px

เรื่อง : เกิดใหม่ทั้งทีขอลิขิตรักเอง (นิยายแปล) **จบแล้ว**
ตอนที่ 18 เข้าเรียน


ตอนที่ 18 เข้าเรียน

 

เช้าวันที่สอง จางฉุ้ยเหลียนลุกจากเตียงตั้งแต่ 04.00 น. เพราะเธอรู้ว่าวันนี้ตงลี่หวาจะปั่นจักรยานออกไปตัดหญ้าเพื่อเอามาเป็นอาหารให้หมู และเธออยากจะตามไปด้วย

 

“ไอ้หยา ลูกกลับไปนอนต่อเถอะ ไม่ต้องไปหรอก” เมื่อตงลี่หวาเห็นว่าจางฉุ้ยเหลียนทำท่าจะออกไปกับหล่อนด้วย หล่อนก็รีบเข้ามาขวางเธอไว้ทันที

 

“ให้หนูไปกับแม่เถอะนะคะ ตอนนี้เพื่อนบ้านก็ยังไม่ตื่น เราไปยืมจักรยานของพวกเขาก็ได้ ให้หนูไปช่วยแม่ตัดหญ้าเถอะ” จางฉุ้ยเหลียนยังคงยืนยันคำเดิม ตงลี่หวาเองก็จนปัญญา หล่อนจึงเดินไปหาเสื้อผ้าสำหรับใส่ทำงานของตัวเองมาให้กับจางฉุ้ยเหลียน

 

“ตอนเช้าแบบนี้น้ำค้างมันเยอะ ลูกก็ใส่เสื้อผ้าหนา ๆ หน่อยแล้วกันนะ” เมื่อเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อย พวกเธอทั้งสองคนก็พร้อมออกเดินทาง จางฉุ้ยเหลียนนั้นใส่หมวกใบใหญ่ และปั่นจักรยานรุ่น 28 ออกจากบ้านไปพร้อมกับตงลี่หวา

 

พวกเธอทั้งสองคนตั้งใจจะไปหาหญ้าในพื้นที่ที่ไม่มีเจ้าของ จากนั้นก็ช่วยกันตัดหญ้าและนำมันกลับมาที่บ้านเพื่อเป็นอาหารให้หมู พอถึงบ้านก็จะนำหญ้าพวกนั้นมาสับให้ละเอียดผสมกับรำข้าวสาลี และไม่เพียงแต่เป็นอาหารให้หมูเท่านั้น หญ้าผสมรำข้าวสาลียังเป็นอาหารให้ไก่และเป็ดได้อีกด้วย เมื่อให้อาหาร ไก่ เป็ด และหมูเสร็จเรียบร้อยแล้ว งานทั้งหมดก็เป็นอันเสร็จสิ้น

 

สองแม่ลูกปั่นจักรยานออกมาไกลพอสมควร ในที่สุดตงลี่หวาก็จอดจักรยานตรงป่าแห่งหนึ่ง จากนั้นทั้งสองก็หยิบมีดขึ้นมาและเริ่มฟันต้นหญ้า ตอนที่กำลังฟันหญ้าอยู่นั้นจางฉุ้ยเหลียนก็เห็นว่าป่าแห่งนี้มีเห็ดผุดขึ้นมาเป็นเยอะมากเลยทีเดียว

 

“แม่คะ ที่นี่มีเห็ดอยู่เยอะเลย” จางฉุ้ยเหลียนพูดพร้อมกับชี้ไปทางเห็ดเหล่านั้นด้วยความดีใจ

 

ตงลี่หวาหันไปมองพร้อมกับส่ายหน้า : “เห็ดพวกนี้มันกินไม่ได้หรอก ถ้ากินได้ก็คงจะถูกคนอื่นเก็บไปกินนานแล้วล่ะ”

 

“อ้อ” จางฉุ้ยเหลียนเบะปากอย่างผิดหวัง จากนั้นจึงลงมือตัดหญ้าต่อ

 

เวลาประมาณ 06.00 น. สองแม่ลูกก็ปั่นจักรยานกลับบ้าน พร้อมกับต้นหญ้าเต็มถุงที่ผูกติดกับท้ายจักรยาน สองแม่ลูกพูดคุยและหัวเราะกันอย่างสนุกสนานไปตลอดทางกลับบ้าน

