px

เรื่อง : เกิดใหม่ทั้งทีขอลิขิตรักเอง (นิยายแปล) **จบแล้ว**
ตอนที่ 7 ขายไม่ออก


ตอนที่ 7 ขายไม่ออก

 

ตกค่ำจางฉุ้ยเหลียนกลับมาถึงที่บ้าน เธอมองไปรอบ ๆ บ้าน และพบว่าพ่อกับแม่ของเธอไม่อยู่บ้าน เธอเห็นแต่น้องชายที่กำลังนั่งจ้องโทรทัศน์โดยไม่ละสายตา และเอาแต่ตะโกนซ้ำ ๆ กับเธอว่าหิว การที่พ่อกับแม่ของเธอยังไม่กลับมาที่บ้าน นั่นก็แสดงว่าวันนี้ซาลาเปาของพวกเขาต้องขายไม่ดีอย่างแน่นอน

 

เธอเดินออกไปที่สวนผัก และเก็บถั่วฝักยาว พริก ผักชี ต้นหอม พร้อมกับครุ่นคิดอยู่ในใจว่าวันนี้ซาลาเปาน่าจะขายได้ไม่ดี และคาดว่าเย็นนี้คงจะได้กินซาลาเปาที่เหลือจากที่ขายไม่ได้แน่นอน จากนั้นเธอก็เดินไปถอนหัวไชเท้ามาหนึ่งหัว เตรียมทำซุปหัวไชเท้า

 

ในขณะที่จางฉุ้ยเหลียนกำลังล้างผักอยู่นั้น เธอก็เห็นจางกว่างฝูและเช่าหวาเดินกลับเข้ามาในบ้านด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก เมื่อเข้ามาในบ้าน จางกว่างฝูก็ตะโกนเรียกหา : “ฉุ้ยเหลียนเอ๋อ ไม่ต้องทำกับข้าวแล้ว กินซาลาเปาที่เหลือนี่แหละ

 

เป็นอย่างที่เธอคิดไว้จริง ๆ ซาลาเปาขายไม่ออกจริง ๆ ด้วย จางฉุ้ยเหลียนเปิดกล่องดู และก็พบว่าซาลาเปาจากทั้งหมด 40 ลูก ตอนนี้มันยังเหลืออีกตั้ง 28 ลูกเลยทีเดียว และซาลาเปาที่เหลือทั้งหมดนี้ก็เป็นซาลาเปาไส้เนื้อ แต่ซาลาเปาที่ขายหมดคือซาเลาเปาไส้มังสวิรัติ เช่าหวาเดินไปล้มตัวลงนอนที่เตียงจากนั้นหล่อนก็บ่นพึมพำออกมา

 

ซาลาเปา 28 ลูกที่เหลืออยู่นั้น ไม่พอให้ทุกคนในบ้านกินอย่างแน่นอน จางฉุ้ยเหลียนจึงเดินเข้าไปในครัว จากนั้นเธอก็คว้าเอาหม้อเล็ก ๆ ออกมาตั้งและเทข้าวสารลงไปเพื่อที่จะต้มโจ๊ก

 

จากนั้นก็นำถั่วฝักยาวมาผัด แล้วจึงนำผักชี ต้นหอม กระเทียมและพริกมาผัดรวมกันจนกลายเป็นผัดผักรวม 1 จาน เธอยกโจ๊ก 1 หม้อเล็ก ผัดถั่วฝักยาว 1 จาน ผัดผักรวม 1 จาน แล้วก็ซาลาเปาที่เหลือ 1 ถ้วยเล็กมาวางไว้บนโต๊ะอาหาร

 

ตอนที่พ่อกับแม่ออกไปขายซาลาเปากันในตอนเช้า จางฉุ้ยเหลียนยังไม่ตื่น พอเธอตื่นขึ้นมาเธอก็กินแค่บะหมี่ 2 ถ้วย เมื่อหันไปเห็นซาลาเปาไส้หมู เธอจึงหยิบขึ้นมาด้วยความดีใจแล้วกัดลงไปคำหนึ่ง และนั่นจึงทำให้เธอรู้ว่าไส้ข้างในมันเป็นอย่างไร

