px

เรื่อง : เกิดใหม่ทั้งทีขอลิขิตรักเอง (นิยายแปล) **จบแล้ว**
ตอนที่ 43  แขก


ตอนที่ 43  แขก

 

จางฉุ้ยเหลียนมองไปยังกับข้าวทั้ง 8 อย่างที่วางอยู่บนโต๊ะ จากนั้นเธอก็หมุนตัวกลับเข้าไปในครัวอีกครั้ง เธอหยิบไข่ไก่ออกมา ตั้งกระทะและเทน้ำมันลงไป เมื่อน้ำมันร้อนได้ที่แล้ว เธอก็ตอกไข่ลงไปในกระทะทั้งหมด 6 ฟอง 

 

จากนั้นเธอก็หันไปหยิบถ้วย เธอตักน้ำตาล เติมน้ำส้มสายชูลงไปและคนให้เข้ากัน จากนั้นก็นำมันมาราดลงไปบนไข่ แค่นี้ไข่ดาวราดซอสเปรี้ยวหวานก็เป็นอันเสร็จ

 

เธอเดินเข้าไปตักกิมจิผักกาดขาวจากในห้องมา จากนั้นก็หั่นหมูสามชั้น เมื่อเตรียมทุกอย่างเสร็จแล้ว จางฉุ้ยเหลียนก็ตั้งกระทะเทน้ำมันลงไปเล็กน้อย เธอใส่หมูสามชั้นลงไปเป็นอันดับแรก เมื่อหมูเริ่มสุกเธอก็ใส่กิมจิผักกาดขาวลงไป เมื่อผัดจนสุกแล้วเธอก็ตักใส่จาน จากนั้นเธอก็ถืออาหารทั้งสองอย่างที่เธอทำเดินเข้าไปในบ้าน

เมื่อจางฉุ้ยเหลียนเดินถืออาหารทั้งสองจานเข้ามาวางบนโต๊ะ เกาจื้อกั๋วก็ชำเลืองตามองไปจางฉุ้ยเหลียนแวปหนึ่ง จากนั้นเขาก็ถามออกมาอย่างยิ้ม ๆ ว่า  “นี่ลูกสาวของนายอย่างนั้นหรือ ? ”

 

เซี่ยจวินพยักหน้า “อ้อ ใช่แล้วล่ะ ตอนนั้นที่เราอุ้มเธอกลับมาที่บ้าน นายยังมาเล่นกับเธอตั้งหลายครั้ง

 

“แม่หนู มานั่งกินข้าวด้วยกันสิ กับข้าวเยอะแยะขนาดนี้ เธอยังจะทำมาเพิ่มอีกตั้ง 2 จาน คิดว่าเราเป็นราชารึไง” เกาจื้อกั๋วหัวเราะออกมาเสียงดัง

 

จางฉุ้ยเหลียนจึงตอบกลับไปว่า “คุณลุงไม่ต้องเกรงใจหรอกค่ะ หนูสมควรทำอยู่แล้ว

หลังจากที่เดินเข้ามาในบ้าน จางฉุ้ยเหลียนก็ได้รู้ว่า เด็กหนุ่มคนนี้มีชื่อว่ากัวเจี้ยนจวิน เขาเป็นลูกน้องเก่าของเกาจื้อกั๋ว เขากลับมาเยี่ยมญาติที่นี่พอดี เขาก็เลยแวะมาเยี่ยมหัวหน้าเก่าของเขาเสียหน่อย

 

เกาจื้อกั๋วเป็นคนใจร้อน  เมื่อถึงวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่เขาก็รีบขับรถมาหาเซี่ยจวินที่บ้าน เพราะเขาคิดถึงเซี่ยจวินเป็นอย่างมาก เขาใช้เวลาขับรถมาที่บ้านของเซี่ยจวินเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น และเมื่อเขามาถึงบ้านของเซี่ยจวินได้ไม่นาน กัวเจี้ยนจวินที่รู้ว่าหัวหน้าเก่าของเขามาที่นี่ เขาจึงตามมาอย่างช่วยไม่ได้

 