 

ในเวลานี้เซี่ยจวินก็ทำอาหารเช้าเสร็จพอดี ทักษะการทำอาหารของเขาไม่ดีเท่าไหร่นัก เขาจึงทำได้แค่ต้มบะหมี่เพียงเท่านั้น

 

เขานำเส้นหมี่ลงไปต้มในน้ำ ก่อนจะตอกไข่ 3 ถึง 4 ฟองตามลงไป ใส่ต้นหอมเพื่อเพิ่มความหอมเล็กน้อย จากนั้นก็เติมเกลืออีกนิดหน่อยก็เป็นอันเสร็จ เขาใช้เวลาในการต้มบะหมี่เพียงแค่ 10 นาทีเท่านั้น

 

จางฉุ้ยเหลียนถือโอกาสช่วงที่สองสามีภรรยาตระกูลเซี่ยจวินกำลังจัดการกับอาหารหมู เธอนำแตงกวาสองลูกมาหั่นเป็นเส้น ๆ จากนั้นก็นำมันมาคลุกกับเกลือและน้ำส้มสายชูเล็กน้อย เมื่อทุกคนได้กินแตงกวาที่มีรสเปรี้ยวนี้ พวกเขาก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันทีทันใด

 

เมื่อกินบะหมี่หมดแล้ว เซี่ยจวินก็พาจางฉุ้ยเหลียนนั่งรถโดยสารเข้าไปในเมืองตอนเวลา 07.10 น. และพวกเขาก็มาถึงสถานีขนส่งในเมืองตอนเวลาประมาณ 08.30 น. การเดินทางมาในเมืองของพวกเขาในวันนี้ราบรื่นมาก เซี่ยจวินจึงคิดว่านี่ต้องเป็นลางดีอย่างแน่นอน

 

เวลานี้ที่พวกเขาเดินทางมาถึงวิทยาลัยครู มันยังไม่ถึงเวลาทำงาน ดังนั้นอธิการบดีจึงยังไม่มา ทั้งสองคนจึงรออยู่บริเวณทางเดินของตึก จนกระทั่งเห็นผู้ชายสวมใส่ชุดสูทสีดำสวมแว่นตาดูมีอายุคนหนึ่งเดินเข้ามา

 

เซี่ยจวินจึงเดินเข้าไปต้อนรับพร้อมกับถามขึ้นว่า “คุณคืออธิการบดีชูใช่ไหมครับ ? ”

 

อธิการบดีชูพยักหน้า “คุณคือผู้ปกครองของจางฉุ้ยเหลียนใช่ไหมครับ ? ”

 

เซี่ยจวินพยักหน้า “ใช่ครับ ๆ ต้องรบกวนท่านอธิการบดีด้วยจริง ๆ ครับ

 

เมื่อเข้ามาในห้องทำงานของอธิการบดีแล้ว เซี่ยจวินก็เริ่มเล่าภูมิหลังของจางฉุ้ยเหลียนให้กับอีกฝ่ายได้ฟังอย่างคร่าว ๆ ตอนที่รู้ว่าชายที่มากับเด็กคนนี้ในวันนี้ ไม่ใช่พ่อผู้ให้กำเนิด แต่เป็นพ่อบุญธรรมของหล่อน อธิการบดีชูก็อดที่จะลุกขึ้นยืนและยื่นมือออกไปจับมือของเซี่ยจวินเพื่อเป็นการแสดงความเคารพนับถือไม่ได้ “ผมนับถือคุณจริง ๆ ครับ คุณเป็นคนดีมาก เป็นพ่อที่ดี อีกทั้งยังมีความรับผิดชอบ และคุณก็คงจะอบรมสั่งสอนเด็กคนนี้มาเป็นอย่างดี

 

เซี่ยจวินรีบส่ายหน้าทันที “ไม่หรอกครับ ผมก็เป็นแค่คนหยาบคายคนหนึ่งเท่านั้น”

 