 

ตอนที่จางฉุ้ยเหลียนนึ่งซาลาเปา เพื่อความสะดวกในการแยกแยะไส้ เธอจะปั้นซาลาเปาไส้หมูให้เป็นรูปร่างปกติเหมือนซาลาเปาทั่ว ๆ ไป แต่ซาลาเปาไส้มังสวิรัติเธอจะปั้นให้เป็นรูปร่างคล้ายกับเกี๊ยว ส่วนซาลาเปาไส้กุยช่ายไข่เธอก็จะจับจีบให้เป็นเหมือนกับใบกุยช่าย ดังนั้นซาลาเปาที่เหลือทั้งหมดนี้ มองแวบเดียวเธอก็รู้แล้วว่าเป็นซาลาเปาไส้หมู

 

เมื่อจางฉุ้ยเหลียนเคี้ยวซาลาเปาเข้าไปคำแรก เธอถึงกับต้องก้มหน้าดูพร้อมกับขมวดคิ้วขึ้นมาทันทีทันใด : “แม่ ซาลาเปาวันนี้เนื้อหมูน้อยมากมีแต่ต้นหอม

 

จางกว่างฝูที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็อดที่จะแสยะยิ้มขึ้นมาไม่ได้ : “เหอะไม่ใช่แค่ไส้น้อยจนขายไม่ออกเท่านั้นนะ คนขับรถพวกนั้น ไม่ว่าใครที่ได้กินซาลาเปาต่างก็เอาแต่ต่อว่าพวกเรา แถมยังไม่ซื้อซาลาเปาไส้หมูอีกต่างหาก ซื้อแต่ซาลาเปาไส้มังสวิรัติ”

 

เช่าหวาไม่อยากฟัง หล่อนจึงอดที่จะด่ากราดออกไปไม่ได้ : “หุบปากไปเลย คุณลองมาทำดูไหมล่ะ ? จะได้หยุดด่าฉันเสียที

 

จางฉุ้ยเหลียนขมวดคิ้ว เช่าหวาเอาแต่โพล่งคำหยาบออกมา บ้านหลังนี้เป็นที่ที่เธอเกลียดเสียยิ่งกว่าบ้านแม่สามีของเธอเมื่อชาติที่แล้วเสียอีก นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมลูกสาวของเธอไม่ชอบมาที่บ้านของเธอ

 

ว่ากันว่าสถานะเดิมของแม่กู้จื้อเฉิงนั้นดีมาก ถึงแม้ว่าฐานะทางบ้านจะไม่ร่ำรวยอะไรมากนัก แต่ก็ได้รับการอบรมสั่งสอนมาเป็นอย่างดี เมื่อได้ใช้ชีวิตอยู่กับแม่สามีมาเป็นเวลาเนิ่นนานหลายปี ถึงแม้ว่าแม่สามีจะคิดว่าเธอเป็นสาวใช้ก็ตาม แต่แม่สามีของเธอก็พอควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ ไม่ได้ออกอาการต่อต้านเหมือนกับแม่ผู้ให้กำเนิดของเธอ

 

“งั้นเธอจะบอกว่าฉันพูดผิดอย่างนั้นสินะ ? ” จางกว่างฝูไม่ยอม เขาถือตะเกียบด้วยมืออันสั่นเทา เขาเถียงกับเช่าหวาจนคอเป็นเอ็นเลยทีเดียว : “ทุกคนที่กัดซาลาเปาไส้หมูของเธอเข้าไปคำแรกต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าไส้น้อย แม้แต่ซาลาเปาไส้มังสวิรัติที่มีไม่กี่ลูกก็ยังไม่มีใครอยากจะกินเลยด้วยซ้ำ เธอยังจะกล้าพูดอย่างไม่อายปากอีกหรือ เธอทำให้คนไม่เชื่อถือเอง เรื่องนี้เธอเทียบกับเสี่ยวเหลียนเอ๋อไม่ได้เลย

 