“นายนี่มันจริง ๆ เลย บ้านของเด็กคนนี้อยู่ตั้งในโรงเก็บเมล็ดพันธุ์พืชโน่น พ่อกับแม่คงจะร้อนใจไม่น้อย” ตงลี่หวาชำเลืองตามองไปทางกัวเจี้ยนจวินที่กำลังนั่งอยู่บนโต๊ะอาหารด้วยท่าทางมาดขรึม

 

“ไม่ร้อนใจหรอก แล้วก็ไม่ได้ร้อนใจสักนิดเลยด้วย” เกาจื้อกั๋วยิ้มจนตาหยี จากนั้นเขายื่นตะเกียบออกไปคีบไข่ดาวของจางฉุ้ยเหลียนเข้าปาก

“อื้อ ฝีมือการทำอาหารไม่เลวเลยนะ อาหารที่วางอยู่บนโต๊ะนี้เธอเป็นคนทำทั้งหมดเลยหรือ ? เหล่าเซี่ย นายได้กินอาหารรสชาติดีแบบนี้ทุกวัน นายต้องมีความสุขมากแน่ ๆ เลย” 

 

เซี่ยจวินเงยหน้าขึ้นมาหัวเราะเสียงดัง จากนั้นเขาก็เอ่ยปากชมจางฉุ้ยเหลียนด้วยความภาคภูมิใจว่า “เรื่องนั้นมันก็แน่นอนอยู่แล้ว ลูกสาวของฉันทั้งสวย ทั้งกตัญญูรู้คุณ อีกทั้งยังมีความสามารถมากอีกด้วย  ต้องเป็นเด็กหนึ่งในร้อยคนเลยล่ะ ที่จะเป็นเหมือนหล่อนได้”

 

เกาจื้อกั๋วแสยะยิ้มออกมาเล็กน้อย จากนั้นก็หันไปถามจางฉุ้ยเหลียนว่า “แม่หนู ตอนนี้หนูแต่งงานออกเรือนแล้วรึยังล่ะ ? ถ้ายัง ลุงแนะนำให้เอาไหม

 

จางฉุ้ยเหลียนเขินจนหน้าแดงขึ้นมาทันที ความจริงแล้วเธอไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้แต่อย่างใด ตั้งแต่ที่เธอได้กลับชาติมาเกิดใหม่ในครั้งนี้ เธอก็ได้เจอกับคนที่เธอไม่เคยเจอมาก่อนหลายคน  และก็เรื่องที่เธอไม่เคยคาดคิดมาก่อนอีกหลายเรื่อง

 

“เธอยังไม่ไม่ได้แต่งงานหรอก ตอนนี้เสี่ยวเหลียนก็ยังเรียนอยู่ อีกอย่างวิทยาลัยของเธอก็ไม่อนุญาตให้นักศึกษามีคนรักหรือว่าแต่งงานด้วย” เมื่อสองสามีภรรยาตระกูลเซี่ยได้ยินคำพูดของเกาจื้อกั๋ว พวกเขาต่างก็หันมามองหน้ากันและรีบหันไปมองกัวเจี้ยนจวินทันที

 

เกาจื้อกั๋วขมวดคิ้ว และถามออกไปว่า “ยังเรียนอยู่อย่างนั้นหรือ ? ”

 

เซี่ยจวินที่ดื่มหนักจนหน้าแดงก็ได้พูดชื่นชมจางฉุ้ยเหลียนต่อว่า : “ใช่ เดิมทีแล้วเสี่ยวเหลียนได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยในเมืองหลวง แต่ก็น่าเสียดายที่หนังสือแจ้งจากทางมหาวิทยาลัยของเธอหายไปเสียก่อน เธอจึงไปเรียนที่วิทยาลัยครูในเมืองเล็ก ๆ แทน และเธอก็เพิ่งจะเข้ายังเรียนได้ไม่ถึงครึ่งปีเลยด้วยซ้ำ

 

เกาจื้อกั๋วพยักหน้าเป็นการเห็นด้วย “น่าเสียดายจริง ๆ

 