หลังจากที่อธิการบดีชูได้ติดต่อกับทางผู้อำนวยการโรงเรียนมัธยมของจางฉุ้ยเหลียนแล้ว ทุกอย่างก็ง่ายขึ้น จนสุดท้ายจางฉุ้ยเหลียนก็ได้รับสิทธิ์ให้มาเรียนที่วิทยาลัยครูแห่งนี้เป็นเวลา 3 ปี

 

สองพ่อลูกเดินออกมาจากประตูวิทยาลัยด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเบิกบาน หลังจากที่ออกมาแล้วเซี่ยจวินตั้งใจว่าจะพาจางฉุ้ยเหลียนไปซื้อเสื้อผ้าใหม่ แต่จางฉุ้ยเหลียนก็ปฏิเสธเขาออกไปอย่างสุภาพ

 

เธอมาอยู่บ้านตระกูลเซี่ยแค่สองวัน อีกไม่นานวิทยาลัยก็เปิดเทอมแล้ว ถึงแม้ว่าจางฉุ้ยเหลียนจะไม่ค่อยเต็มใจที่จะกลับไปที่บ้านตระกูลจาง แต่ถึงอย่างไรเธอก็ต้องไปบอกพ่อกับแม่ผู้ให้กำเนิดของเธอให้พวกเขาทราบอยู่ดี

 

“ฉุ้ยเหลียนนี่เป็นเงินค่าเล่าเรียนและค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของลูก ลูกเก็บไว้ใช้ตอนเปิดเทอมนะ” เซี่ยจวินยื่นเงินให้กับจางฉุ้ยเหลียน จางฉุ้ยเหลียนรับเงินนั้นมา เธอได้แต่ก้มหน้าเพื่อซ่อนดวงตาที่แดงกร่ำที่พร้อมจะร้องไห้ออกมาได้ตลอดเวลาของเธอ “พ่อคะ เงินก้อนนี้คิดซะว่าหนูยืมมันก่อนนะคะ หลังจากนี้หนูสัญญาว่าจะเอามันมาคืนให้กับพ่อแน่นอนค่ะ

 

ตงลี่หวาส่ายหน้า พร้อมกับยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ต้องหรอก แค่ลูกได้เข้าเรียน พ่อกับแม่ก็สบายใจแล้วล่ะ

 

หลังจากที่จางฉุ้ยเหลียนเก็บเงินค่าเล่าเรียนนั้นไว้เรียบร้อยแล้ว เธอก็นั่งรถโดยสารกลับมาที่บ้านตระกูลจาง หลังจากที่ลงจากรถ เธอก็ไม่เห็นสองสามีภรรยาตระกูลจางออกมาขายซาลาเปาที่ริมถนนแต่อย่างใด

 

ดูท่าเมื่อไม่มีเธอช่วย สองสามีภรรยาก็คงจะขี้เกียจสันหลังยาวมากกว่าเดิมอย่างแน่นอน เธอแบกกระเป๋ากลับบ้าน ระหว่างทางก็เห็นเหล่าเพื่อนบ้านมากมายต่างก็กรูกันเข้ามาถามไถ่เธอด้วยความเป็นห่วง

 

จางฉุ้ยเหลียนยิ้มพร้อมกับพยักหน้า แล้วพูดว่า “ไม่เป็นไรแล้วล่ะค่ะถึงหนูเข้ามหาลัยไม่ได้ แต่ตอนนี้อธิการบดีวิทยาลัยครูให้หนูไปเรียนที่นั่นได้

 

เธอตรงไปบ้านตระกูลเฉินเป็นอันดับแรก เพราะก่อนหน้านี้คุณน้าเฉินได้ช่วยเธอเอาไว้เยอะมาก อีกทั้งหล่อนยังช่วยหาชายหนุ่มให้กับเธอ ถึงแม้ว่าเธอและเขาคนนั้นจะไม่เหมาะสมกันและไม่ได้เกิดความสัมพันธ์อะไรกันขึ้นมาก็ตาม แต่มิตรภาพนี้ก็ยังคงติดตรึงอยู่ในใจของเธอเสมอมา

 