จางฉุ้ยเหลียนไม่กล้าส่งเสียงใด ๆ ออกมา ได้แต่ก้มหน้ากินโจ๊กไปอย่างเงียบ ๆ ส่วนซาลาเปาไส้หมูเธอกินมันไปได้แค่ 2 คำ เธอก็ไม่กินมันอีก เพราะเธอกลัวว่าถ้าเธอกินซาลาเปาพวกนี้แล้ว พรุ่งนี้เธอจะต้องได้ออกไปช่วยพวกเขาขายของอย่างแน่นอน

 

“ไอ้หยา ฉันรู้แล้วล่ะน่า เดี๋ยวฉันไปซื้อเนื้อมาเพิ่มเอง พรุ่งนี้ก็ขายได้ไม่น่าเกลียดแล้ว จะอะไรกันนักกันหนา มัวแต่พูดพล่ามอยู่นั่นแหละ” เช่าหวาแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมา หล่อนกินข้าวไปพลางและรับฝีปากกับกับสามีไปพลาง

 

บางทีอาจจะเป็นเพราะวันนี้จางกว่างฝูโดนลูกค้าจำนวนมากต่อว่ามาทั้งวัน เขาจึงได้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ และด่าทอภรรยาของตัวเองอยู่แบบนี้

 

ขณะที่จางฉุ้ยเหลียนกำลังล้างจานอยู่ในครัว เธอก็ได้ยินเสียงทะเลาะกันของสองสามีภรรยาดังแว่ว ๆ ออกมาจากในตัวบ้าน

 

“จะมาพูดพล่ามจู้จี้จุกจิกอะไรนักหนา ปากของคุณนี่มันยิ่งกว่าปากของหญิงแก่พวกนั้นเสียอีก

 

“เหอะ แม่คนแสนดี ดีมาก เธอที่มันทั้งปากเสีย เอาแต่พูดทำร้ายจิตใจคนอื่น ลูกทำไว้ดีอยู่แล้ว แต่เธอดันคิดว่าตัวเองเก่ง ทำเองได้ ตอนนี้เป็นยังไงล่ะ

 

“มันเป็นเพราะว่าคุณไม่เอาไหนต่างหาก ให้ฉันออกไปทำงานหาเงินเนี่ยนะ ? ”

 

“ผมไม่เอาไหนอย่างนั้นหรือ ผมมีตรงไหนที่ใช้ไม่ได้ ผมทั้งเก่งและทั้งมีความสามารถทำได้ทุกอย่าง

 

“คุณมีตรงไหนที่ไม่เก่งอย่างนั้นหรือ? ยังกล้าถามมาได้ น้องชายในเป้ากางเกงของคุณไงที่มันใช้การไม่ได้ อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่แล้ว คุณมันเก่งตรงไหนไม่ทราบ

 

จางฉุ้ยเหลียนได้แต่ทอดถอนใจออกมาด้วยความจนปัญญา นี่คือพ่อกับแม่ของเธอ ถ้าพวกเขาอารมณ์ร้อนขึ้นมา อะไร ๆ ก็โพล่งออกมาต่อหน้าลูกสาวจนหมดสิ้น ตั้งแต่เล็กจนโต เธอมักจะได้ยินคำพูดสกปรก ๆ ออกมาจากปากแม่ของเธออยู่เสมอ ตอนที่เธอไม่ให้เงินหล่อน หล่อนก็จะพ่นคำด่าออกมา และคำด่าพวกนั้นก็เปรียบเสมือนอาวุธของหล่อนอย่างไรอย่างนั้น

 

เมื่อเปรียบเทียบนิสัยของเช่าหวาตอนนี้กับนิสัยของหล่อนเมื่อ 10 ปีก่อน มันช่างต่างกันลิบลับ เมื่อ 10 ปีก่อนหล่อนเพิ่งจะก้าวเข้าสู่ช่วงของการเป็นวัยรุ่น มันจึงทำให้หล่อนไม่ได้มีพลังที่จะทำให้ผู้อื่นตื่นตกใจได้เหมือนอย่างตอนนี้

