px

เรื่อง : เกิดใหม่ทั้งทีขอลิขิตรักเอง (นิยายแปล) **จบแล้ว**
ตอนที่ 37 สมุดบัญชี


ตอนที่ 37   สมุดบัญชี

 

“เด็กคนนี้นี่ ! ” เมื่อตงลี่หวาเห็นว่าตงลี่เจวียนและสามีออกไปแล้ว หล่อนก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกในทันที จากนั้นจึงใช้มือตบไปบนหลังของจางฉุ้ยเหลียนเบา ๆ

 

เซี่ยจวินเองก็คลี่ยิ้มออกมาพร้อมกับส่ายหน้า เขาดึงตัวจางฉุ้ยเหลียนให้ลุกขึ้น จากนั้นจึงหรี่ตาลงก่อนจะพูดออกไปอย่างยิ้ม ๆ ว่า “ก่อนหน้านี้พ่อยังพูดกับแม่อยู่เลย ว่าวันปีใหม่นี้เราจะไปรับลูกให้มาฉลองปีใหม่ด้วยกัน !”

 

จางฉุ้ยเหลียนชี้นิ้วไปทางประตูหน้าบ้าน จากนั้นจึงพูดขึ้นมาว่า “พ่อคะ หนูซื้อของมาฝากพ่อกับแม่ ก่อนหน้านี้ที่หนูจะเดินเข้ามา หนูก็เอามันวางไว้ที่หน้าประตูบ้าน พ่อไปช่วยหนูขนเข้ามาในบ้านหน่อยนะคะ !”

 

เมื่อจางฉุ้ยเหลียนพูดจบ เธอและเซี่ยจวินก็พากันเดินไปที่ประตูหน้าบ้านในทันที เมื่อเดินออกมาถึงประตูหน้าบ้านแล้ว จางฉุ้ยเหลียนก็พบว่าของที่เธอนำมารวมทั้งกระเป๋าสะพายของเธอนั้นมีแต่รอยเท้าเต็มไปหมด ไม่ต้องเดาจางฉุ้ยเหลียนก็รู้ได้ในทันทีว่ารอยเท้าพวกนี้มันเป็นของใคร

 

เซี่ยจวินเดินถือถุงกระดาษสีขาวเข้ามาในบ้าน ส่วนจางฉุ้ยเหลียนก็สะพานกระเป๋าของเธอเดินเข้ามา ก่อนที่เธอจะเดินเข้ามาในบ้าน เธอก็หันหลังกลับไปล็อคประตูบ้านให้เรียบร้อยก่อนที่จะเดินเข้ามา เมื่อเห็นสองพ่อลูกพากันขนของเดินเข้ามาในบ้าน ตงลี่หวาก็ยิ้มพร้อมกับพูดออกไปว่า “ทำไมต้องขนอะไรมาเยอะแยะขนาดนี้ด้วยล่ะลูก แล้วลูกกลับมาที่บ้านได้ยังไงล่ะ วิทยาลัยปิดเทอมแล้วอย่างนั้นหรือ ? ”

 

เมื่อได้ยินดังนั้น จางฉุ้ยเหลียนจึงตอบตงลี่หวากลับไปว่า “ช่วงนี้วิทยาลัยของหนูปิดเทอมค่ะ สองสามวันก่อนหน้านี้หนูก็กลับไปที่บ้านตระกูลจาง เพราะหนูตั้งใจว่าหนูจะออกไปขายซาลาเปากับพ่อแม่ของหนู แต่พวกเขากลับไม่ยอมไป และหนูไม่คิดเลยว่าพวกเขาจะขี้เกียจสันหลังยาวมากขนาดนี้ !”