“คุณน้าเฉิน” เมื่อเห็นว่าจางฉุ้ยเหลียนเดินเข้ามา คุณน้าเฉินก็รีบเดินออกมาหาเธอในทันที : “ฉุ้ยเหลียน เธอไปอยู่ที่ไหนมา ? ”

 

ยังไม่ทันที่จางฉุ้ยเหลียนจะได้พูดอะไรออกไป คุณน้าเฉินก็เบะปากและพูดขึ้นมาว่า “แม่ของเธอบอกว่าเธอหนีไปแล้ว แล้วหล่อนยังบอกอีกว่าเธอไม่ได้กลับบ้านมาสองสามวันแล้วด้วย

 

จางฉุ้ยเหลียนขมวดคิ้วเล็กน้อย พร้อมกับความรู้สึกผิดหวังที่ก่อเกิดขึ้นมาในใจ แม่ผู้ให้กำเนิดของเธอตั้งใจจะทำลายชื่อเสียงของเธออย่างนั้นหรือ โชคดีที่เธอมาได้ยินข่าวซุบซิบนินทาที่บ้านของน้าเฉินเข้าเสียก่อน เพราะหญิงสาวที่มาทำงานที่นี่ต่างชอบพูดคุยข่าวซุบซิบนินทาเหล่านี้กันทั้งนั้น

 

“หนูไม่ได้หนีออกจากบ้านนะคะสองสามวันที่ผ่านมานี้หนูไปอยู่ที่บ้านของพ่อบุญธรรมมา” จางฉุ้ยเหลียนหัวเราะคิกคัก

 

คุณน้าเฉินเองก็อึ้งไปชั่วขณะ “อ่า ? แล้วเธอไปทำอะไรที่นั่นล่ะ ? ”

 

จางฉุ้ยเหลียนพูดออกมาด้วยสีหน้าขมขื่น “จะให้หนูทำยังไงได้ล่ะคะ ? น้องชายของหนูก็เผาหนังสือแจ้งจากทางมหาวิทยาลัย ของหนูไปแล้ว และแม่ก็ไม่ยอมให้หนูเอาเครื่องเล่นเกมนั่นไปขายอีก เราสองคนทะเลาะกันรุนแรง หนูไม่มีที่ไป หนูเลยไปหาพ่อแม่บุญธรรมของหนู

 

เมื่อเห็นสีหน้าประหลาดใจของทุกคน จางฉุ้ยเหลียนก็รู้ได้ในทันทีว่าพวกเขาคิดอะไรกันอยู่ในใจ ทุกคนต่างก็คิดว่ายังไงบุญคุณของผู้ให้กำเนิดนั้นก็ย่อมมากกว่าบุญคุณของผู้เลี้ยงดูอยู่แล้ว “จริงสิ พ่อบุญธรรมของหนูหาที่เรียนให้หนูได้แล้วนะคะ แล้วเขายังพาหนูไปพบกับคนที่มีตำแหน่งใหญ่โตด้วย ตอนนี้หนูได้เข้าเรียนวิทยาลัยครูแล้วล่ะค่ะ”

 

จางฉุ้ยเหลียนที่พูดยกความดีความชอบทั้งหมดให้กับเซี่ยจวิน มันจึงทำให้หญิงสาวที่อยู่รอบ ๆ ต่างก็ประหลาดใจไม่น้อยเลยทีเดียว

 

“ไอ้หยาพ่อบุญธรรมของเธอมีความสามารถมากขนาดนั้นเลยหรือเนี่ย ? ” เมื่อได้ยินดังนั้นคุณน้าเฉินก็รู้สึกดีใจกับจางฉุ้ยเหลียนอยู่ไม่น้อย

 

“พ่อบุญธรรมของหนูก็ไม่ได้มีความสามารถอะไรมากหรอกค่ะ เป็นแค่คนในชนบทคนหนึ่ง เขาถามว่าคะแนนสอบของหนูก็สูง แต่ทำไมถึงสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ หนูเลยบอกว่าทางมหาลัยแห่งนั้นออกกฎว่าไม่สามารถเข้าไปเรียนได้หากไม่มีหนังสือแจ้งจากทางมหาวิทยาลัย พ่อของหนูก็เลยพาหนูไปหาอธิการบดีวิทยาลัยครู แล้วก็พูดเรื่องคะแนนสอบของหนู พ่อของหนูถามท่านอธิการบดีว่าสามารถรับหนูเข้าเรียนได้รึเปล่าเมื่ออธิการบดีวิทยาลัยครูเขาทราบเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเขาก็ออกปากว่าจะช่วย เมื่อวานพวกเราเลยไปรับหนังสือแจ้งจากทางวิทยาลัยเพื่อนำไปรายงานตัวในวันพรุ่งนี้ค่ะ

