึงพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าลำบากใจว่า : “วันแรกที่หนูออกไปขายเอง มันก็ทำเงินได้นิดหน่อย เมื่อวานหนูออกไปขายซาลาเปากับแม่ของหนูทั้งวัน แต่แม่เอาเงินที่ขายได้ทั้งหมดไป แล้วยังบอกหนูอีกว่าถึงไม่มีหนูพวกเขาก็ขายได้ ให้หนูมาทำงานที่บ้านของคุณน้าเฉินแทนค่ะ  เฮ้อ

 

เมื่อคุณน้าเฉินได้ยินจึงถามขึ้นด้วยความเป็นห่วงว่า : “อ่า? แม่ของเธอเอาเงินที่ขายซาลาเปาได้ไปหมดเลยหรือ ? ”

 

จางฉุ้ยเหลียนพยักหน้า : “เดิมทีก็ไม่เท่าไหร่หรอกค่ะ เงินที่หนูหามาได้ก็เอาไปซื้อแป้ง ซื้อเนื้อ ซื้อไข่จนหมดแล้ว ตอนนี้หนูไม่เหลือเงินเลยแม้แต่เฟินเดียว เลยทำได้แค่มาทำงานที่บ้านของคุณน้าเฉินนี่แหละค่ะ

 

เมื่อทุกคนได้ยินดังนั้น พวกหล่อนต่างก็พากันคิดคำนวณ คิดเงินต้นทุนต่าง ๆ รายจ่ายที่จำเป็นรวมทั้งกำไรที่ได้ในขั้นตอนสุดท้าย ไม่นานทุกคนต่างก็ล้มเลิกความคิดที่จะออกไปขายของ แล้วก็คิดว่ามันไม่คุ้มกับจางฉุ้ยเหลียนเอาเสียเลย

 

 “เธอบอกว่าเธอเป็นแค่นักเรียนมัธยมคนหนึ่ง หาเงินก็เพื่อที่จะเอาไปเรียนมหาวิทยาลัย ทำไมแม่เธอถึงได้ใจไม้ไส้ระกำกับเธอแบบนี้ล่ะ หญิงสาวคนหนึ่งพูดขึ้น พร้อมกับอดไม่ได้ที่จะเดินเข้ามากอดปลอบจางฉุ้ยเหลียน

 

คุณน้าเฉินได้แต่ยืนมองพิจารณาจางฉุ้ยเหลียนอย่างถี่ถ้วน ด้วยความรู้สึกอนิจจังอยู่ในใจ ถ้าเธอเป็นแม่ของหล่อน เธอก็คงจะยอมทำทุกวิถีทางเพื่อให้หล่อนได้เรียนต่อ ต่อให้ต้องทุบหม้อขายเหล็กหล่อเธอก็จะทำ เพื่อให้หล่อนได้เรียนหนังสือเพียงเท่านี้เธอก็พอใจแล้ว

 

แต่น่าเสียดายที่ไม่ใช่พ่อแม่ทุกคนจะคิดแบบนี้ ในฐานะที่จางฉุ้ยเหลียนเป็นลูกสาว ถ้าบอกว่านั่นไม่ใช่แม่ของเธอ ก็คงจะไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่นัก

 

จางฉุ้ยเหลียนทำได้เพียงแค่ยิ้มอย่างไร้เดียงสาออกมา : “ไม่เป็นไรค่ะ แม่หนูชื่นชมที่หนูหาเงินได้ก็พอแล้วค่ะ”

 

ผู้ที่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นต่างก็พากันบุ้ยปากมองหน้ากับไปมา แล้วพากันทอดถอนใจ ไม่มีใครเปิดเผยความจริงออกมา  ถึงแม้ว่าทุกคนจะเคยเห็นพ่อและแม่บุญธรรมของจางฉุ้ยเหลียนที่หอบกระเป๋ามาเยี่ยมเธอ ฝากเงินฝากของต่าง ๆ ไว้ให้ แต่ของและเงินเหล่านั้นกลับถูกแม่ผู้ให้กำเนิดของจางฉุ้ยเหลียนยึดเอาไปหมด

 

“ฉุ้ยเหลียนถ้าเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ เธอจะทำยังไงต่อไปล่ะ” คุณน้าเฉินมองไปทางจางฉุ้ยเหลียน และหล่อนก็อดที่จะถามขึ้นมาไม่ได้