 

เธอเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้ให้เซี่ยจวินและตงลี่หวาฟัง เมื่อได้ฟังพวกเขาทั้งสองก็หมดคำพูดขึ้นมาในทันที พวกเขาก็ไม่คิดเช่นกันว่าสองสามีภรรยาตระกูลจางจะขี้เกียจสันหลังยาวมากขนาดนี้ อีกทั้งตอนนี้ก็เริ่มเข้าสู่ยุคปฏิรูปเศรษฐกิจอย่างเป็นทางการแล้ว ทุกคนจะมามัวขี้เกียจแบบนี้ไม่ได้ เพราะตอนนี้ก็มีหลายคนที่เดินทางไปทำธุรกิจที่แนวชายฝั่งหรือไม่ก็ทางตอนใต้กันเป็นจำนวนมากแล้ว

 

เซี่ยจวินมักจะได้ยินพวกคนขับรถที่ขับรถไปทางตอนใต้พูดเกี่ยวกับเรื่องการปฏิรูปเศรษฐกิจกันอยู่บ่อย ๆ และตัวเขาเองก็ได้ฟังข่าวเกี่ยวกับการปฏิรูปเศรษฐกิจทางวิทยุด้วยเช่นกัน แต่เขาเองก็ไม่ค่อยจะเข้าใจหลักการเกี่ยวกับการปฏิรูปนี้สักเท่าไหร่นัก แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่เขาเห็นด้วยกับการปฏิรูปเศรษฐกิจนี้ก็คือ ตราบใดที่คุณทำงานหนัก คุณก็จะไม่มีคำว่าอดตาย

 

“คุณป้ามายืมเงินพ่อกับแม่หรือคะ ? ” จางฉุ้ยเหลียนเห็นว่าเซี่ยจวินและตงลี่หวาไม่อยากจะพูดถึงพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของเธอ เธอจึงเปลี่ยนหัวข้อการสนทนาในทันที

 

“ใช่ ! หล่อนบอกว่าจะเอาเงินไปลุงทุนให้ไห่เซิงลูกชายของหล่อนปลูกแตงโมน่ะ !” จากนั้นตงลี่หวาก็ยังพูดต่ออีกว่า “ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมานี้ ไห่เซิงไม่เคยปลูกอะไรเลยสักอย่าง แม้แต่ผักหรือหญ้าในบ้านเขาก็ไม่เคยถอนเลยด้วยซ้ำ แม่กับพ่อก็เลยรู้สึกว่าเขาไม่น่าจะทำการเกษตรได้ เลยพยายามจะอธิบายให้ป้าเขาฟัง แต่ป้าเขาก็ไม่ยอมฟังเลย !”

 

จางฉุ้ยเหลียนกลอกตาไปมา เธออดไม่ได้ที่จะด่าออกไปว่า “พอยืมเงินไม่ได้ก็มาด่าคนอื่นเสีย ๆ หาย ๆ แบบนี้หรือคะ ทั้ง ๆ ที่หล่อนก็เป็นพี่สาวของแม่ หน้าไม่อายเลยจริง ๆ !” เมื่อพูดจบ จางฉุ้ยเหลียนก็พูดต่อไปอีกว่า “แล้วพวกเขาก็มากล่าวหาหนูว่าหนูจะมาปอกลอกเอาเงินจากพ่อกับแม่อีก โชคดีจริง ๆ ที่ครั้งนี้ เราทำให้พวกเขาไม่พอใจได้ !”

 

เมื่อได้ยินคำพูดของจางฉุ้ยเหลียน ตงลี่หวาจึงพูดปลอบใจเธอไปว่า “ช่างเถอะ!ถึงอย่างไรตอนนี้พ่อกับแม่ของแม่ก็เสียไปแล้ว เราก็คงจะไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวอะไรกันอีก อีกอย่างพวกเขาก็ไม่เคยมาเยี่ยมพวกเราเลยสักครั้ง ต่อจากนี้ไปแม่ก็จะไม่สนใจใยดีอะไรพวกเขาอีกแล้ว ! ” ถึงแม้ว่าตงลี่หวาจะพูดออกมาแบบนั้น แต่จางฉุ้ยเหลียนก็ดูออกว่าหล่อนนั้นเสียใจมากแค่ไหน

 