เซี่ยจวินเดาได้ว่าเกาจื้อกั๋วจะพูดอะไรต่อ เขาจึงรีบพูดขึ้นมาด้วยความรีบร้อนว่า “น่าเสียดายอะไร ? มันต้องพูดว่าน่าดีใจต่างหากล่ะ อะไรที่สูญเสียไปแล้วมันอาจจะไม่ใช่เรื่องไม่ที่ดีเสมอไปก็ได้ อีกอย่างท่านอธิการบดีวิทยาลัยครูของจางฉุ้ยเหลียนก็ให้ความสำคัญและสนับสนุนเธออีกด้วย ผ่านไปแค่ครึ่งปีเธอก็ได้เขียนบทความตีพิมพ์ลงหนังสือพิมพ์ประจำมณฑลแล้ว ”

 

เมื่อพูดจบเขาก็หมุนตัวไปหยิบหนังสือพิมพ์ออกมาฉบับหนึ่งที่จางฉุ้ยเหลียนเอากลับมาให้เขาอ่านจากในตู้บนหัวเตียง จากนั้นก็เปิดให้เกาจื้อกั๋วอ่านด้วยความภาคภูมิใจ “นายลองอ่านดูสิ นี่เป็นบทความที่เธอเขียน นามปากกาเป็นชื่อเดียวกัน ตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไปพวกเขาจะตีพิมพ์นิยายเรื่องสั้นของเธอลงในหนังสือพิมพ์ประจำมณฑลทุกวัน

 

อย่าว่าแต่แววตาตกใจของกัวเจี้ยนจวินเลย แม้แต่เกาจื้อกั๋วก็หันไปมองจางฉุ้ยเหลียนด้วยสีหน้าที่แสดงออกถึงความชื่นชมอยู่ไม่น้อย จากนั้นพวกเขาทั้งสองคนก็พากันพยักหน้า และพูดว่า “ไม่เลวเลยจริง ๆ ไม่เลวเลย

 

เซี่ยจวินอยากจะให้เพื่อนของเขาช่วยหาผู้ชายดี ๆ ให้กับจางฉุ้ยเหลียน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาดูถูกกัวเจี้ยนจวินแต่อย่างใด เซี่ยจวินรู้ว่าเกาจื้อกั๋วต้องการที่จะแนะนำกัวเจี้ยนจวินให้กับลูกสาวของเขา เพราะพวกเขาทั้งสองคนสนิทกันมาก ไม่ต้องพูดอะไรแค่มองตาก็รู้ใจแล้ว

 

เซี่ยจวินจึงยิ้มและพูดออกไปว่า “ฉันไม่ค่อยได้ออกไปไหน ถ้านายมีคนดี ๆ ที่รู้จักก็ช่วยแนะนำไว้ให้หน่อยแล้วกันนะ

 

จางฉุ้ยเหลียนทนฟังต่อไปไม่ได้อีกแล้ว เธอรู้สึกเขินอายเป็นอย่างมาก เธอจึงพูดออกไปว่า “พ่อคะ พอเถอะค่ะ หยุดพูดได้แล้ว รีบดื่มเหล้าเข้าไปเลย

 

เกาจื้อกั๋วหัวเราะ ฮ่า ฮ่า ออกมา เซี่ยจวินเองก็โบกมือไปมาด้วยรอยยิ้ม และพูดว่า “ไม่พูดก็ได้ ไม่พูดก็ได้

 

ในตอนนั้นเอง กัวเจี้ยนจวินก็ได้เอ่ยปากถามขึ้นว่า “ทำไมเธอถึงคิดอยากจะตีพิมพ์บทความลงหนังสือพิมพ์ล่ะ ? อธิการบดีเป็นคนหาสำนักพิมพ์ให้เธอ หรือว่าเธอเป็นคนหาเอง ? ”

 

จางฉุ้ยเหลียนอธิบายค่าต้นฉบับที่เธอเคยได้รับออกไปคร่าว ๆ ถึงแม้ว่าในเวลานี้เธอจะยังรู้สึกเกร็ง ๆ อยู่ไม่น้อย แต่เธอก็ยังเล่าเรื่องราวได้อย่างราบรื่นและไม่มีความเขินอายแต่อย่างใด นั่นจึงทำให้กัวเจี้ยนจวินคิดไม่ถึงเลยว่าจางฉุ้ยเหลียนจะมีความสามารถมากขนาดนี้ ตอนนี้ใบหน้าของเขานั้นก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มไปจนจบมื้ออาหาร