 

จางฉุ้ยเหลียนนั้นมองเซี่ยจวินเป็นดั่งวีรบุรุษของเธอ เมื่อเหล่าบรรดาหญิงสาวที่ได้ร่วมนั่งฟังสิ่งที่จางฉุ้ยเหลียนเล่ามา พวกหล่อนก็เข้าใจได้ในทันที คะแนนสอบของจางฉุ้ยเหลียนอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่อธิการบดีวิทยาลัยครูจะรับเธอเข้าเรียน

 

พูดอีกอย่างก็คือ ทุกคนต่างก็รู้ว่าวิทยาลัยครูและมหาวิทยาลัยนั้นแตกต่างกัน วิทยาลัยครูเมื่อจบออกมาเราสามารถทำได้เพียงอาชีพเดียวเท่านั้น นั่นก็คือครู แต่มหาวิทยาลัยไม่ใช่อย่างนั้น เพราะเราสามารถเลือกได้ว่าเราอยากเรียนคณะอะไร สาขาอะไร เมื่อจบออกมาแล้วก็สามารถไปทำงานเป็นหมอ เป็นอาจารย์ หรืออาชีพอื่น ๆ ซึ่งมันก็สามารถเลือกประกอบอาชีพได้หลากหลายกว่ากัน

 

“พ่อบุญธรรมของเธอเป็นคนดีมากจริง ๆ ” นี่สิคือสิ่งที่คนเป็นพ่อสมควรทำ โชคดีที่จางฉุ้ยเหลียนไปหาพ่อบุญธรรมของเธอ ถ้ายังให้สองสามีภรรยาตระกูลจางดูแลเธอต่อไปล่ะก็ ถึงจะพากันไปหาอธิการบดีวิทยาลัยครูถึงที่ ก็คงจะไม่สามารถทำอะไรได้

 

หลังจากที่ได้ป่าวประกาศข่าวนี้ออกไปแล้ว จางฉุ้ยเหลียนก็สามารถกลับบ้านได้อย่างสบายใจ ตอนนี้เป็นเวลาใกล้เที่ยงแล้ว ที่บ้านของเธอไม่มีใครอยู่เลยแม้แต่คนเดียว และเธอก็ไม่มีกุญแจบ้าน เมื่อไม่มีทางเลือก เธอจึงทำได้เพียงไปรอพวกเขาที่บ้านของคุณลุงเท่านั้น

 

เมื่อจางฉุ้ยเหลียนเดินเข้ามาในบ้านของคุณลุง เธอก็เห็นพวกเขากำลังนั่งกินอาหารกลางวันกันอยู่ เมื่อทุกคนเห็นจางฉุ้ยเหลียนแบกกระเป๋าเดินเข้ามา ทุกคนต่างก็ตกใจไปตาม ๆ กัน

 

จางกว่างโหยวรีบกวักมือเรียกให้จางฉุ้ยเหลียนเข้ามา และเขาก็เดินไปหยิบม้านั่งมาให้กับจางฉุ้ยเหลียน และพูดกับเธอว่า “เพิ่งกลับมายังไม่ได้กินอะไรมาเลยใช่ไหม มา ๆ มากินข้าวด้วยกันก่อน

 

จางฉุ้ยหลียนส่ายหน้า : “ไม่เป็นไรค่ะคุณลุง คุณลุงคะ ที่บ้านหนูไม่มีคนอยู่เลย พ่อกับแม่ก็ไม่ได้ออกไปขายซาลาเปาด้วย พวกเขาออกไปไหนกันหรือคะ ? ”

 

จางกว่างโหยวส่ายหน้า “ลุงก็ไม่รู้เหมือนกัน แล้วสองสามวันมานี้หนูไปอยู่ที่ไหนมา ? ”