“ไอ้หยา หยุดพูดเรื่องนี้กันได้แล้ว! ถึงอย่างไรตอนนี้ลูกสาวของเราก็กลับมาที่บ้านแล้ว คุณรีบไปทำอาหารมาให้ลูกกินเถอะ !” เมื่อได้ยินบทสนทนาของลูกสาวและภรรยาของตัวเอง เซี่ยจวินที่กำลังสูบบุหรี่อยู่นั้นก็ขมวดคิ้วและพูดเตือนภรรยาของตัวเองออกไป เมื่อได้ยินคำพูดของสามี ตงลี่หวาก็สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ จากนั้นก็ฝืนยิ้มออกมาและพูดกับจางฉุ้ยเหลียนออกไปว่า “ก็จริงอย่างที่คุณพูด ฉันไปทำอาหารมาให้ลูกกินดีกว่า ฉุ้ยเหลียนนั่งรอก่อนนะลูก เดี๋ยวแม่จะไปทำอาหารมาให้ลูกกินเอง !”

 

“แม่คะ อย่าเลยค่ะ ! นี่ก็ยังไม่ถึงเวลามากินข้าวด้วย แล้วหนูก็ยังไม่หิวเลยค่ะ ! ” ในขณะที่จางฉุ้ยเหลียนพูดอยู่นั้น เธอก็ทำการเปิดถุงกระดาษสีขาวที่เธอนำมาเหล่านั้นไปด้วย จากนั้นเธอจึงหยิบของในถุงออกมาทีละชิ้น ๆ

 

“นี่เป็นเสื้อกับกางเกงที่เอาไว้ใส่ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงนี้ หนูซื้อมาให้แม่ค่ะ ชุดสีแดงนี่เอาไว้ใส่ฉลองปีใหม่นะคะ ส่วนชุดสีดำหนูซื้อมาให้พ่อค่ะ แต่หนูก็ไม่รู้เหมือนกันว่าขนาดมันจะพอดีกับพ่อรึเปล่านะคะ! ” จางฉุ้ยเหลียนหยิบกล่องกระดาษที่ดูสวยงามมีราคาออกมาสองกล่อง ซึ่งข้างในกล่องก็มีเสื้อและกางเกงสำหรับใส่ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงอยู่ในนั้น

 

เซี่ยจวินไม่ได้พูดอะไรออกมา ส่วนตงลี่หวาเองก็รู้สึกเจ็บปวดใจไม่น้อย หล่อนจึงพูดออกไปว่า “ไอ้หยา เด็กคนนี้นี่ เสื้อผ้าพวกนี้ราคาแพงจะตาย !ลูกจะซื้อมาให้พ่อกับแม่ทำไม ทำไมไม่เก็บเงินไว้”

 

เมื่อได้ยินคำพูดของภรรยา เซี่ยจวินจึงพูดตำหนิออกไปด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่า “ลูกซื้อมาให้ ก็ถือว่าเป็นน้ำใจ และช่วงนี้ก็ปีใหม่พอดี มีเสื้อผ้าใส่ต้อนรับปีใหม่ไม่ดีรึไง !”

 

จางฉุ้ยเหลียนยิ้มออกมาจากนั้นก็หยิบเอาถั่วเขียว ถั่วดำ ถั่วเหลือง ผักกวางตุ้ง และเนื้อวัวออกมาจากถุง นอกจากนั้นแล้ว ในกระเป๋าสะพายของเธอก็ยังมีอาหารกระป๋องอีกสองสามกระป๋อง รวมทั้งปลาซาร์ดีนกระป๋องอีก 2 กล่องด้วย

 

ยิ่งเธอหยิบของที่เธอขนมาออกมามากเท่าไหร่ สีหน้าของสองสามีภรรยาตระกูลเซี่ยก็ยิ่งเคร่งขรึมมากขึ้นเรื่อย ๆ

 