จางฉุ้ยเหลียนค่อย ๆ เดินไปทางด้านทิศตะวันออกของบ้านอย่างช้า ๆ และเอ่ยปากพูดเตือนพ่อกับแม่ของเธอออกไปว่า  : “พ่อกับแม่ไม่ออกไปซื้อของข้างนอกกันหรือ เดี๋ยวคนอื่นเขาเลิกงานแล้วจะซื้อเนื้อไปหมดนะ

 

เมื่อได้ยินคำเตือนนี้ เช่าหวาก็ได้แต่ยิ้มเยาะก่อนจะลุกขึ้นจากเตียง และหยิบเงินเดินออกไปข้างนอก แต่หล่อนก็อดที่จะหันหน้ามาพูดประชดประชันกับจางกว่างฝูไม่ได้ : “คุณมันเก่ง เก่งจริง ๆ เก่งไปซะทุกอย่าง

 

จางฉุ้ยเหลียนที่รู้สึกเอือมระอา เธอจึงเดินออกไปนอกบ้าน โดยที่ไม่สนใจเลยว่าพ่อแม่และน้องชายของเธอจะกำลังกินข้าวกันอยู่หรือไม่ เธอปล่อยพวกเป็ดออกมาจากเล้า จากนั้นจึงเดินถือไม้ไผ่ตรงไปยังริมน้ำอย่างช้า ๆ

 

เธออยากจะไปหาที่เงียบ ๆ และอยู่คนเดียวเพียงลำพัง เพื่อที่จะครุ่นคิดถึงอนาคต คิดว่าเธอนั้นจะต้องทำอย่างไรต่อไป

 

เหล่าเป็ดน้อยต่างก็มีความทรงจำของมันเอง พวกมันต่างก็รู้ว่าที่ไหนมีน้ำให้มันได้เล่นและหาอาหาร จางฉุ้ยเหลียนเดินตามหลังเป็ดน้อยเหล่านั้นไป เธอใช้มือของเธอรวบผมไปไว้ด้านหลังและม้วนผมเหล่าขึ้นไว้บนหัวราวกับมันเป็นเชือกอย่างไรอย่างนั้น 

 

ระหว่างทาง แสงอาทิตย์สาดส่องสีเหลืองทองอร่ามราวกับทองคำ ด้านทิศตะวันออกเป็นแสงอาทิตย์ยามตะวันรอน และยังมีเมฆสีขาวกระจัดกระจายไปทั่วทั้งท้องฟ้า เหมือนกับเหลี่ยมเพชรบนท้องนภาอย่างไรอย่างนั้น

 

ถึงจะเป็นช่วงใกล้พลบค่ำ แต่เธอก็ยังได้กลิ่นฉุน ๆ ของดินเหนียว และยังได้ยินเสียงกบ เสียงจิ้งหรีดที่ร้องแข่งกันอย่างแข็งขันไปตลอดทาง ทุกอย่างสงบเยือกเย็น และเงียบสงบไปพร้อมกัน

 

แต่แล้วความเงียบสงบเหล่านี้ก็ได้ถูกทำลายลง จางฉุ้ยเหลียนที่กำลังนั่งดูแสงอาทิตย์สาดส่องอยู่ใต้สะพาน เธอก็ได้ยินเสียงตะโกนไม่ใกล้ไม่ไกลจากจุดที่เธอนั่งมากนัก

 

เสียงของผู้ชายคนหนึ่งที่เธอได้ยิน เธอรู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างมาก และมันทำให้เธอประหลาดใจมากเลยทีเดียว มันเหมือนกับเสียงของจางฉุ้ยหลินลูกพี่ลูกน้องของเธออย่างไรอย่างนั้น แต่เสียงของผู้หญิงที่เธอได้ยินอีกเสียงหนึ่ง เธอไม่คุ้นเอาเสียเลย

 

“แม่ของฉันบอกว่าอยากจะแนะนำคู่หมายให้กับน้องสาวของนายได้รู้จัก ผู้ชายคนนนั้นเป็นลูกชายคนเล็กของป้าสามของฉันเอง เสียงของผู้หญิงคนนั้นสดใสไพเราะ ซึ่งมันก็แสดงให้เห็นถึงสภาพจิตใจที่ดีของหล่อน

 

จากนั้นเสียงของจางฉุ้ยหลินพี่ชายลูกพี่ลูกน้องของจางฉุ้ยหลินก็ดังลอยเข้ามา : “น้องสาวของฉัน ? จางฉุ้ยเหลียนหรือ?”