 

หลิวกุ้ยเฟินก็พยักหน้าเช่นกัน : “ใช่  ๆ แม่เธอบอกกับป้าว่าเธอหนีออกจากบ้านไปได้หลายวันแล้ว แล้วหล่อนยังบอกอีกว่า เธอไม่ได้กลับมาที่บ้านอีกเลย

 

ถึงแม้ว่าจางฉุ้ยเหลียนจะรู้สึกอึดอัดอยู่ในใจ แต่เธอก็ยังตีหน้านิ่งต่อไป : “แม่บอกว่าหนูหนีออกจากบ้านอย่างนั้นหรือคะ ? ไม่ใช่นะคะ วันนั้นหนูกลับมาที่บ้านเพื่อมาเอาเครื่องเล่นเกมไปขาย เพราะหนูอยากจะได้เงินนั่นคืน แต่เสี่ยวจวินกลับไม่ยอมให้หนูเอาเครื่องเกมนั่นไป แม่เห็นหนูทะเลาะกับน้องชาย หล่อนก็ไม่พอใจมาไล่หนูออกจากบ้าน วันนั้นพ่อบุญธรรมก็มาหาหนูที่บ้านพอดี หนูเลยไปอยู่บ้านของพ่อบุญธรรม 2 วันถ้าแม่จะบอกว่าหนูหนีออกจากบ้านและไม่รู้ว่าหนูไปอยู่ที่ไหนก็คงจะไม่ถูก เพราะวันนั้นแม่ก็ยังยืนคุยกับพ่อบุญธรรมของหนูอยู่ตั้งนานสองนาน

 

จางกว่างโหยวและทุกคนถึงกับพูดอะไรไม่ออกกันเลยทีเดียว พวกเขาถูกผู้หญิงคนนี้หลอกเข้าให้แล้ว คุณย่าของจางฉุ้ยเหลียนกัดฟันกรอดด้วยความโกรธ “แม่แกน่ะ ปากไม่มีหูรูด พูดอะไรไม่มีความจริงสักอย่าง

 

จางฉุ้ยหลินเดินไปลากจางฉุ้ยเหลียนให้มานั่งที่โต๊ะ จากนั้นก็ส่งถ้วยกับตะเกียบมาให้เธอ แล้วถามออกไปว่า   “แล้วเรื่องเรียนเป็นยังไงบ้าง? เธอต้องเรียนซ้ำชั้นอีกปีหนึ่งรึเปล่า ? ”

 

จางฉุ้ยเหลียนจึงถือโอกาสนี้บอกกล่าวเรื่องที่เธอได้เข้าไปเรียนที่วิทยาลัยครูให้กับทุกคนได้ฟัง อีกทั้งยังบอกทุกคนอีกด้วยว่าเรื่องที่เธอได้เข้าไปเรียนที่วิทยาลัยครูแห่งนี้ล้วนแล้วแต่เป็นฝีมือของเซี่ยจวิน

 

“เธอดูสิ ขนาดว่าเขาเป็นพ่อบุญธรรมของเธอนะ แล้วเธอดูพ่อผู้ให้กำเนิดของเธอสิ ไม่ได้เรื่องเลยจริง ๆ” จางกว่างโหยวพูดออกมาด้วยอารมณ์โมโห

คุณปู่และคุณย่าของจางฉุ้ยเหลียนเองก็หมดคำพูดเช่นเดียวกัน ถึงแม้ว่าพวกเขาไม่อยากจะยอมรับก็ตามว่าทุกอย่างที่ลูกชายคนโตของตัวเองพูดมานั้นเป็นความจริง แต่ลูกชายคนรองของพวกเขาก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ

 

จางฉุ้ยเหลียนที่ก้มหน้าก้มตากินข้าวไปได้เพียงแค่สองคำ เธอก็ได้ยินเสียงทะเลาะกันดังมาจากข้างบ้าน เสียงที่ทะเลาะกันนั้นเป็นเสียงของเช่าหวาและจางกว่างฝู นั่นก็แสดงว่าพวกเขาทั้งสองคนกลับมาแล้ว แต่เธอก็ไม่รู้ว่าที่พวกเขาทั้งสองคนทะเลาะกัน สาเหตุมันเกิดจากอะไร

