px

เรื่อง : เกิดใหม่ทั้งทีขอลิขิตรักเอง (นิยายแปล) **จบแล้ว**
ตอนที่ 19 จะเอาเงิน


ตอนที่ 19 จะเอาเงิน

 

ความจริงแล้วเช่าหวาและจางกว่างฝูมีเงินเก็บ และเงินนั่นก็ได้มาจากการที่พวกเขาออกไปขายซาลาเปาที่ริมถนนนั่นเอง  แต่เรื่องที่อะไรที่พวกเขาจะต้องใช้เงินเก็บของตัวเองด้วยล่ะ พวกเขาจึงใช้ความหน้าด้านหน้าทนของตัวเองขูดรีดไถเงินจากคนอื่น

 

การที่ไม่ได้เอาเปรียบผู้อื่นก็เท่ากับว่าขาดทุน นี่เป็นคติประจำใจของเช่าหวา เมื่อถูกถามว่ามีเงินจ่ายค่าประกันตัวเสี่ยวจวินไหม เช่าหวาและจางกว่างฝูต่างก็พากันส่ายหน้าโดยไม่ต้องคิดเลย และพูดออกไปอย่างพร้อมเพรียงว่า “พวกเราไม่มีเงินหรอก

 

“พี่ใหญ่ ให้ฉันยืมเงินพี่ก่อนได้ไหม ? แล้วฉันจะทยอยคืนให้พี่ทีหลัง ! ” จางกว่างฝูรีบเดินเข้าไปเลียแข้งเลียขาพี่ชายของตัวเองต่อหน้าพ่อกับแม่ในทันที ส่วนเช่าหวาก็เอาแต่ปาดน้ำตาร้องไห้ราวกับว่าเธอเองก็จนปัญญาอย่างไรอย่างนั้น

 

“ขายซาลาเปาก็ได้เงินไม่เยอะ เงินที่ได้มาจากการขายซาลาเปาก็เอามาใช้จ่ายในบ้านจนหมดแล้ว แล้วฉุ้ยเหลียนก็ยังต้องเข้าเรียนมหาวิทยาลัย เงินค่าเล่าเรียนมหาวิทยาลัยของหล่อนเราก็ไม่มีเหมือนกัน” เมื่อจางฉุ้ยเหลียนได้ยินดังนั้น เธอก็ทำได้เพียงแค่กลอกตาไปมา และเอือมระอากับการที่พวกเขาโยนเรื่องทุกอย่างมาให้เธอคนเดียว

 

จางกว่างโหยวไม่มองหน้าเช่าหวาเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังพูดออกมาตรง ๆ ว่า “ไม่มีเงินประกันตัวก็ดี เพราะฉันก็กลัวอยู่ว่าพวกเธอจะมีเงินไปประกันตัวเขาออกมาน่ะสิ เสี่ยวจวินเรียนไม่เก่ง อีกทั้งไม่ตั้งใจเรียน เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นก็ดี ถือซะว่าเป็นการสั่งสอนเขาแล้วกันนะ”

 

จางฉุ้ยเหลียนรู้สึกตกใจที่คุณลุงของเธอตัดสินใจเหมือนกับชาติก่อนได้อย่างไม่มีผิดเพี้ยนแบบนี้ เพราะชาติก่อนคุณลุงของเธอก็ไม่ให้เงินพ่อกับแม่ของเธอเช่นเดียวกัน  ไม่ใช่ว่าคุณลุงของเธอขี้เหนียว แต่ลุงของเธอคิดว่าจางฉุ้ยจวินนั้นไร้ประโยชน์ราวกับโคลนตมที่ติดอยู่ที่หน้าประตูอย่างไรอย่างนั้น เรื่องอะไรที่เขาจะต้องยื่นมือเข้าไปช่วย และลุงของเธอก็ไม่ชอบใจที่เช่าหวาและจางกว่างฝูเลี้ยงลูกชายของตัวเองให้กลายเป็นเด็กไม่เอาไหน แม้แต่จะเช็ดก้นของตัวเองก็ยังทำไม่ได้ ทั้งที่โตจนหมาเลียตูดไม่ถึงอยู่แล้ว

 