 

เสียงของผู้หญิงคนนั้นตอบกลับมาว่า : “ใช่ จางฉุ้ยเหลียนนั่นแหละ ช่วงนี้หล่อนมาทำงานที่บ้านของฉัน แม่ของฉันชอบหล่อนมาก บอกว่าหล่อนเป็นเด็กดี และชื่นชมที่หล่อนหาเงินเรียนเอง”

 

ทั้งสองคนเดินมาหยุดอยู่ที่สะพาน และดูเหมือนว่าพวกเขาจะมายืนคุยกันที่นี่ จางฉุ้ยเหลียนรู้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร เธอคือเฉียวอิงลูกสาวของคุณน้าเฉินนั่นเอง

 

“เป็นไปไม่ได้หรอก อาสะใภ้รองของฉันไม่มีทางยอมให้หล่อนไปเรียนมหาวิทยาลัยอย่างแน่นอน จางฉุ้ยหลินทอดถอนใจ เหมือนกับเป็นห่วงอนาคตของจางฉุ้ยเหลียนอย่างไรอย่างนั้น

 

“ทำไมล่ะ?” เฉินเฉียวอิงไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่ตนเองได้ยิน

 

จางฉุ้ยหลินยิ้มออกมาด้วยความลำบากใจ และพูดออกไปว่า : “ญาติของเธออยากได้น้องสาวของฉันไปเป็นสะใภ้อย่างนั้นหรือ รีบหน่อยก็ดีนะ หล่อนจะได้มีเงินมาซ่อมบ้าน แล้วอีกอย่างหลังจากที่หล่อนเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้ พ่อบุญธรรมของหล่อนก็จะไม่ส่งเงินค่าเล่าเรียนให้หล่อนแล้ว และคุณอากับอาสะใภ้รองของฉันก็จะไม่ส่งเธอเรียนต่อแล้วเหมือนกัน

 

“อ่า ? ” เฉินเฉียวอิงรู้สึกเหมือนกับกำลังฟังนิทานพันหนึ่งราตรีของอาหรับอย่างไรอย่างนั้น : “พวกเขายังมีความเป็นคนอยู่รึเปล่า ? ”

 

ใช่ พวกเขายังมีความเป็นคนอยู่รึเปล่า จางฉุ้ยเหลียนก็คิดอย่างนั้นเช่นเดียวกัน

 

จางฉุ้ยเหลียนที่ยืนอยู่ใต้สะพานก็ได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ตัวเธอเองนั้นแทบจะไม่รู้จักใครเลย มีพ่อแม่ก็เหมือนจะต้องใส่หน้ากากเข้าหากันตลอด พวกเขาอยากจะจับเธอแต่งงานเพราะอยากจะได้เงินค่าสินสอด นี่มันค้ามนุษย์ชัด ๆ เลยไม่ใช่หรือ ?

 

“ไอ้หยา น้องสาวของฉันก็คงจะผิดหวังน่าดูที่หล่อนจะไม่ได้เรียนต่อ ขนาดแม่ของฉันก็ยังพูดเลยว่าตระกูลเซี่ยดีกับหล่อนมาก แต่หล่อนอยากจะกลับมาเผชิญความโหดร้ายที่บ้านเอง ใครจะขวางได้ เธอว่าทั้งหมดนี้มันคือโชคชะตารึเปล่าล่ะ ? ” คำพูดของจางฉุ้ยหลินทำให้จางฉุ้ยเหลียนอดที่จะทอดถอนใจออกมาไม่ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นเธอก็ทำตัวเองทั้งนั้น จะโทษใครได้

 