จางฉุ้ยเหลียนรู้ว่าพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่ ปกติแล้วพวกเขาทั้งสองสามีภรรยามักจะใช้จ่ายเงินอย่างมัธยัสถ์เสมอ ไม่มีทางที่พวกเขาจะเอาเงินมาซื้อของมากมายเหล่านี้อย่างแน่นอน อย่างที่จางฉุ้ยเหลียนเคยพูดไปก่อนหน้านี้ว่า สองสามีภรรยาตระกูลเซี่ยนั้น ไม่ได้เสียเงินซื้อของอะไรเลย เพราะที่บ้านของพวกเขาก็มีทุกอย่างแล้ว และค่าใช้จ่ายเพียงอย่างเดียวของพวกเขาก็คือ การส่งจางฉุ้ยเหลียนเรียนหนังสือ

 

“พ่อกับแม่ไม่ต้องร้อนใจไปหรอกค่ะ ฟังที่หนูอธิบายก่อนนะคะ !” เมื่อเห็นสีหน้าร้อนใจและกำลังจะโกรธของเซี่ยจวิน จางฉุ้ยเหลียนก็รีบพูดอธิบายให้เซี่ยจวินและตงลี่หวาฟังทันที เธอเล่าให้พวกเขาฟังว่าเธอไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินแต่อย่างใด เพราะตอนนี้นิยายของเธอได้ตอบรับการตีพิมพ์ลงหนังสือพิมพ์ประจำมณฑลแล้ว เธอจึงได้เงินค่าต้นฉบับมาเป็นจำนวนมาก

 

“ไอ้หยา ลูกแค่ตั้งใจเรียนหนังสือก็พอแล้ว บ้านเราก็มีเงิน ลูกจะไปทำงานให้มันกระทบกับการเรียนทำไม ? ” ตงลี่หวาพูดขึ้นด้วยความร้อนใจ หล่อนไม่ได้ดีใจกับเงินค่าต้นฉบับที่จางฉุ้ยเหลียนได้รับมาแต่อย่างใด

 

“ไม่กระทบกับการเรียนหรอกคะ หนูก็บอกไปแล้วนี่คะว่า ตอนที่หนูทำงานในโรงอาหารมันก็เป็นช่วงพักเที่ยงพอดี ช่วงพักเที่ยงพวกนักศึกษาต่างก็พักผ่อนกันทั้งนั้น อีกอย่างก็ไม่มีการเรียนการสอนด้วย และที่สำคัญอาหารทั้งสามมื้อ หนูก็ไม่ต้องจ่ายเงินเลยด้วย ส่วนเรื่องเขียนต้นฉบับ หนูก็ใช้เวลาในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ในการเขียน แล้วท่านอธิการบดีก็ยังคอยช่วยชี้แนะให้คำปรึกษากับหนูอีกต่างหากค่ะ !” เมื่อพูดจบจางฉุ้ยเหลียนก็ยืนขึ้น จากนั้นเธอก็เดินไปหยิบซองสีน้ำตาลออกมาจากกระเป๋าสะพายของเธอที่วางอยู่บนเตียง ซึ่งในถุงกระดาษสีน้ำตาลนั้นก็มีสมุดบัญชีของเธออยู่ข้างใน

 

เธอยื่นสมุดบัญชีเล่นนั้นไปให้กับเซี่ยจวิน “นี่เป็นเงินค่าต้นฉบับในช่วงสามเดือนที่ผ่านมาของหนู พ่อกับแม่วางใจได้เลยนะคะ หนูไม่มีทางใช้จ่ายเงินสรุ่ยสุร่ายอย่างแน่นอน และจะไม่ให้การทำงานที่โรงอาหารและการเขียนต้นฉบับมันมากระทบการเรียนของหนูอย่างแน่นอนค่ะ”

 

เมื่อเซี่ยจวินเห็นตัวเลขในสมุดบัญชีของจางฉุ้ยเหลียน เขาก็พยักหน้าเล็กน้อย ส่วนตงลี่หวาที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็ถึงกับพูดอะไรไม่ออกเลยทีเดียว หล่อนทำเพียงแค่ยกมือขึ้นมาปิดปากด้วยความตกใจเพียงเท่านั้น “นี่แค่ 3 เดือนเองนะ ลูกหาเงินได้มากขนาดนี้เลยอย่างนั้นหรือ ? ”

