px

เรื่อง : เกิดใหม่ทั้งทีขอลิขิตรักเอง (นิยายแปล) **จบแล้ว**
ตอนที่ 40 หักหน้า


ตอนที่ 40 หักหน้า

 

ใคร ๆ ต่างก็คิดไม่ถึงว่าจะมีบริการส่งปาท่องโก๋ถึงหน้าบ้านแบบนี้ด้วย เมื่อได้ยินคำพูดของลูกสาว ตงลี่หวาก็รู้สึกไม่เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง หล่อนจึงพูดออกไปว่า “ไม่ได้นะลูก ถ้าเขาไม่เอาล่ะ เราจะทำอย่างไร ? แล้วอีกอย่าง ลูกค้าที่ต้องการจะสั่งเป็นใครบ้าง แม่ก็ไม่ได้รู้จัก

 

จางฉุ้ยเหลียนยิ้มพร้อมกับพูดว่า “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เราก็รับแค่ลูกค้าที่อยู่ในหมู่บ้านเท่านั้นก็ได้นี่คะ ถ้าลูกค้าคนไหนต้องการที่จะสั่ง เราก็แค่เอาไปส่งให้เขาที่บ้านไม่ได้หรือคะ ? ถ้าใครสั่งเราก็ทอดครั้งต่อครั้ง จากนั้นเราก็เอาปาท่องโก๋ใส่กล่องโฟมเก็บอุณหภูมิไปส่ง พวกเขาก็จะได้กินแบบร้อน ๆ ไงคะ”

 

เมื่อจางฉุ้ยเหลียนพูดจบ ก็มีลูกค้าคนหนึ่งหัวเราะออกมา จากนั้นหล่อนก็พูดออกมาว่า “เด็กคนนี้ฉลาดมากจริง ๆ พี่สาวจ๊ะ พี่สาวทำส่งแค่คนในหมู่บ้านก็น่าจะมีปัญหาอะไรใช่ไหมจ๊ะ ? ”

 

จางฉุ้ยเหลียนดันหลังตงลี่หวาเล็กน้อย จากนั้นก็พูดออกไปว่า : “แม่คะ แม่ไปยืมกระดาษกับปากกามาให้หนูหน่อยสิ แล้วแม่ก็เอามาจดว่าลูกค้าคนไหนต้องการปาท่องโก๋กี่ชิ้น และให้เราไปส่งที่ไหนบ้าง

 

ตงลี่หวาเดินออกไปยืมปากกากับกระดาษตามที่ลูกสาวบอกด้วยอาการมึนงงเล็กน้อย ตอนที่หล่อนเดินกลับมาหาจางฉุ้ยเหลียนก็มีคนเดินตามหล่อนมาด้วยอีก 2 คน

 

จางฉุ้ยเหลียนตั้งใจว่าจะเหลือปาท่องโก๋ไว้สักสองสามชิ้น เพื่อที่จะเอาให้ลูกค้าชิมกันคนละคำ ถ้ามีลูกค้าเยอะ เธอก็ไม่สามารถแบ่งได้เยอะ 1 คน ต่อ 1 ชิ้นเล็ก เพราะเธออยากจะเน้นที่คุณภาพ

 

“ซ่งเว้ยตง เอา 6 ชิ้น  รวมเป็นเงินทั้งหมด 15 เหมา  บ้านของหล่อนอยู่หลังโรงงานอิฐ มีต้นไม้ใหญ่อยู่หน้าบ้าน”

 

“ถงเอ้อ บ้านอยู่ติดกับสถานีอนามัย หล่อนเอาปาท่องโก๋ 10 ชิ้น รวมเป็นเงินทั้งหมด 2.5 หยวน เป็นเพื่อนบ้านกับซ่งเว้ยตง”

 

ตงลี่หวาดีใจจนเนื้อเต้น หล่อนนึกไม่ถึงเลยว่าลูกสาวของหล่อนจะเก่งขนาดนี้ ไม่นานก็สามารถเรียกคนที่อยู่ในหมู่บ้านเข้ามารวมตัวกันได้ และหล่อนก็นึกไม่ถึงเช่นกันว่าจะมีธุรกิจค้าขายของแบบส่งของถึงหน้าบ้านแบบนี้ด้วย