 

หลังจากที่กินข้าวเสร็จแล้ว พวกเขาก็ช่วยกันเก็บจาน จากนั้นไม่นานก็มีกับแกล้มยกมาเสิร์ฟที่โต๊ะอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็น ถั่วลิสง เมล็ดทานตะวัน รวมทั้งลูกแพร์แช่แข็งและลูกพลับแช่แข็งที่ละลายเรียบร้อยแล้ว

 

กัวเจี้ยนจวินนั่งต่ออีกสักพัก เมื่อเขาดื่มชาจนหมดแก้ว เขาก็ลุกขึ้นและขอตัวกลับทันที เกาจื้อกั๋วพยักหน้า จากนั้นเขาก็พูดออกไปว่า “บ้านนายก็ใกล้แค่นี้เอง จะรีบกลับทำไมล่ะ เดี๋ยวฉันจะอยู่ดื่มเหล้าและพูดคุยกับเซี่ยจวินต่ออีกสักพักแล้วกัน นายกลับไปก่อนได้เลย”

 

เมื่อตงลี่หวาได้ยินดังนั้น เธอก็เอ่ยปากพูดออกไปทันทีว่า “ได้ที่ไหนกัน พ่อหนุ่ม เธอจะเดินกลับอย่างนั้นหรือ บ้านเรามีรถจักรยาน เธอยืมจักรยานเราไปก่อนก็ได้นะ”

 

กัวเจี้ยนจวินครุ่นคิดสักพัก จากนั้นก็ยิ้มและพูดกับตงลี่หวาว่า “ก็ได้ครับ ไว้ผมมีโอกาส ผมจะเอามาคืนให้คุณป้าทีหลังนะครับ

 

ในสายตาของตงลี่หวา กัวเจี้ยนจวินก็เหมือนกับลูกเขยคนหนึ่ง หล่อนยิ้มและพูดด้วยความเอ็นดูว่า “ได้ ป้าไม่รีบหรอก เธอรีบไปเถอะ พ่อกับแม่ของเธอคงเป็นห่วงแย่แล้ว

 

หลังจากที่กัวเจี้ยนจวินกลับไปแล้ว ตงลี่หวาก็อดที่จะเดินมาจูงมือจางฉุ้ยเหลียนให้ตามหลอนเข้าไปในห้องไม่ได้ หล่อนปิดประตูลง จากนั้นจึงเริ่มถามถึงเรื่องของกัวเจี้ยนจวินกับจางฉุ้ยเหลียนออกไปอย่างไม่ปิดบังในทันที

 

เกาจื้อกั๋วนอนอยู่บนเตียงตรงข้ามเซี่ยจวิน เขาหัวเราะพร้อมกับชี้ไปทางตงลี่หวาที่อยู่ในห้องและพูดขึ้นว่า  “พี่สะใภ้ยังรู้สึกสนใจเลย”

 

ตงลี่หวาหลุดหัวเราะออกมาทันที “นายเป็นคนพาเขาเข้ามาในบ้าน ฉันรู้ว่านายต้องมีจุดประสงค์อะไรแน่ ๆ ไม่อย่างนั้นนายก็คงจะไม่พาเขามาที่บ้านเราในวันฉลองปีใหม่แบบนี้หรอก ! ”

 

เกาจื้อกั๋วส่ายหน้า : “มันก็ไม่ใช่แบบนั้นหรอก ! ”

 

เซี่ยจวินเองก็คล้อยตาม “ใช่ ๆ เขาไม่ได้เป็นพ่อสื่อหรอก แล้วอีกอย่าง ฉันก็ไม่เคยพูดกับเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อนเลยด้วย ! ”

 