 

เมื่อได้ยินคำพูดของภรรยา เซี่ยจวินจึงกลอกตาไปมา และพูดออกไปว่า “ก็แน่นอนสิ ใช้แรงกายมันจะไปสู้ใช้สมองได้อย่างไร ? พวกเราใช้แรงกายในการทำงาน ส่วนฉุ้ยเหลียนใช้สมองในการทำงาน ข่าวก็ออกอากาศทุกวัน เธอก็ได้ยินไม่ใช่หรือ ? ”

 

ตงลี่หวาก้มหน้าลงด้วยความรู้สึกเสียใจ “ใช่สิ ฉันมันเป็นคนไม่มีความรู้ ขอเพียงแค่ลูกสาวของฉันมีความรู้ก็พอแล้วล่ะ !”

 

“พ่อคะ แม่คะ !หนูรู้ว่าพ่อกับแม่ขยันหมั่นเพียรและมัธยัสถ์มากแค่ไหน หนูเองก็ไม่ใช่คนที่จะใช้จ่ายเงินสรุ่ยสุร่าย ของพวกนี้เป็นของที่หนูใช้เงินของตัวเองซื้อมา และมันก็เป็นความตั้งใจของหนู พ่อกับแม่อย่าโกรธหนูเลยนะคะ หนูขอให้พ่อกับแม่ใส่ชุดที่หนูตั้งใจซื้อมาให้ก็พอแล้วล่ะค่ะ !” จางฉุ้ยเหลียนพูดขึ้น ของพวกนี้ล้วนแต่เป็นของจำเป็นที่สามารถใช้ในชีวิตประจำวันได้

 

ของที่แพงขึ้นมาหน่อยก็เป็นพวกเสื้อผ้า อาหารกระป๋อง และเนื้อวัว 1 ชิ้น ส่วนพวกผัก ถั่ว เครื่องปรุง แล้วก็น้ำมันหอยต่างก็เป็นของใช้ที่จำเป็นในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว

 

เมื่อสักครู่นี้ที่ทั้งสองสามีภรรยาแสดงสีหน้าไม่ค่อยดีออกมา ก็เป็นเพราะว่าระหว่างที่จางฉุ้ยเหลียนหยิบของออกมาจากถุง พวกเขาก็คิดคำนวนราคาของพวกนั้นด้วย เมื่อพวกเขาเห็นว่าจางฉุ้ยเหลียนจ่ายเงินซื้อของพวกนั้นมามากขนาดไหน มันจึงทำให้พวกเขาเกิดความรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา

 

ในตอนนี้ที่พวกเขาเห็นตัวเลขบนสมุดบัญชีของจางฉุ้ยเหลียน พวกเขาจึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

 

“ต่อจากนี้ไป ถ้าลูกมาหาพ่อกับแม่ ลูกก็ไม่ต้องซื้ออะไรมาอีกแล้วนะ ! ครั้งนี้พ่อจะไม่ว่าอะไรลูก  แต่ครั้งต่อไปอย่าซื้ออะไรมาอีก  เข้าใจไหม !” เซี่ยจวินทำสีหน้าจริงจังออกมา

 

จางฉุ้ยเหลียนรู้ว่าที่เซี่ยจวินพูดแบบนี้ เพราะเขายอมรับของที่เธอซื้อมาแล้ว เธอจึงยิ้มร่าออกมาและพูดว่า “อื้อ เข้าใจแล้วค่ะ !” ถึงจะเข้าใจยังไง ครั้งต่อไปเธอก็จะซื้อมาอีกอยู่ดี !