 

“เอาล่ะค่ะ คุณลุงคุณป้าที่สั่งปาท่องโก๋กับหนู ทุกคนกลับไปรออยู่ที่บ้านสบาย ๆ ได้เลยนะคะ ถ้าหนูไปส่งเย็นนี้ไม่ทัน พรุ่งนี้หนูจะเอาไปส่งให้นะคะ” เมื่อเห็นว่ามีคนสนใจปาท่องโก๋ของเธอเป็นจำนวนมาก จางฉุ้ยเหลียนก็รู้สึกดีใจไม่น้อย

 

เมื่อกลับมาถึงบ้าน จางฉุ้ยเหลียนก็เริ่มคำนวณอัตราส่วนวัตถุดิบที่ใช้ทำปาท่องโก๋ทันที ส่วนตงลี่หวาก็เดินไปหาเซี่ยจวินและเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้เขาฟัง “คุณไม่รู้หรอกว่ามีลูกค้าที่สั่งปาท่องโก๋ของเราเยอะมากขนาดไหน ตอนที่จางฉุ้ยเหลียนบอกว่าจะไปส่งปาท่องโก๋ให้ถึงหน้าบ้าน ทุกคนต่างก็พากันตกตะลึงกับคำพูดของเธอ ฉันเองก็รู้สึกตกใจมากจริง ๆ   ที่เด็กคนนี้กล้าที่จะทำแบบนี้”

 

เมื่อเซี่ยจวินได้ยินคำว่า “ไปส่งให้ถึงหน้าบ้าน” เขาก็เข้าใจทันที  เขาจึงพยักหน้าเป็นการเห็นด้วยและพูดออกไปว่า “ใช่แล้วล่ะ เด็กนักศึกษาที่มีอนาคต ย่อมเก่งกว่าพวกเราอยู่แล้ว เธอไม่ต้องพูดแล้วล่ะ  รีบไปช่วยจางฉุ้ยเหลียนเถอะ เดี๋ยวจะไปส่งไม่ทัน”

 

เมื่อจางฉุ้ยเหลียนคิดคำนวณดูแล้ว เธอก็พบว่าปาท่องโก๋ที่แต่ละบ้านต้องการนั้นมีจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว อย่างน้อยที่สุดก็ประมาณ 3 ถึง 5 ชิ้น และมากที่สุดก็ 8 ถึง 10 ชิ้น โชคดีที่จำนวนบ้านที่สั่งปาท่องโก๋ของเธอมีแค่ 20 กว่าหลังเพียงเท่านั้น รวม ๆ กันแล้วเธอต้องทำปาท่องโก๋ทั้งหมด 100 กว่าชิ้น แต่นั่นก็ถือว่าไม่เยอะมากเท่าไหร่

 

“ถือโอกาสตอนที่กำลังพักแป้ง เตรียมแป้งทำขนมเกลียว อีกสัก 30 ชิ้นดีกว่า” หลังจากที่นวดแป้งเสร็จ จางฉุ้ยเหลียนก็เดินเข้าไปหาเซี่ยจวินในบ้าน จากนั้นเธอก็พูดออกไปด้วยความเกรงใจว่า “พ่อคะ บ้านเราไม่มีแป้งเหลือแล้วนะคะ”

 

เซี่ยจวินนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นเขาก็พูดออกไปว่า “อ่า ? ทำไมหมดเร็วขนาดนี้ล่ะ? ไม่เป็นไร ในห้องเก็บของยังมีเหลืออีก 2 ถุง

 

ตงลี่หวาคลี่ยิ้มออกมา จากนั้นก็พูดออกไปว่า : “ใช่แล้วล่ะลูก ลูกไม่ต้องเกรงใจพ่อกับแม่หรอก นี่ก็ถือว่าเป็นการหาเงิน ลูกไม่ต้องเกรงใจนะ

 

เมื่อพูดจบ ตงลี่หวาก็เดินเข้าไปในครัว หล่อนเห็นว่ามีขนมเกลียวที่เพิ่งจะทำเสร็จใหม่ ๆ วางอยู่ในจาน หล่อนจึงพูดออกไปอย่างยิ้ม ๆ ว่า “ไอ้หยา มีขนมเกลียวด้วยหรือ

 