เกาจื้อกั๋วยิ้มพร้อมกับพูดอธิบายออกมาว่า : “ที่ฉันพาเขามาที่นี่ ก็เพราะว่าฉันสนใจเขาจริง ๆ เด็กคนนี้ใช้ได้เลยทีเดียว ต่อไปเขาจะต้องมีอนาคตที่ดีแน่ ๆ  สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือบุคลิกที่ดูอบอุ่นของเขา พวกพี่วางใจได้เลย ที่ฉันมาส่งเขาที่นี่ก็เพราะว่าฉันอยากจะมาเยี่ยมพวกพี่ทั้งสองคนเท่านั้นเอง พอเข้ามาแล้วเจอลูกสาวของพวกพี่ ฉันก็เลยเกิดความคิดนี้ขึ้นมา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องดูวาสนาของเด็กทั้งสองคนด้วย เจอหน้ากันรู้จักกัน หลังจากนี้ก็ขึ้นอยู่กับตัวพวกเขาแล้วล่ะ ว่าจะสานกันต่อหรือไม่ ! ”

 

เมื่อตงลี่หวาได้ฟังหล่อนก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย แต่หล่อนก็ยังไม่วายขมวดคิ้วและถามออกไปว่า “ฟังจากที่นายพูดมา บุคลิกของเด็กคนนี้ก็ไม่เลวเลยทีเดียว แล้วฐานะทางบ้านล่ะเป็นยังไง ? บ้านของพ่อหนุ่มคนนี้ก็ห่างจากบ้านของเราไม่ไกล แต่ทำไมฉันถึงไม่รู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาเขาเลยล่ะ ! ”

 

เกาจื้อกั๋วนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นก็หัวเราะออกมาเบา ๆ และพูดว่า “เรื่องนี้ฉันไม่รู้หรอกนะ แต่ฉันได้ยินมาว่าเขาเพิ่งจะย้ายมาอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน เขาเป็นลูกคนสุดท้อง พี่ชายทั้งสามคนของเขาก็แต่งงานมีครอบครัวกันหมดแล้ว ส่วนพี่สาวอีกสองคนก็แต่งงานแล้วเช่นกัน แต่เขาก็ดูกดดันอยู่ไม่น้อยที่ยังไม่ได้แต่งงาน แล้วอีกอย่างเขาก็หาคนรักยากเพราะเขาอยู่ในกรมทหาร

 

ตงลี่หวากลับไม่คิดอย่างนั้น  “มีทั้งพี่ชายและพี่สาว มีลูกเยอะแบบนี้ ฐานะทางครอบครัวจะต้องไม่ดีอย่างแน่นอน แล้วอีกอย่างคุณสมบัติของจางฉุ้ยเหลียนก็ดี ถึงอย่างไรเราก็ต้องหาคนที่คู่ควรให้กับลูกสาวของเรา

 

เซี่ยวจวินกลอกตาไปมาอย่างจนปัญญา “กว่าลูกสาวของเธอจะเรียนจบก็อีกตั้งหลายปี เธอจะรีบร้อนไปทำไมกันถึงจะคบหากันแล้ว แต่คนที่ยังไม่แต่งงานกัน ก็ไม่สามารถอยู่ร่วมบ้านกันได้ ”

 

เกาจื้อกั๋วพยักหน้าเห็นด้วย “ใช่ ฉันเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน อีกอย่างฉุ้ยเหลียนก็เป็นคนมีการศึกษา ย่อมต้องได้งานดี ๆ ทำอย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าเจี้ยนจวินจะเป็นทหาร แต่มันก็ไม่ได้เป็นงานที่ดีมากนัก”

 

พอดูตรงจุดนี้แล้ว ทั้งสองคนก็คงจะไร้ซึ่งวาสนาต่อกัน ตงลี่หวาได้แต่ทอดถอนหายใจออกมาเงียบ ๆ  น่าเสียดายเด็กหนุ่มคนนี้จริงๆ

 

ส่วนทางด้านกัวเจี้ยนจวิน เขาก็สะพายกระเป๋าทหารปั่นจักรยานกลับมาถึงบ้าน เมื่อแม่ของเขาที่กำลังเดินออกมาจากห้องน้ำเห็นเขาเดินเข้ามาในบ้าน หล่อนก็ร้องตะโกนออกมาด้วยความตกใจในทันทีว่า “เจี้ยนจวิน ? ทำไมลูกถึงปั่นจักรยานกลับมาล่ะ ? ไอ้หยา ลูกปั่นมาไกลแค่ไหนเนี่ย