 

จางฉุ้ยเหลียนเดินไปหยิบหนังสือพิมพ์ที่มีบทความที่เธอเขียนมาให้เซี่ยจวินอ่าน ส่วนเธอและตงลี่หวาก็พากันลุกขึ้นไปเก็บของ

 

เซี่ยจวินกระตูกยิ้มมุมปากจากนั้นจึงนอนเอนกายไปบนเตียง เขาอ่านบทความของฉุ้ยเหลียนไปพลางและเงี่ยหูฟังเสียงพูดคุยของสองแม่ลูกที่อยู่ในครัวไปพลาง

 

“ถึงแม้ว่าครั้งนี้บทความของลูกได้รับการตีพิมพ์ลงหนังสือพิมพ์ แต่ครั้งหน้าบทความของลูกก็อาจจะไม่ได้รับการตีพิมพ์แล้วก็ได้นะ !”  ตงลี่หวาเก็บของไปพลาง และพูดด้วยความรู้สึกกังวลไปพลาง

 

“ถึงมันจะได้เงินดี แต่ก็อยู่ได้ไม่นาน ลูกหันไปใส่ใจการเรียนดีกว่าไหม หลังจากเรียนจบแล้ว อนาคตของลูกก็จะสดใสไง !”  จางฉุ้ยเหลียนยิ้มตาหยีพร้อมกับฟังตงลี่หวาบ่น แต่เธอก็รู้ว่าที่หล่อนบ่นก็เป็นเพราะหล่อนกังวลเรื่องของเธอ

 

“ทำไมลูกต้องทำงานด้วยล่ะ มันเหนื่อยมากนะลูก อีกอย่างลูกก็อาจจะถูกคนในวิทยาลัยดูถูกเอาก็ได้ เปิดเทอมนี้ลูกก็ไม่ต้องทำงานแล้วนะ ที่บ้านเราก็มีเงิน แม่จะให้เงินลูกเยอะขึ้น ลูกไม่ต้องประหยัดค่ากินค่าใช้หรอก ลูกมีเงินซื้อเสื้อผ้าให้พ่อกับแม่ได้ตั้ง 2 ชุด แต่ดูลูกสิยังใส่เสื้อผ้าเก่า ๆ อยู่เลย จะซื้อเสื้อผ้ามาให้พ่อกับแม่ทำไมกัน !” ตงลี่หวามองไปทางลูกสาวด้วยความรู้สึกเจ็บปวดใจ จางฉุ้ยเหลียนปฏิบัติตัวดีมาตลอด หล่อนไม่มีทางเชื่อคำกล่าวหาของคนอื่นแน่นอนที่ว่าจางฉุ้ยเหลียนจะอกตัญญูกับหล่อนและสามี

 

ลูกที่หล่อนเลี้ยงมาเองกับมือ ทำไมหล่อนจะไม่รู้นิสัยของลูกตัวเองล่ะ ? ถึงคนอื่นจะไม่เข้าใจ ยังไงหล่อนก็ไม่สนใจ

 

“แม่คะ หนูไม่อยากได้เงินของพ่อกับแม่หรอกค่ะ หนูทำงานหาเงินเองได้ หนูใช้แรงกายของตัวเองแลกมา ใครไม่ชอบหรือใครจะมาดูถูกก็ปล่อยเขาไปเถอะค่ะ คนที่ชอบดูถูกคนอื่น หนูไม่สนใจหรอกค่ะ !” จางฉุ้ยเหลียนที่กำลังนั่งปอกมันฝรั่งอยู่บนพื้นหรี่ตาพร้อมกับพูดออกมา

 

“ในวิทยาลัยมีเพื่อนที่คบได้บ้างรึเปล่า ? ” ตงลี่หวาไม่รู้จะพูดอะไร ถึงหล่อนจะเจ็บปวดใจที่จางฉุ้ยเหลียนต้องทำงาน แต่หล่อนก็ยังมีรู้สึกภาคภูมิใจอยู่ไม่น้อย

 

จางฉุ้ยเหลียนพยักหน้า จากนั้นก็คลี่ยิ้มและเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในรั้ววิทยาลัยให้กับตงลี่หวาฟัง จากนั้นก็เล่าเรื่องของกู้จื้อเฉิงออกมานิด ๆ หน่อย ๆ “หนูเดินหลงอยู่ในโรงพยาบาลจนไปชนเข้ากับหญิงสูงวัยคนหนึ่งค่ะ และหนูก็กล่าวขอโทษหล่อนไป จากนั้นหนูก็เดินไปส่งหล่อนที่ห้องพักผู้ป่วย ไป ๆ มา ๆ เราสองคนก็สนิทกัน ทางครอบครัวของหล่อนก็ดีกับหนูมากด้วย ! ”