เมื่อเห็นว่าเซี่ยจวินเดินไปเอาแป้งจากในห้องเก็บของออกมาหนึ่งถุง จางฉุ้ยเหลียนจึงยิ้มและถามเซี่ยจวินออกไปว่า “พ่อคะ พ่อคิดว่าบ้านใครมีกล่องโฟมเก็บอุณหภูมิอีกไหมคะ ? หนูอยากจะได้อีกสัก 2 กล่อง เราจะได้เอามาใส่ปาท่องโก๋ จากนั้นเราก็เอาไปส่งคนละกล่องไงคะ”

 

เซี่ยจวินพยักหน้า “ร้านขายของแช่แข็งในตลาดก็พอจะมีอยู่ เดี๋ยวพ่อจะไปยืมมาให้ แต่ถ้ายืมไม่ได้จริง ๆ เดี๋ยวพ่อจะซื้อให้เอง 2 กล่อง”

 

ในตอนที่จางฉุ้ยเหลียนกำลังพักแป้งปาท่องโก๋อยู่นั้น เธอก็นำแป้งขนมเกลียวที่ไม่ต้องพักแป้งลงไปทอดในกระทะ เมื่อเธอทอดขนมเกลียวจนกรอบนอกนุ่มในได้ที่แล้ว เธอก็ตักมันออกมาจากกระทะ เมื่อเธอทอดขนมเกลียวเสร็จ แป้งปาท่องโก๋ที่เธอพักไว้ก็ได้ที่พอดี

 

เมื่อจางฉุ้ยเหลียนทอดปาท่องโก๋และขนมเกลียวเสร็จ ฟ้าก็มืดแล้ว แต่ตอนนี้พวกเขาทั้งสามก็ไม่มีใครคิดที่จะกินข้าวเย็นเลยแม้แต่น้อย

 

จางฉุ้ยเหลียนเตรียมตัวไปส่งปาท่องโก๋ตามที่อยู่ต่าง ๆ โดยเธอแบ่งที่อยู่ออกเป็น 2 ทาง ทางหนึ่งเธอให้เซี่ยจวินเป็นคนไปส่ง ส่วนอีกทางหนึ่งเธอและตงลี่หวาก็เป็นคนไปส่ง ในกล่องโฟมเก็บอุณหภูมิไม่เพียงแต่บรรจุปาท่องโก๋ตามจำนวนคนที่สั่งแล้วเท่านั้น เธอยังใส่ปาท่องโก๋เพิ่มอีก 20 ชิ้น อีกทั้งยังมีขนมเกลียวเคลือบน้ำตาล 10 ชิ้น และไม่เคลือบน้ำตาลอีก 10 ชิ้นด้วย ขนมเกลียวจางฉุ้ยเหลียนตั้งใจว่าจะขาย ชิ้นละ 8 เหมา สองชิ้น 1.5 หยวน

 

เซี่ยจวินไปยืมจักรยานรุ่น 28 มาจากเพื่อนบ้าน ที่นั่งด้านหลังเขาก็เอากล่องโฟมเก็บอุณหภูมิมัดไว้ จากนั้นเขาก็เริ่มปั่นจักรยานออกไปจากบ้านพร้อมกับกระดาษที่อยู่ของลูกค้าและไฟฉาย ด้วยความที่ตอนนี้เป็นฤดูหนาว ไม่ต้องบอกก็รู้เลยว่าข้างนอกนั้นอากาศหนาวเย็นมากแค่ไหน

 

ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเอาปาท่องโก๋ใส่กล่องโฟมเก็บอุณหภูมิ แต่มันก็กักเก็บความร้อนได้ไม่นานนัก พวกเขาทั้งสามคนจึงต้องออกไปส่งปาท่องโก๋ให้เร็วที่สุด

 

เมื่อเซี่ยจวินออกไปได้ไม่นาน จางฉุ้ยเหลียนและตงลี่หวาก็เริ่มออกเดินทาง พวกเธอทั้งสองคนไปอีกทางหนึ่ง สองแม่ลูกไม่มีความกลัวเลยแม้แต่น้อย ตงลี่หวาเป็นคนปั่นจักรยาน ส่วนจางฉุ้ยเหลียนก็เอากล่องโฟมเก็บอุณหภูมิมาวางไว้ตรงกลางและนั่งซ้อนท้ายอยู่ที่ด้านหลัง มือข้างหนึ่งกอดเอวตงลี่หวาไว้ ส่วนมืออีกข้างหนึงก็ถือไฟฉายส่องทางไปด้วย