ชาติก่อนตอนที่เธอแต่งงานกับกู้จื้อเฉิง แม่ผู้ให้กำเนิดของเธอรู้ดีว่าบ้านของตัวเองมีข้อบกพร่อง หล่อนจึงวางแผนปิดบังข้อบกพร่องเหล่านั้น แล้วเรียกเงินค่าสินสอดที่ค่อนข้างสูงจากครอบครัวของกู้จื้อเฉิง วันที่จางฉุ้ยเหลียนต้องย้ายออกไปอยู่ที่บ้านของสามี เช่าหวาไม่ได้ให้เงินสินเดิมติดตัวเธอมาเลยแม้แต่หยวนเดียว และให้เธอนำผ้าห่มผืนใหม่ไปได้แค่ 2 ผืนเท่านั้น

 

หลังจากนั้นทุกวันหยุดถ้าครั้งไหนที่เธอไม่ได้กลับไปที่บ้าน พวกเขาก็จะวิ่งแจ้นมาร้องห่มร้องไห้ถึงหน้าประตูบ้านแม่สามีของเธอ และเอาแต่พูดว่าวันนี้ไม่มีข้าวสาร พรุ่งนี้ไม่มีน้ำมัน แต่หลังจากที่เธอย้ายไปอยู่กับกู้จื้อเฉิงในกองทัพ เธอก็ไม่ได้รับรู้ข่าวคราวเกี่ยวกับทางบ้านของเธออีกเลยตลอดหลายปี

 

แต่ทุกวันปีใหม่ พวกเขาก็มักจะโทรศัพท์มาหาบอกว่าตัวเองไม่ดีอย่างนั้นไม่ดีอย่างนี้ ซึ่งในตอนนั้นจางฉุ้ยเหลียนก็มักจะแบ่งของที่ได้รับมาจากวันปีใหม่ส่วนหนึ่งออกมา และแอบเอากลับไปให้ที่บ้านของตัวเอง

 

แต่แม่ผู้ให้กำเนิดของเธอก็ยังคงไม่พอใจ หล่อนรู้สึกว่าของที่มีมูลค่าถูกแม่สามีเอาไปหมดแล้ว ตัวเธอเองก็ไม่อยากจะคิด ด้วยสถานะแม่สามีและนิสัยที่เยือกเย็นของหล่อน เธอจะกล้าไปเอาสิ่งของพวกนั้นได้อย่างไรกัน

 

หลายปีมานี้ ความจนในครอบครัวของจางฉุ้ยต่างก็สร้างปัญหาไว้ไม่น้อย จนแม่สามีของเธอเริ่มจะหน้าเสีย ปัญหาที่เกิดขึ้นเหล่านั้นมันทำให้หล่อนไม่สามารถเชิดหน้าชูตาได้  แต่จางฉุ้ยเหลียนก็ยังไม่สามารถตัดขาดจากครอบครัวของเธอได้ เพราะเธอไม่ใช่คนแบบนั้นและเธอก็ทำไม่ได้ด้วย

 

“จางฉุ้ยเหลียนน่าสงสารมากจริง ๆ แม่ของฉันบอกว่าหล่อนเป็นเด็กเรียนเก่ง ถึงอย่างไรก็ต้องหางานดี ๆ ทำได้อย่างแน่นอน ไปให้ไกลจากที่นี่ได้ก็ยิ่งดี เฉียวอิงเจ็บใจแทนจางฉุ้ยเหลียน  และจางฉุ้ยหลินที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เธอ ก็ไม่ได้เป็นคนที่มองโลกในแง่ดีด้วย

 

“งั้นก็แปลว่าเธอไม่รู้จักนิสัยของอาสะใภ้รองของฉันดีสินะ ที่จางฉุ้ยเหลียนยังมีชีวิตอยู่ได้ ก็เพราะว่าหล่อนกำลังทำตัวเหมือนดั่งพลาสเตอร์หนังหมาก็เท่านั้น เว้นเสียแต่ว่าหล่อนจะรู้สึกหมดความอดทนกับครอบครัวนี้แล้วจริง ๆ ไม่อย่างนั้นหล่อนไม่มีทางหนีรอดจากวงจรชีวิตนี้ไปได้หรอก ! นิสัยของเช่าฮวาเป็นอย่างไรใครต่างก็รู้ดี จางฉุยเหลียนที่ยืนอยู่ใต้สพานก็พยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วย