 

ตงลี่หวานั้นเป็นหญิงสาวที่ยึดถือปฏิบัติตามประเพณีมากคนหนึ่ง เมื่อได้ยินลูกสาวพูดแบบนั้นหล่อนก็อดที่จะห่วงขึ้นมาไม่ได้

 

“ครอบครัวของหล่อนยอมให้ลูกไปมาหาสู่กันได้ นั่นก็ถือว่าเป็นโชคชะตา แต่ก็อย่าให้มันเกินงามมากนัก เพราะมันจะดูเหมือนว่าลูกหวังที่จะไปประจบพวกเขา แล้วอีกอย่าง ลูกก็บอกเองว่าพวกเขามีลูกชาย การที่ลูกจะไปหาพวกเขาบ่อย ๆ มันก็ดูไม่ดีเท่าไหร่นัก หลังจากนี้ต่อไปลูกก็ไม่ต้องไปหาพวกเขาแล้วนะ !”

 

เมื่อจางฉุ้ยเหลียนได้ยิน เธอก็คลี่ยิ้มออกมาแล้วพูดว่า : “แม่คะ ! ลูกชายของหล่อนกลับเข้ากรมทหารไปแล้วล่ะค่ะ เขาไม่ได้อยู่ที่บ้านแล้ว อีกอย่างหนูก็แค่อยากจะไปถามข้อมูลจากเขาเอามาเขียนนิยายเท่านั้นเอง !”

 

ตงลี่หวานั้นยังคงรู้สึกไม่ดีอยู่ หล่อนจึงพูดออกไปด้วยน้ำเสียงเข้มงวดว่า : “ยังไงก็ไม่ได้ !หลังจากนี้ลูกมีเรื่องสงสัยอะไรเกี่ยวกับทหารลูกก็มาถามพ่อเอาแล้วกัน พ่อของลูกเขาก็เคยเป็นทหารมาก่อน เดี๋ยวแม่จะติดโทรศัพท์ไว้ที่บ้าน ลูกมีคำถามอะไรก็โทรมาถามพ่อ เข้าใจไหม?”

 

จางฉุ้ยเหลียนยิ้มพร้อมกับพยักหน้า “ได้ค่ะ ถึงอย่างไรหนูก็ไม่ได้สนิทกับเขาอยู่แล้ว หลังจากนี้หนูจะไม่ไปหาพวกเขาอีกค่ะ !”

 

ตงลี่หวาถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เธอรู้สึกเป็นห่วงลูกสาว หล่อนกลัวว่าคนนอกจะคิดว่าจางฉุ้ยเหลียนนั้นเพ้อฝันไปเอง

 

ตอนนี้ลูกของหล่อนก็โตแล้ว และการหาคนรักเพื่อที่จะมาแต่งงานด้วยมันก็เป็นเรื่องปกติ  เพียงแต่ว่าหล่อนและสามีนั้นยังคงให้ความสำคัญกับคนที่จะมาแต่งงานกับลูกสาวของหล่อนว่ามีความเหมาะสมรึเปล่า เท่าที่ฟัง ๆ มา ครอบครัวของผู้ชายคนนั้นก็ไม่เลวเลยทีเดียว บางทีอาจจะเหมาะสมกับจางฉุ้ยเหลียนมากก็ได้

 

แล้วตระกูลจางล่ะ ? จิตใจของสองสามีภรรยาคู่นั้นไม่เที่ยงตรง เดิมทีพวกเขาก็อยากจะให้ลูกสาวแต่งงานกับคนที่มีฐานะอยู่แล้ว แต่ถ้าหากเรื่องนี้มันสร้างปัญหาขึ้นมา ก็อาจจะทำให้จางฉุ้ยเหลียนลำบากใจไม่น้อยเลยทีเดียว