 

กัวเจี้ยนจวินจอดรถจักรยาน จากนั้นก็เดินคลี่ยิ้มตรงเข้าไปจูงมือแม่ของเขาเดินเข้าไปในบ้าน เขาเดินไปพลางและพูดอธิบายไปพลาง ถึงที่มาของจักรยานคันนี้

 

เมื่อเดินเข้ามาในบ้านเขาก็ต้องรู้สึกตกตะลึงกับกลุ่มคนมากกว่า 20 ชีวิต เขาไม่ได้เห็นความคึกครื้นและมีชีวิตชีวาแบบนี้มานานเท่าไหร่แล้วนะ เหล่าพี่สะใภ้ต่างก็ยกอาหารมาเสิร์ฟให้กับกัวเจี้ยนจวิน แต่เขาก็พูดปฏิเสธออกไปว่า  “ผมเพิ่งจะกินข้าวที่บ้านของเพื่อนเก่าของหัวหน้าทหารของผมเมื่อกี้นี้เองครับ ผมก็เลยยืมจักรยานของเขาปั่นกลับมาที่บ้าน

 

เมื่อได้พูดอธิบายกับทุกคนแล้ว ทุกคนต่างก็ไม่ได้เข้ามาจู้จี้กับเขาอีก

 

“ร้านซ่อมรถอย่างนั้นหรือ ? นายหมายถึงบ้านตระกูลเซี่ยรึเปล่า ? ใช่เถ้าแก่ที่ขาไม่ดีคนนั้นไหม ? ” พี่ชายคนที่สองของกัวเจี้ยนจวินพูดขึ้นมาด้วยความรู้สึกคลับคล้ายคลับคลา

 

“ก็มีร้านซ่อมรถอยู่ร้านเดียวในเมือง ก็ต้องเป็นบ้านของเขานั่นแหละ นึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะเคยเป็นทหารด้วย” เมื่อรู้ว่าเป็นบ้านของใคร ผู้คนที่อาศัยอยู่ในละแวกนั้นต่างก็ประทับใจ

 

“ใช่แล้วล่ะ เถ้าแก่คนนั้นที่มีลูกไม่ได้ เขารับเลี้ยงเด็กสาวคนหนึ่งเป็นลูกบุญธรรม” คนที่กำลังพูดอยู่นี้ก็คือพี่สะใภ้สามของกัวเจี้ยนจวินนั่นเอง ความสนใจของผู้หญิงย่อมไม่เหมือนกับผู้ชาย

 

“อื้อ มีเด็กสาวอยู่ที่บ้านของพวกเขาด้วยคนหนึ่ง ผมได้ยินเขาพูดกับหัวหน้าเก่าของผมว่า ตอนที่เขาอุ้มเด็กผู้หญิงคนนั้นกลับมา หัวหน้าของผมยังไปเล่นกับลูกสาวของพวกเขาหลายครั้ง น่าจะไม่ผิดคนนะครับ อาหารในวันนี้ก็เป็นฝีมือของเธอ เธอทำอาหารคนเดียวตั้ง 10 อย่าง อย่างกับอาหารที่ยกเสิร์ฟจากร้านอาหารอย่างไรอย่างนั้น” กัวเจี้ยนจวินคิดถึงท่าทางใจกว้างของจางฉุ้ยเหลียนขึ้นมา เธอเป็นคนที่มีความสามารถ อีกทั้งยังทำอาหารเก่ง ถ้าเขาได้เธอมาเป็นภรรยา เขาจะต้องมีความสุขมากแน่ ๆ

 

“หน้าตาของเธอก็ดีมากด้วย เธอแต่งงานรึยังล่ะ ? ” นี่เป็นประเด็นสำคัญที่สุดของผู้เป็นแม่ ดวงตาของหล่อนลุกวาวขึ้นมาทันที พร้อมทั้งพูดว่า “ไอ้หยา ที่หัวหน้าเก่าของลูกตั้งใจพาลูกไปที่บ้านของพวกเขา คงจะอยากให้ลูก ๆ ได้เจอกันนั่นแหละ ? ”

 