“คุณแม่ คุณแม่ช่วยหลานชายของคุณแม่ด้วยเถอะค่ะ ” เช่าหวาคุกเข่าขอร้องอ้อนวอนต่อหน้าคุณย่าของจางฉุ้ยเหลียน พร้อมกับร้องไห้สะอึกสะอื้นปานจะขาดใจ

 

จางกว่างฝูก็คุกเข่าลงอย่างจนปัญญาเช่นเดียวกัน “ถึงยังไงเขาก็เป็นหลานชายของพ่อกับแม่ พ่อกับแม่ช่วยเขาได้ไหม ? ”

 

“พี่ใหญ่พี่ไม่ใช่คนแบบนี้ ! พี่เห็นคนกำลังจะตายแล้วไม่เข้าไปช่วยอย่างนั้นหรือ ? ถึงแม้ว่าเสี่ยวจวินจะทำตัวไม่ดี แต่ถึงยังไงเขาก็ยังเป็นสายเลือดของตระกูลจางนะคะ ตระกูลของเรามีกินมีใช้ พี่คงไม่ยอมทนเห็นหลานชายของพี่ต้องมาเจอเรื่องไม่ดีแบบนี้หรอกใช่ไหมคะ ? ไม่มีคนดีที่ไหนเขาทำแบบนี้กันหรอกนะ ” เช่าหวาเริ่มออกลาย หล่อนใช้วิธีการจี้จุดคุณธรรม เรื่องอะไรที่เธอจะยอมเสียเปรียบโดยการใช้เงินเก็บของตัวเองจ่ายค่าประกันตัวลูกชายล่ะ ? เธอต้องเอาเงินจากคนพวกนี้มาให้ได้

 

“พอได้แล้วเธอด่าพวกเราว่าเห็นคนกำลังจะตายแล้วไม่เข้าไปช่วยอย่างนั้นหรือ ? เป็นเพราะลูกชายของเธอนั่นแหละที่เกเร อารมณ์ร้อน อีกทั้งยังทำร้ายร่างกายผู้อื่น เธอจะพูดแบบนี้กับพวกเราก็ไม่ถูก เราได้ยื่นปืนให้ลูกชายของเธอเอาไปฆ่าใครรึไง ? ถ้าหลังจากนี้ลูกชายของเธอต้องการจะข่มขืนผู้หญิง เธอก็จะตามไปถอดกางเกงให้เขาอย่างนั้นหรือ ? เช่าหวา เธอไม่มีสิทธ์มาพูดแบบนี้กับพวกเรานะหน้าไม่อาย” ถึงแม้ว่าปากของหลิวกุ้ยเฟินจะไม่ได้จัดจ้านมากนัก แต่คำพูดของหล่อนก็สมเหตุสมผล และปัญหาที่เกิดขึ้นก็มาจากการที่พวกเขาต้องการจะมายืมเงินสามีของหล่อน แต่การที่สามีของหล่อนไม่ให้ยืมมันก็ถูกต้องแล้ว เมื่อหล่อนที่เป็นภรรยาได้ยินดังนั้นก็สบายใจ

 

เช่าหวาอยากจะตรงเข้าไปฉีกหน้าสองสามีภรรยาคู่นี้ซะจริง แต่เมื่อคิดได้ว่ายังต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันไปอีกนาน จึงได้แต่ระงับความโกรธภายในใจของตัวเองเอาไว้ จากนั้นหล่อนจึงหันไปมองทางจางฉุ้ยเหลียนที่ยืนเงียบอยู่ข้าง ๆ

 

เช่าหวาเดินเข้าไปจับมือของจางฉุ้ยเหลียนพร้อมกับร้องไห้ออกมาอย่างน่าสงสาร “ฉุ้ยเหลียนเรื่องนี้ถือซะว่าฉันขอร้องแกแล้วกันนะ ให้ฉันยืนเงินของแกก่อนได้ไหม พ่อบุญธรรมเขาให้เงินแกมาใช่ไหมล่ะ ? แกเอาเงินนั่นมาให้ฉัน แล้วแกก็ไปบอกพ่อบุญธรรมของแกว่าแกทำเงินหาย ยังไงเขาก็ต้องให้เงินแกอีกแน่”

 

