[ซอมบี้จะวิวัฒนาการตามเวลาที่ไหลผ่าน]
ฉันพลิกหนังสือที่ฉันอ่าน
[เมื่อซอมบี้เน่าเปื่อยเต็มรูปแบบแล้ว มันจะกลายเป็นโครงกระดูก แต่ว่ายังไงก็ตาม ถ้าพวกมันสามารถที่จะรักษาร่างกายได้ มันจะกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังยิ่งกว่าเดิม ซึ่งก็คือ ‘กูล’]
ฉันอ่านประโยคด้านล่างต่อ
[ถ้าร่างกายของพวกมันอยู่ในพื้นที่บริเวณทางลบ พลังมารที่เหลืออยู่ในบริเวณนั้นจะคอยช่วยมันในการเร่งการวิวัฒนาการขึ้น ผิวหนังและกระดูกของพวกมันจะแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม]
อืม….
[โครงกระดูกที่ได้รับสติปัญญาระดับหนึ่งจะเริ่มถืออาวุธ นั่นหมายความว่า พวกมันสามารถที่จะวิวัฒนาการไปเป็นนักรบหรือนักธนูได้ ถ้าพวกมันไม่ตายลงไปก่อน พวกมันจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้นเรื่อยๆ]
ฉันพลิกหน้าต่อไป
[พวกมันต่างโหยหาพลังมารที่ทรงพลัง พวกมันยังปรารถนาในการมีร่างกายที่แข็งแรง และนั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมพวกมันถึงมุ่งหน้าไปยัง ‘ดินแดนวิญญาณแห่งความตาย’]
ฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนที่อบอุ่นทำให้ร่างกายของพวกมันอ่อนแอลง พลังมารก็จะจางหายไป เมื่อพบกับแสงแดดอุ่น และอย่าลืมไปว่า พื้นที่บริเวณทางลบก็จะอ่อนแอลง ภายใต้แสงแดด
นั่นคือหนึ่งในเหตุผลที่ว่าทำไมพวกมันถึงเดินทางไปยังดินแดนวิญญาณแห่งความตาย เพราะว่ามันเป็นสถานที่พื้นที่ทางลบที่เต็มไปด้วยพลังมาร
และอีกอย่างหนึ่ง..
[เมื่อฤดูใบไม้ร่วงจบลง และฤดูหนาวมาเยือน สัญชาตญาณของพวกอันเดทจะถูกปลุกขึ้น ซึ่งเป็นสัญชาตญาณที่พวกมันปิดไว้อยู่ตลอดเวลา]
สัญชาตญาณของอันเดท
มันคือความหิวกระหายในการกินสิ่งมีชีวิตและเพิ่มจำนวนของพวกมันให้เพิ่มมากขึ้น
[นี่คือ ‘คลื่นแห่งความตาย’ ในช่วงเวลาที่เย็นยะเยือกที่สุดในฤดูหนาวของทุกปี พวกอันเดทที่เร่ร่อนไปทั่วทวีปจะรวมตัวเข้าหาดินแดนวิญญาณแห่งความตาย สัญชาตญาณของพวกมันจะถูกปลดปล่อย นี่คือฤดูที่ร่างกายของพวกมันจะไม่เน่าเปื่อย พวกมันจะกระจายตัวไปทั่วทวีปและกลืนกินสิ่งมีชีวิต และช่วงเวลานี้คือประมาณ…]
“มันอีกประมาณหนึ่งเดือนสินะ ก่อนที่จะถึงวันแห่งโชคชะตา”
ฉันปิดหนังสือ ในขณะที่พึมพำไปมา
ฉันลุกขึ้นมาจากที่นั่งและเก็บหนังสือคืนไปยังสถานที่เดิมในห้องสมุดของโบสถ์
“ให้ฉันเป็นคนจัดการเถอะค่ะ”
ยังไงก็ตาม หญิงสาวผมเงินหยุดฉันจากสิ่งที่ฉันทำ
เด็กสาวในชุดแม่ชีหยิบหนังสือขึ้น ในขณะที่ยังคงมีใบหน้าที่นิ่งเฉย
ชื่อของเธอคือชาร์ลอตต์ และด้วยเหตุผลบางอย่าง เธอเริ่มมาเยี่ยมโบสถ์อยู่บ่อยครั้ง หลังจากเหตุการณ์ฝูงซอมบี้ที่เกิดขึ้น