 

แต่จางฉุ้ยเหลียนก็นึกไม่ถึงเลยว่าสองคนนี้จะมาอยู่ด้วยกันที่นี่ เพราะภรรยาของจางฉุ้ยหลินที่อยู่ในความทรงจำของเธอเมื่อชาติที่แล้วก็ไม่ใช่เฉียวอิง เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสองคนนี้จะมีช่วงเวลาที่ได้ใกล้ชิดกันแบบนี้ เธอคาดไม่ถึงเลยจริง ๆ นึกไม่ถึงว่าโลกที่เธอได้กลับมาเกิดใหม่ครั้งนี้ เรื่องราวที่เกิดขึ้นตรงหน้าเธอนี้มันจะกลับตาลปัตรไปเสียหมด

 

“เฉียวอิง หยุดพูดเรื่องของจางฉุ้ยเหลียนดีกว่า มาพูดเรื่องของเรากันเถอะ เธอพร้อมที่จะบอกเรื่องของเรากับครอบครัวของเธอเมื่อไหร่ ? ” จางฉุ้ยหลินถามขึ้นด้วยน้ำเสียงร้อนใจ เฉียวอิงได้แต่ทอดถอนใจออกมา ก่อนจะพูดว่า : “เรื่องนี้ฉันคิดว่าอย่างพึ่งรีบเลยดีกว่า เพราะพ่อของฉันไม่ชอบครอบครัวของนาย พ่อของฉันบอกว่าครอบครัวของนายไม่ดี ฉันกำลังคิดว่า ถ้าแม่ของฉันเป็นแม่สื่อให้กับการแต่งงานของฉุ้ยเหลียนสำเร็จ บางทีเรื่องของเราอาจจะมีแนวโน้มไปในทางที่ดีก็ได้

 

เมื่อพูดจบจางฉุ้ยหลินก็พูดขึ้นมาว่า : “ถ้าเธอคิดอย่างนั้น เธอก็ไปพูดโน้มน้าวให้แม่ของเธอเข้าไปคุยกับอาสะใภ้รองของฉันสิ ทั้งหมดนี่มันไม่ใช่เพื่อใคร แต่เพื่อเราสองคนนะ แม่ของเธอจะต้องเห็นด้วยอย่างแน่นอน

 

จางฉุ้ยหลินยิ้มออกมาแล้วพูดว่า “งั้นเธอจะให้ฉันคุยอะไรกับแม่ของฉันอย่างไรดี ? พูดเรื่องของเราออกไปตามตรงเลยดีไหม ? ”

 

เฉียวอิงผลักจางฉุ้ยหลินออกไปด้วยความเขินอาย “ถ้านายเป็นคนพูดเอง ฉันไม่อนุญาตนะ”

 

จางฉุ้ยเหลียนเข้าใจประโยคที่ว่า คนไม่รักตัวเอง ฟ้าดินประหัตประหารและก็เข้าใจด้วยว่าพวกเขาทั้งสองคนไม่ได้จะใช้ประโยชน์จากตัวเธอ คุณน้าเฉินอยากจะแนะนำคู่หมายให้กับเธอ เงื่อนไขก็ต้องไม่ใช่คนที่แย่หรือเลวทรามจนเกินไปอยู่แล้ว ในชาติที่แล้ว คนที่แนะนำกู่จื้อเฉิงให้เธอไม่ใช่คุณน้าเฉิน แต่เป็นเพราะเธอรู้จักคนเยอะ นั่นจึงทำให้เธอรู้จักกับกับลูกพี่ลูกน้องของกู้จื้อเฉิง

 

ไม่อย่างนั้น เธอจะไปรู้จักกู่จื้อเฉิงได้อย่างไรกันล่ะ

 

เธอไม่ได้ลำบากใจอะไร แต่ก็แค่รู้สึกเสียใจเท่านั้นเอง

รีวิวผู้อ่าน