จางฉุ้ยเหลียนสะบัดมือของเช่าหวาที่กุมมือของเธออยู่ออก พร้อมกับพูดออกไปด้วยความโกรธว่า “แม่ไม่เบื่อหรือที่ทำตัวแบบนี้ ? ทำไมพ่อบุญธรรมต้องให้เงินหนูล่ะ ? เงินที่เขาส่งมาให้หนู แม่ก็เอาไปบำเรอลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของแม่หมดแล้ว แล้วแม่มีสิทธิ์อะไรมาหวังอยากจะได้เงินจากเขาอีก ? ”

 

เช่าหวาไม่กล้าแสดงท่าทางโมโหต่อหน้าคนอื่น แต่ถึงอย่างไรหล่อนไม่สามารถระงับความโกธรของตัวเองได้ หล่อนจึงชี้หน้าด่าจางฉุ้ยเหลียนว่า “ยัยเด็กนิสัยไม่ดี ฉันหาข้าวให้แกกินหาน้ำให้แกดื่ม ถ้ารู้ว่าแกจะทำตัวเป็นสัตว์เดรัจฉานแบบนี้ รู้แบบนี้ฉันน่าจะบีบคอแกให้ตายไปตั้งนานแล้ว แกจะได้ไม่มาทำให้ฉันโกรธแบบนี้  ”

 

“หนูหรือลูกชายของแม่กันแน่ที่แม่สมควรโกธร ? ดูแล้วตอนนี้ แม่ยังไม่รู้ตัวเลยนะว่าลูกชายของแม่เป็นคนผิด แม่ให้ท้ายเขาในเรื่องที่ไม่ดี แล้วแม่ยังหวังว่าเขาจะมีอนาคตที่ดีได้อีกอย่างนั้นหรือ ? ”  คำพูดของจางฉุ้ยเหลียนราวกับมีดที่ทิ่มแทงลงมาบนใจของเช่าหวาและจางกว่างฝู นั่นจึงทำให้ผู้ชายที่ไม่เคยคับแค้นใจใครอย่างจางกว่างฝูถึงกับรุดหน้าขึ้นมา และเตรียมจะเข้าไปทำร้ายลูกสาวของตัวเองด้วยความโกรธแค้น

 

“พ่อตีสิตีเลย พ่อมีปัญญายกหนูให้คนอื่น แต่ไม่มีปัญญาเลี้ยงหนู  พ่อตีหนูเลยสิ” จางฉุ้ยเหลียนรู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก เธอจึงได้ยื่นหน้าออกไปท้าทายจางกว่างฝู

 

“ถ้าพ่อตีหนู หนูก็จะไปแจ้งตำรวจว่าจางฉุ้ยจวินขโมยเครื่องเล่นเกมของหนู โทษของการทำร้ายผู้อื่นเป็นยังไง โทษของการลักทรัพย์ก็เป็นอย่างนั้นแหละ พ่อกับแม่สอนเขาไม่ได้ งั้นก็ให้คนที่มีความสามารถสอนเขาแทนแล้วกัน ” คำพูดของจางฉุ้ยเหลียน ทำให้จางกว่างฝูที่กำลังโกรธ ยิ่งโกรธหนักขึ้นไปอีก

 

จางฉุ้ยเหลียนตะโกนออกไปด้วยความโกรธว่า “ก่อนหน้านี้แม่บอกว่าแม่จะซื้อเครื่องเล่นเกมให้จางฉุ้ยจวินไม่ใช่หรือ ? ถ้าแม่ซื้อเครื่องเล่นเกมให้เขาได้ ก็แสดงว่าแม่มีเงิน แต่ตอนนี้แม่กลับบอกว่าไม่มีเงินเนี่ยนะ ? แม่ก็เอาเงินที่ขายซาลาเปาได้ไปจ่ายค่าประกันตัวให้เขาสิ ทำไมแม่ถึงบอกว่าไม่มีเงินล่ะ ? ”

 

เมื่อคุณย่าของจางฉุ้ยเหลียนได้ยินความจริงจากปากของจางฉุ้ยเหลียน หล่อนจึงโมโหขึ้นมาทันทีทันใดและยกเท้าขึ้นมาเตะจางกว่างฝูอย่างแรง  “ที่แท้แกก็มีเงิน แกยังหน้าด้านมาหลอกเอาเงินจากพวกฉันอีกอย่างนั้นหรือ ? ”

 