 

 “อ่า ? หนูจะทำยังไงได้ล่ะคะ ก็ต้องออกไปหาเงินอีกตามเคย แม่หนูบอกว่าบ้านของเราดูทรุดโทรมมากแล้ว อยากให้หนูออกไปทำงานหาเงินกลับมาซ่อมบ้าน คำพูดของจางฉุ้ยเหลียนดูเหมือนจะ “ไม่มีอะไร” แต่กลับสร้างความไม่พอใจให้แก่ผู้ฟังไม่น้อยได้ไม่น้อยเลยทีเดียว

 

ทุกคนต่างพากันโกรธขึ้นมาในทันทีทันใด : “หล่อนมีเงินก็สร้างเองสิ

 

“ใช่หล่อนยังมีลูกชายที่โตจนหมาจะเลียก้นไม่ถึงอยู่แล้วทั้งคน ทำไมจะต้องให้ผู้หญิงควักเงินจ่ายเงินด้วยล่ะ

 

 “ฉันเห็นด้วย เอาเงินจากเหล่าเซี่ยไปแล้ว ยังจะมาเอาเงินจากเธออีกหรือ ? ” ในขณะที่หญิงสาวคนนั้นกำลังพูดอยู่ ก็ถูกผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ผลักเพื่อเป็นการเตือน หล่อนจึงได้ปิดปากในทันที ผู้หญิงคนนั้นจึงพูดด้วยเสียงเบา ๆ ว่า ปากไม่มีหูรูด

 

จางฉุ้ยเหลียนไม่ได้ยิน จึงได้แต่หัวเราะออกมาแล้วพูดว่า : “พวกเขาคือพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของหนู ยังไงก็ต้องกตัญญูค่ะ

 

คุณน้าเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นก็พูดโน้มน้าวออกไปว่า : “กตัญญูก็เป็นสิ่งที่ควรทำ แต่ก็ต้องคิดเพื่อตัวเองด้วย เงินที่เธอหามาได้ด้วยตัวเองก็ต้องเก็บเอาไว้บ้าง ไว้เป็นสินเดิมของตัวเองในอนาคต”  สองสามีภรรยาที่แสนเลือดเย็นนั่น จะให้ลูกสาวออกสินเดิมเองได้ยังไงกัน

 

เมื่อพูดถึงสินเดิม ทุกคนต่างก็พากันสนใจขึ้นมาทันทีทันใดและต่างทยอยเข้ามาถามจางฉุ้ยเหลียนว่าจะหาเงินยังไงหลังจากนี้

 

จางฉุ้ยเหลียนนึกถึงกู้จื้อเฉิงในอดีตเมื่อชาติที่แล้ว จากนั้นก็ก้มหน้าลงด้วยความเขินอาย ก่อนจะพูดว่า : “ขอแค่ผู้ชายคนนั้นที่มีสติปัญญาและความสามารถ ขอแค่เขาเข้าใจหนูก็พอแล้วล่ะค่ะ

 

ประโยคนี้ทำให้คุณน้าเฉินอิจฉาไม่น้อย : ขอแค่เขาเข้าใจหนูก็พอแล้ว แต่ถึงยังไงเธอก็ยังต้องอึดอัดอยู่ในบ้านของตัวเอง น่าเสียดายผู้หญิงดี ๆ แบบนี้จริง ๆ  

 

ทันใดนั้นเธอก็นึกถึงหลานชายของเธอขึ้นมา และก็ยังนึกถึงนิสัยเจ้าอารมณ์ของพี่สาวของตัวเองด้วย จากนั้นเธอก็ค่อย ๆ หันไปมองจางฉุ้ยเหลียน และเริ่มมีความคิดที่จะจับคู่ขึ้นมาในใจ ผู้หญิงดี ๆ แบบนี้ไม่พากลับบ้านด้วยคงจะเสียดายแย่

                                                                                                                                                           

รีวิวผู้อ่าน

mibalaska
1117 วันที่แล้ว

อ่านแล้ว ไม่อยากพิมเลย แต่รู้สึกรำคาญ นอ. มาก 2 ชีวิตไรว้าา กากเหมือนเดิม มีหลายเรื่องเกิดใหม่ทีเด็ดขาดมาก นี่หัวอ่อนสลัดผัก หงุดหงิดโว๊ยๆๆ


  แสดงความคิดเห็น