ฉันได้ยินมาว่าชาวนากริลได้รับเธอมาเป็นลูกสาวบุญธรรมหรืออะไรแบบนั้น ตอนแรกเขาไม่ค่อยอยากที่จะรับเธอมาเป็นลูกสาวบุญธรรม แต่ในตอนนี้เขาตัดสินใจรับผิดชอบรับเลี้ยงเธอ
“อื้ม ได้สิ”
เด็กสาวพยักหน้าและวางหนังสือกลับลงไปบนชั้นวางหนังสือ
ฉันไม่สามารถที่จะบอกได้ว่าเธอได้รับผลกระทบมาจากอาการตกใจจากการเสียครอบครัวหรืออะไรแบบนั้นหรือเปล่า แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างแล้ว เธอตัดสินใจที่จะเข้าไปในโบสถ์และทำงานเป็นแม่ชีที่นี่
ไม่ต้องพูดถึงข้าวเช้า ข้าวกลางวัน และข้าวเย็นเลย เธอยังรับหน้าที่จิ๊บจ๊อยอย่างการทำความสะอาดในโบสถ์ รวมทั้งดูแลสุสานอีก
มันสะดวกสบายกับฉันมาก แต่เมื่อผ่านไปสักพักหนึ่ง ฉันก็ยังคงนึกถึงภาพที่เธอถือมีดครัวที่อาบไปด้วยเลือด และอาการเย็นยะเยือกก็ไหลวูบไปทั่วแผ่นหลังของฉัน
เอาเถอะ การสมัครใจในการทำหน้าที่แบบนี้มันคงจะอยู่ไม่นาน อีกสักพักเธอคงจะจากไป เมื่อเธอเริ่มเบื่อที่จะเล่นเป็นคนรับใช้ น่าจะนะ
ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถที่จะกลายเป็นแม่ชีได้
ในโลกใบนี้ ความเชื่อนั้นแบ่งออกเป็นหลายศาสนา
ตราบเท่าที่มันไม่ได้ทำร้ายผู้อื่น คำสั่งธรรมดาทั่วไปก็ถูกยอมรับว่าเป็นศาสนาได้อย่างง่ายดาย ในอีกความหมายหนึ่ง ถ้ามันทำร้ายผู้อื่นแล้ว พวกมันก็จะถูกเรียกเป็นพวกศาสนานอกรีตกันอย่างรวดเร็ว
อีกอย่างหนึ่ง คือคุณสามารถที่จะแต่งงานได้ แม้ว่าจะเป็นแม่ชีก็ตาม ดังนั้นหญิงสาวหัวเงินที่อยู่ด้านหน้าฉันคงจะไปจากโบสถ์นี้ หลังจากที่ตกหลุมรักกับเด็กหนุ่มสักคน
ใบหน้าฉันยังคงบูดบึ้ง ก่อนที่ฉันจะเดินตรงผ่านเธอไป ฉันเปิดประตูของห้องสมุด และเดินออกไปด้านนอก แต่พบกับใครบางคนยืนปิดทางฉันอยู่
“มีอะไร? ฉันถาม
พวกเขาต่างเป็นอัศวินที่สวมชุดเกราะสีขาวตั้งแต่หัวจรดเท้า พวกเขาคือพาลาดินจากราชสำนักจักรวรรดิทีโอเครติค เพื่อที่จะคอยสอดส่องหลานชายองค์ที่เจ็ด ซึ่งก็คือฉัน
หนึ่งสัปดาห์ได้ผ่านไปแล้วตั้งแต่เหตุการณ์ซอมบี้นั่น
ฉันมัวแต่ยุ่งกับการเสาะหาซอมบี้เร่ร่อนทุกตัวที่เดินไปมา เพื่อทำพิธีศพให้กับพวกมัน จนแทบลืมเวลาไปเลย
มันพึ่งจะเมื่อวานที่พวกเราพึ่งจะเสร็จกับทุกสิ่งทุกอย่าง หลังจากพื้นที่รอบข้างปลอดภัยอีกครั้งหนึ่ง หัวหน้าหมู่บ้านก็ส่งสารออกไปยังเจ้าเมืองที่อยู่ใกล้ที่สุด มันใช้เวลาเดินทางไปกลับประมาณหนึ่งวัน แต่เพียงครึ่งวัน พวกพาลาดินเหล่านี้ก็ปรากฏตัวขึ้น
พวกเขาจ้องฉันตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนที่จะกวาดตามองไปชาร์ลอตต์ที่อยู่ห่างออกไป
“แม่ชี?”