พี่สะใภ้สามก็เข้ามาร่วมวงสนทนาด้วยอย่างตื่นเต้น “ฉันว่าใช่แน่นอน  ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะให้นายยืมจักรยานมาทำไมล่ะ

 

กัวเจี้ยนจวินขมวดคิ้ว จากนั้นเขาก็ครุ่นคิดอยู่สักพัก ก่อนที่เขาจะส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย “ไม่หรอกครับ ผมเพิ่งลงจากรถไฟวันนี้เอง แล้วก็ตรงไปที่บ้านของหัวหน้าเก่าทันทีเลย ผมและพวกเขาก็ไม่เคยเจอกันมาก่อนด้วย อีกอย่างเด็กสาวคนนั้นก็ยังเรียนอยู่ และพวกเขาก็ไม่ได้รีบร้อนให้เธอแต่งงานด้วยครับ

 

แม่ของกัวเจี้ยนจวินขมวดคิ้วทันที “เธอยังเรียนอยู่อย่างนั้นหรือ ? โตขนาดนั้นแล้วจะเรียนไปทำไมกัน ไม่มีประโยชน์อะไรเลย

 

เมื่อได้ยิมคำพูดของภรรยา พ่อของกัวเจี้ยนจวินก็พูดตำหนิออกไปว่า “ทำไมจะไม่ได้ล่ะ จบแล้วก็จะได้มีงานมีการดี ๆ ทำ ดีกว่าเป็นแม่บ้านอยู่แต่บ้านไม่ใช่หรือ ? ”

 

แม่ของกัวเจี้ยนจวินส่ายหน้า “ไม่ได้สิ คนที่จะมาเป็นภรรยาของเสี่ยวจวินก็ต้องเป็นผู้หญิงที่มีความเป็นแม่บ้านแม่เรือน ไม่อย่างนั้นผู้หญิงคนนั้นก็คงจะออกไปทำงานข้างนอกบ้านทั้งวัน อีกอย่างเสี่ยวจวินก็ไม่อยู่บ้าน แล้วอย่างนี้จะอยู่กันได้นานอย่างนั้นหรือ

 

เมื่อกัวเจี้ยนจวินได้ยินคำพูดของผู้เป็นแม่ เขาก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาทันที เขายิ้มและทำเป็นไม่สนใจเรื่องนี้อีก

 

แต่แม่ของกัวเจี้ยนจวินยังคงคิดไม่ตกกับเรื่องนี้ หล่อนจึงเดินออกไปจากบ้านอย่างเงียบ ๆ หล่อนเดินไปที่บ้านตระกูลหลี่ที่อยู่ข้างบ้าน หล่อนเดินไปหาภรรยาหลี่ที่มีความสัมพันธ์อันดีกับหล่อน จากนั้นหล่อนก็ถามออกไปว่า “ตอนนี้ลูกคนที่สี่ของฉันกลับมาที่บ้าน แต่เขาก็อยู่ได้แค่ 2 วัน เธอเห็นลูกสาวบ้านไหนที่เหมาะสมกับลูกของฉันบ้างไหม ฉันจะได้ถือโอกาสตอนที่เขาอยู่บ้าน พาสาว ๆ เหล่านั้นมาพบเขาที่บ้านเสียเลย ตอนนี้ลูกชายของฉันก็อายุ 25 ปีแล้ว คงรอไม่ได้แล้วล่ะ

 

ภรรยาตระกูลหลี่ครุ่นคิดอยู่สักพัก จากนั้นก็คลี่ยิ้มและพูดว่า “ได้ เดี๋ยวฉันโทรไปถามให้เธอเอง แล้วคืนนี้ฉันก็จะไปปรึกษาหารือกับเธอด้วย

 

อีกด้านหนึ่ง จางฉุ้ยเหลียนก็ได้แต่นั่งอยู่ในห้องนอนของตัวเองด้วยความร้อนใจ

 

กู้จื้อเฉิงนะกู้จื้อเฉิง เรื่องราวต่าง ๆ ตอนนี้มันก็กำลังเบี่ยงเบนไปจากลู่ทางของมันแล้วนะ ฉันควรจะทำยังไงดี ?

 

รีวิวผู้อ่าน