จางกว่างโหยวโกธรมากถึงกับกัดฟันกรอด “แกเอาเงินไปเล่นไพ่โกวโป๊กเกอร์หรือว่าไพ่นกกระจอกล่ะ ? แกมันก็เหมือนดั่งคำสุภาษิตที่ว่า คานข้างบนไม่ตรง คานข้างล่างย่อมบิดเบี้ยวตาม แล้วอย่างนี้เสี่ยวจวินมันจะเป็นเด็กดีได้ยังไงกัน ? ”

 

เมื่อจางกว่างฝูถูกแม่และพี่ชายของเขารุมด่า สีหน้าที่โกรธเคืองก่อนหน้านี้ของเขาก็ได้มลายหายไปในทันที จากนั้นเขาก็หันไปมองภรรยาของตัวเอง ที่ตอนนี้ไม่ยอมปริปากพูดอะไรออกมาเลยแม้แต่น้อย หล่อนได้แต่นั่งคุกเข่าอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ คอตกราวกับว่าหล่อนไม่ได้อยู่ตรงนี้อย่างไรอย่างนั้น

 

เมื่อเช่าหวาเห็นท่างทางโกธรเคืองของจางฉุ้ยเหลียน หล่อนก็ถึงกับพูดอะไรไม่ออก จากนั้นหล่อนก็พูดซ้ำไปซ้ำมาว่า เรื่องทั้งหมดมันเป็นความผิดของจางฉุ้ยเหลียน ถ้าเธอไม่พูดเรื่องจางฉุ้นจวินออกมา ทุกคนก็คงไม่ต้องมาทะเลาะกันแบบนี้

 

เช่าหวาคิดในใจว่าด่าได้ก็ด่าไป ถึงยังไงลูกชายของหล่อนต้องไม่ติดคุกอย่างเด็ดขาด ภายใต้ความจนปัญญาทุกคนก็เริ่มปรึกษาหารือกันว่าจะรวบรวมเงินกันไปประกันตัวจางฉุ้นจวิน หรือว่าจะไปตกลงกับผู้ปกครองของเด็กคนนั้นว่าจะให้เงินเป็นการรับผิดชอบเล็ก ๆ น้อย ๆ ดี

 

จางฉุ้ยเหลียนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ จู่ ๆ เธอก็นึกเหตุการณ์เมื่อชาติที่แล้วขึ้นมาได้ เธอจึงพูดแนะนำออกไปว่า “พ่อกับแม่อย่าเพิ่งคาดเดาอะไรเลย เรื่องนี้เราไปถามหลี่หยวนเหอให้แน่ใจก่อนดีกว่า”

 

เมื่อได้ยินเสียงของจางฉุ้ยเหลียน เช่าหวาจึงแผดเสียงออกมาอย่างทนไม่ได้: “เฮงซวย แกไสหัวออกไปเลยไป เห็นหน้าแกแล้วมันน่าหงุดหงิดจริง ๆ ”

 

จางฉุ้ยเหลียนไม่สนใจคำพูดของเช่าหวาแต่อย่างใด เธอเดินไปหาคุณลุง ก่อนจะพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจังว่า “แค่เสี่ยวจวินคนเดียว เขาไม่น่าจะทำร้ายเด็กคนนั้นให้หมดสติได้แน่ หนูคิดว่าเรื่องนี้ต้องมันเป็นเรื่องใหญ่อย่างแน่นอน และหนูก็คิดว่าตอนที่เด็กคนนั้นฟื้นขึ้นมา เขาก็คงจำไม่ได้เหมือนกันว่าใครเป็นคนทำร้ายร่างกายของเขาบ้าง เขาคงจำเสี่ยวจวินได้แค่คนเดียว และเขาคงไม่ยอมความเรื่องนี้อย่างแน่นอน อีกทั้งเสี่ยวจวินเองก็จงรักภักดีกับเพื่อนของเขา เขาจึงปล่อยให้เรื่องนี้เป็นความรับผิดชอบของบ้านเราเพียงลำพัง ให้ครอบครัวของเรายืนหยัดอยู่ฝ่ายเดียว แล้วทำไมเราถึงต้องปล่อยให้ครอบครัวอื่นหลุดพ้นคดีไปได้ด้วยล่ะคะ ? ”

 