 

โชคดีที่ไม่มีบ้านไหนยกเลิกปาท่องโก๋ที่สั่งจองไว้ก่อนหน้านี้ ทุกคนต่างซื่อสัตย์จริงใจ เพราะพวกเขาคิดว่าราคาปาท่องโก๋ที่จางฉุ้ยเหลียนขายนั้นถูกมาก และที่สำคัญที่สุดก็คือการที่จางฉุ้ยเหลียนฝ่าความหนาวเย็นและความมืดมาส่งปาท่องโก๋ถึงหน้าบ้านของพวกเขาด้วยตัวเองแบบนี้ พวกเขาย่อมละอายแก่ใจที่จะพูดยกเลิกปาท่องโก๋ที่พวกเขาสั่งจองก่อนหน้านี้ออกไป

 

และก็มีบางคนที่ตรงเข้ามาขวางจักรยานของพวกเธอเอาไว้ จากนั้นก็ถามว่าพวกเธอยังมีปาท่องโก๋อุ่น ๆ เหลืออยู่อีกรึเปล่า เมื่อเห็นว่าจางฉุ้ยเหลียนไม่มีปาท่องโก๋เหลืออยู่แล้ว แต่ในกล่องโฟมเก็บอุณหภูมิก็มีขนมเกลียวเหลืออยู่ พวกเขาจึงคิดว่าซื้อขนมเกลียวไปแทนก็ไม่เลวเหมือนกัน

 

บวกกับคนอย่างเซี่ยจวินที่ไม่เคยมีคำว่าขาดทุนด้วยแล้ว เขาแบ่งขนมเกลียวให้ลูกค้าได้ลองชิม และพูดออกไปว่า “ชิมได้เลย ไม่ซื้อก็ไม่เป็นไร ” แต่คนในยุคสมัยนี้ ต่างก็รักในศักดิ์ศรีของตัวเองกันทั้งนั้น เมื่อชิมแล้วจะไม่ซื้อได้อย่างไร ?

 

ตอนนี้เวลาก็ได้ล่วงเลยมาจนถึง 21.00 น. แล้ว แต่ทั้งสามคนก็เพิ่งจะกลับมาถึงบ้าน เมื่อเดินเข้ามาในบ้าน จางฉุ้ยเหลียนก็รู้สึกได้ถึงความหนาวเย็นที่แผ่ออกมา เธอจึงรีบวิ่งไปหยิบฟืนที่ลานหน้าบ้านมาก่อไฟในทันที

 

“ฉุ้ยเหลียน ไม่ต้องทำหรอก มาดื่มน้ำสักหน่อยมา ” สองสามีภรรยาตระกูลเซี่ยต่างก็ตะโกนเรียกให้จางฉุ้ยเหลียนเข้าไปในบ้าน แต่เธอกลับพูดออกไปว่า “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ พ่อกับแม่เอาเงินออกมานับก่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวทางนี้หนูจะต้มน้ำให้เอง

 

หม้อซึ้งนึ่งขนาดใหญ่ถูกยกมาวางไว้บนเตาดิน เมื่อน้ำเดือดแล้ว จางฉุ้ยเหลียนก็วางวางหมั่นโถ และหมั่นโถแป้งข้าวโพดลงไปในซึ้ง จากนั้นก็นำผ้าขาวบางมาคลุม ปิดฝาและรอให้สุก

 

เมื่อเปิดฝาหม้อออก ไอน้ำมากมายก็พวยพุ่งออกมาปะทะใบหน้าของจางฉุ้ยเหลียน อีกทั้งยังตลบอบอวลไปทั่วทั้งห้อง สองสามีภรรยาตระกูลเซี่ยจึงรีบวิ่งเข้ามาในห้องครัวทันที

 