 

ไม่สู้เท่าหาคนที่มีฐานะทางครอบครัวพอ ๆ กัน จากนั้นหล่อนก็แค่เอาเงินของตัวเองให้กับจางฉุ้ยเหลียนเยอะขึ้นไม่ดีกว่าหรือ เมื่อคิดย้อนไปถึงตอนที่จางฉุ้ยเหลียนร้องไห้ฟูมฟายกลับมาในตอนนั้น และเช่าหวาก็ไม่ได้สนใจเธอเลยแม้แต่น้อย คนตระกูลจางเห็นแก่ตัวมาก ย่อมทำให้จางฉุ้ยเหลียนเกิดความกดดันอยู่แล้ว ถ้าหล่อนทำแบบนี้ มันก็จะเป็นผลดีกับจางฉุ้ยเหลียนด้วย ค่อย ๆ ให้เธอเติบโตไปอย่างช้า ๆ

 

เมื่อจางฉุ้ยเหลียนเห็นตงลี่หวากำลังยืนเหม่ออยู่ เธอจึงอดถามขึ้นมาไม่ได้ว่า  “แม่ แม่กำลังคิดอะไรอยู่หรือคะ ? ”

 

“ที่บ้านเราก็มีถั่วเหลืองอยู่แล้ว ลูกจะซื้อมาอีกทำไมกัน ! ไอ้หยา ฤดูหนาวแบบนี้ผักก็แพงมากด้วย หลังจากนี้ลูกไม่ต้องซื้ออะไรมาอีกแล้วนะ!” ตงลี่หวาที่ถูกจางฉุ้ยเหลียนตะโกนเรียกสติเมื่อสักครู่ หล่อนจึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาและเปลี่ยนเรื่องพูดในทันที

 

“อื้อ เข้าใจแล้วค่ะ ๆ ! นี่ก็ปีใหม่แล้ว เราก็ไม่ได้กินเนื้อทุกวันเสียหน่อย อีกอย่าง หนูก็อยากจะถือโอกาสนี้ใช้เวลาอยู่ที่บ้านให้นานที่สุด แล้วก็จะได้ทำกับข้าวให้พ่อกับแม่กินด้วยไงคะ !” จางฉุ้ยเหลียนคลี่ยิ้ม และพูดออกมาอย่างขอไปที

 

“ครั้งก่อนที่ลูกจะกลับไปเรียน ลูกก็ทำกับข้าวไว้ตั้งหลายอย่าง เพราะอยากให้พ่อกับแม่กินอย่างอิ่มท้อง ส่วนลูกอยู่ในวิทยาลัยก็อย่าประหยัดเงินมากเกินไปล่ะ เข้าใจไหม ! ” เมื่อตงลี่หวาเก็บข้าวของเสร็จ ก็เริ่มบ่นลูกสาวของหล่อนต่อ

 

ทุกครั้งที่จางฉุ้ยเหลียนกลับมาที่บ้านตระกูลเซี่ย เธอก็มักจะรู้สึกซาบซึ้งใจอยู่เสมอ ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน เธอยิ้มพร้อมกับจูงมือของตงลี่หวาเดินเข้าไปในบ้าน  เมื่อเดินเข้ามาในบ้านแล้ว เธอก็เห็นว่าบนขอบหน้าต่างนั้นยังคงว่างเปล่าอยู่เช่นเดิน เธอจึงเอ่ยปากพูดออกไปว่า “ในบ้านอากาศก็อบอุ่นดี ทำไมเราไม่ปลูกอะไรหน่อยล่ะคะ ? จะเป็นพวกต้นหอมหรือว่ากระเทียมอะไรพวกนั้นก็ได้ แล้วอีกอย่างเวลาที่เราได้เห็นอะไรเขียว ๆ มันก็สบายตาดีด้วย แถมยังมีชีวิตชีวาอีกต่างหาก”

 

รีวิวผู้อ่าน