จางกว่างโหยวเข้าใจในสิ่งที่หลานสาวของเขาพูดได้ในทันที เมื่อเข้าใจตรงกันแล้วทุกคนก็ร่วมมือร่วมใจช่วยกันแก้ปัญหา ถ้าพ่อแม่ของเด็กคนอื่นไม่ยอมช่วยกันออกเงินค่าประกันตัวให้กับจางฉุ้ยจวิน ลูก ๆ ของพวกเขาก็ต้องติดคุกเช่นเดียวกัน

 

“แล้วถ้าพวกเขาไม่ยอมช่วยเราออกเงินค่าประกันตัวล่ะ ? ” หลิวกุ้ยเฟินถามออกมาอย่างช่วยไม่ได้

 

“พวกเขาไม่ยอมช่วยเราออกเงินค่าประกันตัวจางฉุ้ยจวินก็คงไม่ได้ เพราะตอนนี้ฝ่ายผู้เคราะห์ร้ายก็ได้แจ้งความไปแล้ว และตอนนี้เขาก็ฟื้นแล้ว ถ้าเราเป็นฝ่ายไปบอกเขาว่ามีใครทำร้ายร่างกายของเขาบ้าง มันจะเป็นอย่างไรล่ะ ? พอถึงตอนนั้นลูก ๆ ของพวกเขาก็ต้องโดนตำรวจดำเนินคดีด้วยอย่างแน่นอน การจางฉุ้ยจวินต้องเป็นแพะรับบาปคนเดียวมันเป็นเพราะอะไรล่ะ ? ถ้าไม่ใช่เพราะความจงรักภักดีของเขาที่มีต่อเพื่อนของตัวเอง เขาก็คงจะบอกตำรวจไปแล้วล่ะว่ามีใครที่ร่วมกันทำร้ายร่างกายเด็กคนนั้นกับเขาบ้าง” คำพูดของจางฉุ้ยเหลียนทำให้จางกว่างโหยวถอนหายใจออกมา

 

เขารีบลากจางกว่างฝูให้ไปคุยกับพ่อแม่ของหลี่หยวนเหอทันที แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนต้องตกตะลึงก็คือ จางกว่างฝูนั้นส่ายหน้าไม่ยอมไปท่าเดียว

 

“ไม่เอาหรอกทุกคนก็รู้จักกันมาตั้งหลายปี ถ้าไปพูดเรื่องนี้กับพวกเขาล่ะก็ เราก็คงไปมาหาสู่กันไม่ได้อีกแล้ว ฉันทำไม่ได้หรอกนะ ! ” คำพูดของจางกว่างฝูทำให้จางกว่างโหยวนั้นโกรธจนต้องกำหมัดชกไปบนไหล่ของเขาหนึ่งที

 

“แกพูดอะไรของแก ? แกไม่มีเงินค่าประกันตัวลูกชายของแกไม่ใช่หรือ ? เพื่อรักษาหน้าตา แล้วลูกชายของแกล่ะจะทำยังไง ? แล้วอีกอย่างตระกูลหลี่จะทำอะไรแกได้ แกจะกลัวอะไร ! ”

 

จางกว่างฝูยังคงส่ายหน้า แล้วชี้ไปทางเช่าหวา “เธอไปสิ เธอเป็นแม่ เธอนั่นแหละไป ! ”

 

ในช่วงเวลาที่สำคัญแบบนี้ แต่จางกว่างฝูกลับแสดงท่าทางขี้ขลาดออกมา อย่าว่าแต่เช่าหวาเลยที่ผิดหวัง แม้แต่หลิวกุ้ยเฟินที่ยืนกอดอกมองดูสถานการณ์อย่างสนุกสนามอยู่ข้าง ๆ ก็ทนไม่ได้ที่จะพูดออกไปอย่างเหยียดหยามว่า “หล่อนเป็นแม่ก็จริง แล้วแกล่ะไม่ใช่พ่อของเสี่ยวจวินรึไง ?  ทำไมถึงได้ทำตัวขี้ขลาดแบบนี้ ?  มีอะไรที่ต้องกลัวกัน ? ”

 