 

“จางกว่างโหยว แกไปเรียกสองคนนั้นให้มาที่นี่หน่อยสิ ฉันจะถามดูว่ามันเกิดอะไรขึ้น ” ปู่ของจางฉุ้ยเหลียนออกคำสั่ง จางกว่างโหยวที่กำลังคิดอยากจะสั่งสอนน้องชายของตัวเองอยู่พอดี จึงได้รีบวิ่งออกไปลากตัวของสองสามีภรรยาให้มาที่บ้านของเขา

 

จางฉุ้ยเหลียนเดินถือถ้วยไปเก็บในห้องครัวอย่างเงียบ ๆ แต่ขณะที่เธอกำลังเดินไปที่ห้องครัวอยู่นั้น จู่  ๆ เธอก็นึกขึ้นได้ว่าวันนี้อาจจะเป็นวันที่เสี่ยวจวินไปก่อเรื่องทำร้ายร่างกายคนอื่นและต้องจ่ายค่าประกันตัวให้เขาก็ได้

 

เมื่อจางฉุ้ยเหลียนมาคิด ๆ ดูแล้ว ความจริงแล้วชาติก่อนแม่ผู้ให้กำเนิดของเธอต้องเป็นคนเผาหนังสือแจ้งจากทางมหาวิทยาลัยของเธอ แต่ชาตินี้กลับเป็นเสี่ยวจวินที่เป็นคนเผาหนังสือแจ้งจากทางมหาวิทยาลัยของเธอ ถึงแม้เรื่องราวเหล่านี้จะเปลี่ยนแปลงไป แต่เรื่องที่เสี่ยวจวินไปทำร้ายร่างกายคนอื่นและต้องได้จ่ายค่ารักษาพยาบาลก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด

 

เมื่อคุณย่าและคุณปู่ของจางฉุ้ยเหลียนได้ยินเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น ไม่เพียงแต่จะไม่รู้สึกสงสารเสี่ยวจวินแล้ว พวกเขายังด่าสาดเสียเทเสียเช่าหวาและจางกว่างฝูอีกต่างหาก

 

คุณย่าของจางฉุ้ยเหลียนชี้หน้าด่าเช่าหวาเพราะความปากไม่มีหูรูดของหล่อน และยังด่าหล่อนอีกว่าเป็นแม่ที่ไม่ได้เรื่องอีกทั้งยังรังแกลูก จางฉุ้ยเหลียนเป็นลูกของหล่อนแท้ ๆ แต่หล่อนกลับบอกว่าลูกของตัวเองเป็นขยะไร้ประโยชน์และหล่อนยังสอนลูกชายไปในทางที่ผิด ทำให้เขากลายเป็นเด็กที่ไม่ดี 

 

เช่าหวาที่ไม่รู้ว่าจางฉุ้ยเหลียนกลับมาที่บ้านแล้ว หล่อนจึงได้โยนความผิดทุกอย่างไปให้กับจางฉุ้ยเหลียน “ถ้าไม่ใช่เพราะพี่สาวของเขาทะเลาะกับเขา และทำให้เขามีนิสัยก้าวร้าวแบบนี้ เสี่ยวจวินก็คงไม่ออกไปทะเลาะเบาะแว้งกับคนอื่นหรอกค่ะ

 

จางฉุ้ยเหลียนทนฟังในสิ่งที่แม่ของตัวเองพูดไม่ได้อีกต่อไป เธอจึงเดินเข้าไปในบ้านแล้วพูดออกไปว่า : “พอได้แล้ว แม่อย่ามาแก้ตัวน้ำขุ่น ๆ เลย เรื่องทั้งหมดมันเป็นเพราะเสี่ยวจวินไปทะเลาะเบาะแว้งและทำร้ายร่างกายของเด็กคนนั้นจนต้องเข้าโรงพยาบาล แล้ววันนี้เด็กคนนั้นก็เพิ่งจะฟื้นขึ้นมา ตำรวจถึงได้มาหาพ่อกับแม่

 