“รีบมาอังไฟเร็ว อากาศมันหนาว อย่างน้อย ๆ ให้เท้าของเราอุ่นก็ยังดี ตอนนี้ร่างกายก็เย็นสะท้านไปครึ่งตัวแล้ว” จางฉุ้ยเหลียนยิ้มพร้อมกับยื่นผ้าขาวบางจากในซึ้งนึ่งไปให้กับสองสามีภรรยาตระกูลเซี่ยเพื่อนำไปคลุมเท้า เซี่ยจวินและตงลี่หวาคิดไม่ถึงเลยว่าชีวิตนี้พวกเขาจะได้รับการดูแลแบบนี้ด้วย

 

“เสี่ยวเหลียน ลูกก็มาอังไฟด้วยกันสิ” ตงลี่หวาพูดออกไป พร้อมกับขอบตาที่ร้อนผ่าวด้วยความรู้สึกดีใจ  “เมื่อกี้แม่กับพ่อช่วยกันนับเงินที่เราขายปาท่องโก๋กับขนมเกลียวแล้ว ไอ้หยา ไม่อยากจะเชื่อเลยจริง ๆ ”

 

“อื้อ หนูก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันค่ะ หนูคิดว่าเราคงขายได้นิดหน่อย แต่นึกไม่ถึงเลยว่าเราจะขายได้เยอะขนาดนี้ !” จากจำนวนปาท่องโก๋และขนมเกลียวที่ตัวเองทำไปขาย จางฉุ้ยเหลียนคิดว่าเธอก็น่าจะขายได้ประมาณ 100 กว่าหยวนเห็นจะได้

 

“97 หยวน อีกทั้งเรายังแบ่งให้คนในบ้านได้กินอีกด้วย” เซี่ยจวินรู้สึกพึงพอใจอย่างมาก นึกไม่ถึงว่าจะเป็นอย่างที่จางฉุ้ยเหลียนพูดไว้ก่อนหน้านี้จริง ๆ ผลกำไรเล็กน้อย แต่สามารถหมุนเวียนได้

 

“พ่อยังมีใบสั่งจองของลูกค้าที่ต้องการสั่งปาท่องโก๋อยู่อีกนะ  ลูกดูสิ” เซี่ยจวินล้วงมือเข้าไปหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากระเป๋ากางเกง ก่อนหน้านี้จางฉุ้ยเหลียนก็ได้บอกพ่อกับแม่ของเธอไปแล้วว่า ถ้ามีลูกค้าที่ต้องการจะสั่งปาท่องโก๋ ก็ให้บอกพวกเขาไปว่า ถ้าพวกเขารอได้เราก็จะเอาไปส่งให้ถึงหน้าบ้าน

 

“ฉันก็มีเหมือนกัน ไหนเอาของคุณมาดูหน่อยสิ” เมื่อตงลี่หวาเห็นกระดาษคำสั่งซื้อของเซี่ยจวินแล้ว หล่อนก็ทำการคำนวนจำนวนปาท่องโก๋ที่ต้องทำ จากนั้นหล่อนก็อุทานออกไปด้วยความตกใจว่า: “ไอ้หยา ทำไมมันถึงได้เยอะขนาดนี้ล่ะ

 

“โชคดีนะที่เราบอกให้เหล่าหลิวมาฆ่าหมูที่บ้านวันที่ 27 ดูท่าว่าครั้งนี้สวรรค์จะประทานพรให้เราแล้วล่ะ ไอ้หยา พรุ่งนี้เราต้องนึ่งซาลาเปาไส้ถั่วอีก แม่ว่าเราคงนึ่งไม่ทันแล้วล่ะ” ถึงแม้ว่าจะนึ่งซาลาเปาไม่ทัน แต่แลกกับการทำเงินได้มากมายนั่นก็ถือว่าดีไม่น้อย

 

เช้าตรู่วันถัดมา สองแม่ลูกลุกจากเตียงตั้งแต่เช้ามืดเพื่อมาทอดปาท่องโก๋และขนมเกลียว จากนั้นเซี่ยจวินก็เป็นคนเอาออกไปส่งตามบ้านพร้อมกับเก็บเงิน ส่วนสองแม่ลูกก็เตรียมนึ่งซาลาเปาไส้ถั่วอยู่ในบ้าน

 