แม้แต่ปู่ของจางฉุ้ยเหลียนยังทนดูความขี้ขลาดของลูกชายตัวเองไม่ได้เช่นกัน เขาลงจากเตียงไปใส่รองเท้าแล้วพูดออกไปว่า “เอาล่ะ เอาล่ะ ฉันไปเอง  พ่อผู้ให้กำเนิดมันขี้ขลาดตาขาวแบบนี้  หลังจากนี้ก็อย่ามาพูดอีกนะว่าพี่ชายของแกมีอะไรดีกว่าแก แกเห็นความไร้สมรรถภาพของแกรึยัง หากคิดว่าการที่แกทำแบบนี้แล้วมันดี แกก็ทำต่อไปเถอะ ”

 

จางกว่างฝูไม่พอใจ เขาพูดโต้งแย้งกลับมาว่า “ถึงยังไงฉันก็ต้องไปอยู่ดี พอฉันไปแล้วพูดไม่รู้เรื่อง พวกเธอก็มาด่าฉันอีก ! ”

 

จางฉุ้ยเหลียนขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้นมาว่า “พ่อจะไปหรือไม่ไป พ่อก็ตัดสินใจเองแล้วกันนะ แต่เรามีแม่กับลุงที่ฝีปากจัดจ้านขนาดนี้ พ่อจะกลัวอะไร ยิ่งคนเยอะ ก็ยิ่งมีโอกาสชนะสูง

 

สุดท้ายจางกว่างฝู จางกว่างโหยว และภรรยาของพวกเขาทั้งสองคน รวมทั้งจางฉุ้ยหลิน และคุณปู่ของจางฉุ้ยเหลียน ก็พากันไปที่บ้านของหลี่เหยียนเหอ ก่อนที่เช่าหวาจะเดินออกไป จางฉุ้ยเหลียนก็ดึงเสื้อของหล่อนเอาไว้ จากนั้นเธอก็พูดขึ้นมาเบา ๆ ว่า “แม่ ! ปกติแม่ก็ปากเก่งจะตาย ครั้งนี้ห้ามเสียเปรียบกลับมาเด็ดขาดนะ ทางที่ดีเราควรตัดขาดกับครอบครัวของหลี่หยวนเหอไปเลยยิ่งดี เพื่อเป็นการตัดไฟตั้งแต่ต้นลม ไม่ให้หลี่หยวนเหอชักจูงเสี่ยวจวินไปในทางที่ผิดอีก เพราะหลังจากนี้ต่อไปมันก็อาจจะไม่ใช่แค่เงิน 100 หยวน 1,000 หยวน 10,000 หยวนอีกแล้ว แต่มันคืออนาคตของจางฉุ้ยจวินเลยนะ แม่เข้าใจที่หนูพูดไหม

 

เช่าหวาถลึงตาใส่ : “พอแล้ว แกก็พูดซะเกินจริง

 

จางฉุ้ยเหลียนทนกับดวงตาที่มืดบอดของเช่าหวาไม่ได้อีกต่อไป เธอจึงพูดออกไปว่า “แม่ยังดูไม่ออกอีกอย่างนั้นหรือ ! หลี่หยวนเหอต้องอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้แน่นอน ตอนนี้เขาก็คงจะไม่อยู่บ้านหรอก เพราะเขาต้องไปหลบซ่อนตัวที่ไหนสักแห่งเพื่อหนีความผิด และการที่เขาเข้ามาหลอกตีสนิทกับเสี่ยวจวิน ก็เพื่อหวังเงินจากเสี่ยวจวิน ถ้าแม่ไม่เชื่อแม่ไปถามเสี่ยวจวินดูก็ได้ เงินที่แม่ให้เสี่ยวจวินเอาไว้ใช้น่ะ เขาเอาไปให้หลี่หยวนเหอยืมใช่รึเปล่า แล้วตอนนี้หลี่หยวนเหอคืนเงินลูกชายแม่รึยัง ? ”

 

เมื่อเช่าหวาเห็นทุกคนเดินออกไปไกลแล้ว หล่อนจึงหันไปถามจางฉุ้ยเหลียนด้วยความสงสัยว่า “ที่แกพูดมามันคือเรื่องจริงหรือ ? ”

 