เช่าหวาและจางกว่างฝูแสดงสีหน้าตกใจขึ้นมาทันทีทันใด เพราะพวกเขาไม่คิดว่าจางฉุ้ยเหลียนจะรู้เรื่องนี้

 

เมื่อทุกคนเห็นเห็นสีหน้าของสองสามีภรรยาคู่นี้แล้ว ทุกคนต่างก็เข้าใจได้ในทันทีว่าเรื่องที่จางฉุ้ยเหลียนพูดมานั้นมันต้องเป็นความจริงอย่างแน่นอน คุณปู่ของจางฉุ้ยเหลียนทนไม่ไหวอีกต่อไป สุดท้ายเขาก็ถอดรองเท้าที่เขาสวมอยู่ออก และเขวี้ยงมันออกไปทางลูกสะใภ้ “เธอยังกล้าโกหกหน้าด้าน ๆ อยู่อีกหรือ

 

เช่าหวาเบิกตากว้าง : “คุณพ่อรู้เรื่องนี้ได้ยังไงคะ ? คุณพ่อรู้มาตั้งนานแล้วหรือคะ ? หรือว่าพ่อเป็นคนไปแจ้งความ ? คุณพ่อคิดจะทำร้ายหลานชายของคุณพ่ออย่างนั้นหรือคะ ? ”

 

จางฉุ้ยเหลียนกลอกตาไปมา จากนั้นจึงตะโกนออกไปว่า : “พอได้แล้วค่ะ ตอนที่เกิดเรื่องหนูอยู่บนรถประจำทาง

 

ไหน ๆ เรื่องก็มาถึงขั้นนี้แล้ว เธอคงต้องพูดมั่ว ๆ ออกไปก่อนละกัน “ตอนที่หนูนั่งอยู่บนรถประจำทาง หนูได้ยินผู้หญิงสองคนกำลังคุยกันเรื่องเด็กที่ถูกทำร้ายร่างกายจนต้องเข้าโรงพยาบาล พวกเขาพูดกันว่าเด็กคนนั้นถูกใครก็ไม่รู้ทำร้ายร่างกายบาดเจ็บสาหัสจนต้องเข้าโรงพยาบาล เด็กคนนั้นนอนที่โรงพยาบาลหลายวัน และเพิ่งจะฟื้นขึ้นมาวันนี้ พอหนูได้ยินอย่างนั้นหนูก็รู้ทันทีเลยว่าต้องเป็นกลุ่มของน้องชายหนูแน่ ๆ ที่ไปทำร้ายร่างกายของเด็กคนนั้นจนต้องเข้าโรงพยาบาล”

 

เมื่อจางฉุ้ยเหลียนพูดจบ เธอก็กวาดสายตาไปมองปฏิกิริยาของทุกคน จากนั้นจึงแสยะยิ้มออกมา “น้องชายของหนูชอบไปมั่วสุมกับพวกนักเลง ถ้าไม่ใช่เขาก็ต้องเป็นหลี่หยวนเหอหรือไม่ก็เพื่อนนักเลงในกลุ่มเดียวกันนั่นแหละ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าต้องเป็นกลุ่มน้องชายของหนูอย่างแน่นอน

 

เช่าหวาไม่ได้ปริปากพูดอะไรออกมาเลยแม้แต่น้อย เมื่อเห็นดังนั้นจางกว่างโหยวจึงอดไม่ได้ที่จะถามออกไปว่า “ต้องจ่ายค่าประกันตัวให้เขาเท่าไหร่ ? ”

 

จางกว่างฝูคุกเข่าลงพร้อมกับทอดถอนหายใจออกมา : “ต้องจ่ายค่าประกันตัวให้เขา 100 กว่าหยวน

 

เงิน 100 กว่าหยวน เธอรู้ว่าเช่าหวาและจางกว่างฝูต้องมีอย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าสองสามีภรรยาคู่นี้จะขี้เกียจ แต่เธอรู้ว่าพวกเขาต้องมีเงินเก็บ เพราะชาติก่อนจางฉุ้ยจวินก็เป็นคนผลาญเงินเก็บของพวกเขาจนหมด

รีวิวผู้อ่าน