“ไอ้หยา ฉลองปีใหม่ปีนี้ เหนื่อยมากจริง ๆ  ”  เมื่อนำถั่วแดงและแป้งข้าวโพดลงไปนึ่งแล้ว ตงลี่หวาก็ใช้มือทุบไปบนไหล่ที่ปวดล้าทั้งสองข้าง เพราะร่างกายที่แก่ตัวลงของตัวเอง

 

จางฉุ้ยเหลียนเดินเข้าไปนวดไหล่ให้กับตงลี่หวา ด้วยแรงที่เธอนวดนั้นหนักพอดี มันจึงทำให้ตงลี่หวารู้สึกสบายขึ้นมาไม่น้อยจนหล่อนอดที่จะส่งเสียงร้องออกมาด้วยความรู้สึกพึงพอใจไม่ได้ เมื่อจางฉุ้ยเหลียนได้ยินดังนั้น เธอก็พูดออกมาอย่างยิ้ม ๆ ว่า “แม่ แม่นอนคว่ำหน้าลงไปบนเตียงเลยค่ะ เดี๋ยวหนูนวดให้แม่เอง แล้วอีกอย่าง คอ ไหล่ เอวของแม่มันไม่ค่อยจะดีด้วย”

 

การนวดก็เหมือนการปั่นจักรยาน เมื่อเรียนจนปั่นได้แล้ว มันก็จะปั่นได้ไปตลอดชีวิต ชาติที่แล้ว ตอนที่จางฉุ้ยเหลียนลาออกจากงานมาอยู่ที่บ้านได้หลายปี รัฐบาลก็มีนโนบายสนับสนุนคนว่างงานออกมา โดยมีการจัดเป็นหน่อยงาน จางฉุ้ยเหลียนได้ลงทะเบียนเรียนนวดและพี่เลี้ยงเด็กแรกเกิด แต่ก็น่าเสียดายที่เธอไม่ได้ไปเรียนพี่เลี้ยงเด็กแรกเกิด และให้แม่สามีไปเรียนแทน เพราะการเรียนนวดต้องใช้เวลาหนึ่งปีเลยทีเดียว เธอจึงไม่มีเวลาไปเรียนอย่างอื่น

 

“ไอ้หยา ไอ้หยา ใช่ ๆ ตรงนั้นแหละ ไอ้หยา เจ็บ ๆ ตรงนั้นแหละ ” จางฉุ้ยเหลียนนวดกดลงไปอย่างถูกจุด นั่นทำให้ตงลี่หวารู้สึกดีไม่น้อย

 

บางครั้งที่หล่อนปวดเมื่อยตามเนื้อตัว หล่อนก็มักจะไปครอบแก้วอยู่บ่อย ๆ แต่หล่อนไม่คิดเลยว่าจางฉุ้ยเหลียนจะนวดให้ร่างกายของหล่อนผ่อนคลายมากกว่าการที่หล่อนไปครอบแก้วเสียอีก

 

“แม่ เอาอย่างนี้ไหม เดี๋ยวหนูครอบแก้วให้ แม่รอก่อนนะ” จางฉุ้ยเหลียนปวดใจแทนตงลี่หวาจริง ๆ ก็เห็น ๆ อยู่ว่าหล่อนก็มีเงิน อีกทั้งยังกินดีอยู่ดี แต่ทำไมหล่อนต้องประหยัดเงินไม่ไปครอบแก้วเพื่อรักษาอาการปวดหลังของตัวเองด้วย

 

ตงลี่หวาใส่แค่เสื้อผ้าบาง ๆ นอนอังไฟอยู่บนเตียงที่แสนอบอุ่น เสพสุขกับความสบายในการนวดของจางฉุ้ยเหลียน ผ่านไปครึ่งชั่วโมง จางฉุ้ยเหลียนก็ลงจากเตียง เธอเดินไปหยิบกระปุกแก้วขนาดต่าง ๆ มา จากนั้นเธอก็ลนไฟภายในกระปุกและครอบลงไปบนแผ่นหลังของตงลี่หวาด้วยความชำนาญ

 

เมื่อครอบแก้วเสร็จ เธอนำผ้าบาง ๆ มาคลุมตัวตงลี่หวาไว้ ไม่นานตงลี่หวาก็ส่งเสียงกรนออกมาด้วยความรู้สึกสบาย

 