“ไอ้หยา แม่ ! แม่เองก็รู้จักนิสัยของเสี่ยวจวินดี ! เสี่ยวจวินไม่มีทางขโมยเงินของหนูไปซื้อเครื่องเล่นเกมหรอก ถ้าไม่มีคนไปเป่าหูเขา และหนูคิดว่าคนที่เป่าหูเขาต้องเป็นหลี่หยวนเหอแน่ แม่ก็รู้ไม่ใช่หรือว่าหลี่หยวนเหอเป็นเด็กไม่ดี แม่ก็เห็นว่าแม่ของเขาเอาแต่ด่าเขาทุกวัน ถ้าหากหลี่หยวนเหอแต่งงานไป แม่ยายของเขาก็คงด่าเขาเหมือนแม่ของเขานั่นแหละ แล้วแม่ยังจะให้เสี่ยวจวินคบกับเขาอยู่อีกอย่างนั้นหรือ ? ”

 

จางฉุ้นเหลียนขมวดคิ้ว พร้อมกับเดินไปข้างหน้า “จะเชื่อหรือไม่เชื่อ แม่ก็ตัดสินใจเองแล้วกันนะ แต่ตอนนี้เราต้องทำให้พ่อกับแม่ของหลี่หยวนเหอช่วยเราจ่ายค่าประกันตัวของจางฉุ้นจวินให้ได้ ตระกูลของเรามีแม่กับลุงที่ฝีปากจัดจ้านแบบนี้ ยังไงเราก็ชนะ ! ”

 

เมื่อจางฉุ้ยเหลียนพูดจบ เธอก็รีบเดินตามกลุ่มคนที่เดินนำหน้าไปทันที ท่าทางงานนี้จะต้องมีเรื่องสนุก ๆ แน่นอน

 

จางฉุ้ยเหลียนไม่ได้เป็นห่วงเลยว่าเช่าหวาจะเถียงกับคนพวกนั้นชนะรึเปล่า เพราะฝีปากที่จัดจ้านของหล่อนไม่เป็นสองรองใครอยู่แล้ว อีกทั้งสถานการณ์ในบ้านของหลี่หยวนเหอที่เธอพูดกับแม่ของเธอว่าตระกูลหลี่นั้นก็ไม่ได้เป็นคนดี มันก็เป็นเรื่องจริง เพราะคุณย่าของหลี่หยวนเหอก็ถูกลูกชายของตัวเองไล่ให้ไปอยู่ที่ในโรงเก็บของเล็ก ๆ หลังบ้าน ส่วนลูกชายก็เข้ามาอยู่ในบ้านที่มุงด้วยหลังคากระเบื้องสีสันสดใส อาศัยอยู่กับลูกชายและภรรยาของตัวเอง และเอาตัวรอดไปวัน ๆ เพียงเท่านั้น ช่างเป็นชีวิตที่น่าเวทนาเสียจริง

 

จางฉุ้ยเหลียนปลีกตัวกลับมาที่บ้านของตัวเองก่อน เธอลงมือเก็บเสื้อผ้าสองสามชุดและรองเท้าสองสามคู่ใส่กระเป๋าสะพาย จากนั้นจึงนำชุดเครื่องนอนออกไปซัก

 

ในช่วงนี้อากาศข้างนอกนั้นค่อนข้างร้อน เพียงแค่เดินออกไปข้างนอกไม่ถึง 20 นาทีก็เหงื่อออกมาเป็นกะละมังแล้ว ชุดเครื่องนอนที่จางฉุ้นเหลียนเอาออกไปตากไว้ข้างนอกจึงแห้งอย่างรวดเร็ว เมื่อเธอเก็บของทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ชุดเครื่องนอนที่เธอตากเอาไว้ก็แห้งพอดี เธอจึงเดินออกไปเก็บมันเข้ามา

 

ชุดเครื่องนอนเหล่านี้เป็นสิ่งที่เธอต้องนำติดตัวไปวิทยาลัยด้วย เธอนำมันมาซักทำความสะอาดเพื่อเป็นการสร้างความประทับใจแรกให้กับเพื่อนร่วมห้องของเธอ

 

ตกเย็น เมื่อไม่มีทีท่าว่าเช่าหวาและจางกว่างฝูรวมทั้งคนอื่น ๆ จะกลับมา จางฉุ้ยเหลียนจึงรีบวิ่งไปที่บ้านของคุณลุง เพื่อทำกับข้าวรอให้พวกเขากลับมากิน

 

จนกระทั่งเวลา 22.00 น. ทุกคนต่างก็พากันเดินกลับมาที่บ้านด้วยสีหน้าพึงพอใจ !

 

รีวิวผู้อ่าน