จางฉุ้ยเหลียนเม้มปากและเดินเข้าไปในห้องครัว จากนั้นเธอก็นำถั่วแดงที่นึ่งจนสุกแล้วมาบดให้ละเอียดจนเป็นเนื้อเดียวกัน ในตอนที่จางฉุ้ยเหลียนกำลังบดถั่วแดงอยู่นั้น จู่ ๆ ประตูด้านหลังห้องครัวก็ถูกเปิดออกอย่างแรก

 

ตอนแรกจางฉุ้ยเหลียนคิดว่าคงเป็นเซี่ยจวินที่กลับเข้ามา แต่เธอกลับคิดไม่ถึงเลยว่าคนที่เข้ามาจะเป็นหลี่หงและลูกชายอีกสองคนของหล่อน

 

“พี่สะใภ้สามอยู่บ้านไหม ? ” ตัวยังมาไม่ถึง แต่เสียงของหล่อนก็นำโด่งมาแล้ว

 

เมื่อจางฉุ้ยเหลียนเห็นพวกเขาเดินเข้ามา เธอที่อยู่ใกล้พวกเขาที่สุด จึงเดินออกไปต้อนรับพร้อมกับรอยยิ้ม จากนั้นเธอจึงพูดออกไปว่า “ตอนนี้แม่หลับอยู่น่ะค่ะ ” ความหมายแฝงที่จางฉุ้ยเหลียนต้องการที่จะสื่อก็คือ ตอนนี้ตงลี่หวากำลังนอนอยู่ หล่อนก็ควรที่จะเบาเสียงพูดลงหน่อย

 

หลี่หงมองพิจารณาจางฉุ้ยเหลียนตั้งแต่หัวจรดเท้า จากนั้นก็เบะปากและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่า : “เห้อ เธอนี่มันจริง ๆ เลยนะช่างเป็นลูกที่แสนกตัญญูเสียจริงนะ” เมื่อพูดจบ หล่อนก็กลอกตาไปมา จากนั้นหล่อนก็พาลูกชายของตัวเองเดินเข้าไปในบ้านอย่างไม่มีความเกรงใจแต่อย่างใด

 

เมื่อเข้ามาในบ้านแล้ว หล่อนก็เห็นตงลี่หวากำลังนอนอย่างที่จางฉุ้ยเหลียนบอกไว้จริง ๆ หล่อนคิดว่าตงลี่หวาต้องแกล้งทำเป็นนอนแน่ ๆ หล่อนจึงตะโกนออกไปเสียงดังด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยว่า  “ไอ้หยา พี่สะใภ้ช่างสบายเสียจริงนะ สายป่านี้แล้วยังไม่ตื่นอีก

 

ตงลี่หวาที่เพิ่งจะหลับไปด้วยความรู้สึกเบาสบาย ในขณะที่หล่อนกำลังฝันหวานอยู่นั้น หล่อนก็ถูกมารผจญมาปลุกให้ตื่นเสียได้ เมื่อได้ยินเสียงตะโกนของใครบางคนดังใกล้ ๆ หู ตงลี่หวาจึงลืมตาขึ้นมา เมื่อกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วหล่อนก็พบกับหลี่หงที่จูงมือลูกชายทั้งสองคนเดินเข้ามาในบ้าน เมื่อเห็นดังนั้น หล่อนก็ตะโกนออกไปว่า “เสี่ยวเหลียน

 

จางฉุ้ยเหลียนรีบล้างมือและวิ่งเข้ามาในบ้านทันที : “แม่คะ แก้วของแม่ดูดพิษออกมาหมดแล้วล่ะคะ

 

ตงลี่หวาเพิ่งจะรู้สึกว่าร่ายกายของตัวเองนั้นเบาสบายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หล่อนจึงลุกขึ้นมานั่งพร้อมกับรอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้า หล่อนหันหลังให้กับทุกคนเพื่อจัดเสื่อผ้าให้เข้าที่เข้าทาง เมื่อจัดเสื้อผ้าเสร็จแล้ว หล่อนก็หันกับมาถามว่า “เสี่ยวหง เธอมาที่นี่มีธุระอะไรอย่างนั้นหรือ ? ”

 

หลี่หงยิ้มออกมาอย่างเย็นชา จากนั้นหล่อนจึงพูดออกไปว่า “ฉันได้ยินมาว่าบ้านของพี่สะใภ้ขายขนมเกลียวอย่างนั้นหรือ ลูกของฉันอยากกิน ฉันก็เลยพาพวกเขามาซื้อ พี่ขายยังไงล่ะ ? ”

 

เมื่อตงลี่หวาได้ยินน้ำเสียงของหลี่หง หล่อนก็รู้ได้ในทันทีว่าหลี่หงต้องโกธรหล่อนอยู่แน่ ๆ ที่หล่อนไม่ได้ส่งขนมไปให้หล่อนกินฟรี ๆ ตงลี่หวาจึงถามหล่อนออกไปว่า  “คุณอาสามของพวกเธอยังไม่ได้เอาขนมไปให้พวกเธอกินอีกอย่างนั้นหรือ ? เขาเพิ่งจะเดินออกจากบ้านไปเมื่อกี้นี้เอง แล้วเขายังบอกอีกว่าเขาจะเอาขนมไปฝากพวกเธอที่บ้าน

 

หลี่หงคิดว่าอีกฝ่ายนั้นจะต้องพูดอ้างอยู่แน่ ๆ  หล่อนจึงหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา จากนั้นก็แสยะยิ้มออกมาพร้อมกับพูดออกไปว่า: “ฉันไม่เห็นเลยว่าพี่สามจะเอาขนมมาให้เรา แล้วอีกอย่างทำไมพวกพี่ต้องเอาขนมไปให้เราด้วยล่ะ บ้านเราก็มีเงินซื้อกินนะ

 

จางฉุ้ยเหลียนไม่อยากจะเสวนากับคนประเภทนี้ เธอจึงหันไปพูดกับตงลี่หวาว่า “แป้งได้ที่พอดี เรามาห่อซาลาเปากันดีไหมคะ ? ”

 

ตงลี่หวาพยักหน้าเป็นการเห็นด้วย หล่อนคิดว่าจางฉุ้ยเหลียนถามออกมาได้ถูกจังหวะจริง ๆ เมื่อเห็นว่าแม่ของตัวเองเห็นด้วย จางฉุ้ยเหลียนก็เดินไปเอาแป้งข้าวโพดและไส้ถั่วแดงมาจากในครัว ในขณะที่เธอกำลังถือแป้งข้าวโพดและไส้ถั่วแดงอยู่นั้น เซี่ยจวินก็กลับมาถึงบ้านพอดี

 

เมื่อเห็นว่าเซี่ยจวินเดินเข้ามาในบ้าน หลี่หงจึงอยากจะหักหน้าทุกคน หล่อนจึงถามเซี่ยจวินออกไปว่า: “ไอ้หยา พี่สามกลับมาแล้วหรือ พี่ออกไปไหนมาล่ะ ? พี่สะใภ้บอกว่าพี่ออกไปส่งขนมเกลียวให้กับหลาน ๆ ที่บ้านอย่างนั้นหรือ ”

 

เมื่อพูดจบลูกชายของหล่อนก็วิ่งเข้ามาดึงแขนของเซี่ยวจวินอย่างเอาแต่ใจทันที “คุณอาสาม ผมอยากกินขนมเกลียว ผมอยากกินขนมเกลียว

 

เซี่ยจวินยิ้มและพูดว่า “อาเอาไปให้พวกแกที่บ้านแล้ว พ่อของแกเก็บไว้ให้แล้วล่ะ

 

เมื่อพูดจบ เซี่ยจวินก็หันไปพูดกับหลี่หงว่า : “เธอไม่มีธุระอะไรที่ต้องไปทำใช่ไหม ? ถ้าเธอไม่มีธุระอะไร เธอก็มาช่วยพี่สะใภ้ห่อซาลาเปาหน่อยสิ เดี๋ยวฉันต้องไปกินข้าวกับน้องห้าน่ะ

 

อะไรกัน ? ไม่เพียงแต่หล่อนจะถูกหักหน้าแล้ว ยังรั้งให้หล่อนอยู่ช่วยงานอีกอย่างนั้นหรือ

 

จางฉุ้ยเหลียนและตงลี่หวาต่างก็หันมามองหน้ากัน จากนั้นก็คิดขึ้นมาในใจว่า : สมน้ำหน้า

 

รีวิวผู้อ่าน