โบสถ์แห่งนี้นั้นว่างเปล่า ก่อนที่ฉันจะปรากฏตัวขึ้น
พวกเขาต่างสับสนกับการปรากฏตัวของแม่ชีที่เรียนรู้ศาสนาในที่แห่งนี้
ฉันตั้งใจพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเหน็บแหนม “ใช่ เธอถูกส่งมาจากหมู่บ้านแถวนี้ เธอศึกษาด้านความเชื่อด้วยความขยันขันแข็งด้วย อ๊า เธอยังสมัครใจมาคอยดูแลฉันอีก และเธอไม่สนใจว่ามันจะเป็นช่วงเช้าหรือมืดด้วยซ้ำ” อย่าลืมไปว่า เธอยังคอยดูแลฉัน แถมยังจัดการอาหารให้ทุกมื้ออีก “เอาละ ฉันจะทำยังไงดีนะ? เธอไม่ใช่คนรับใช้ แต่เป็นแม่ชี ฉันจะปฏิเสธผู้ศรัทธาในเทพีได้ยังไงกัน ใช่ไหมละ?”
ฉันพูดต่อด้วยน้ำเสียงกวน
หัวหน้าพาลาดินหันมามองฉันแทน “พวกเราได้รับการแจ้งมาว่าท่านได้จับกุมแม่มดมอร์กาน่า”
หื้อ! ดูเจ้านี่สิ ไม่มีแม้แต่ทักทาย แต่พูดเข้าเรื่องทันทีเลยนะ!
เขาปฏิบัติตัวกับฉันแบบนี้เพราะฉันเสียสถานะในการเป็นผู้สืบทอดจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ไปงั้นเหรอ?
“ถูกต้อง ชาวบ้านจับผู้หญิงเวรนั่นไป”
“ครับ ผมได้ยินแล้ว” เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเหมือนกับหุ่นยนต์ ก่อนที่จะพยักหน้า “พวกเราได้ยินมาว่า ท่านได้สู้ร่วมกับชาวบ้านอย่างดุเดือด เพื่อทำให้พวกเขารอดชีวิต”
ฉันสู้ร่วมกับชาวบ้านอย่างดุเดือด?
เอาเถอะ ถ้านายพูดถึงการต่อสู้กับซอมบี้ที่อยู่ใกล้กับโบสถ์แล้ว....
“พวกเรายังได้ยินมาว่าพวกท่านถูกล้อมโดยราชาแห่งความตะกละ และสู้กับพวกมันด้วยอาวุธทำนาอีก”
“เอ๋?”
“แม้ว่ามันจะมีซอมบี้นับร้อยตัวล้อมรอบพวกท่านอยู่ ชาวบ้านยังคงจัดการกับอันเดทได้ในตอนสุดท้าย และยังพบสถานที่ที่เนโครแมนเซอร์ซ่อนตัวอยู่อีก”
“โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่ชื่อกริล เขาพูดว่าเขาจัดการซอมบี้ไปกว่าสามสิบตัวและยังใช้น้ำศักดิ์สิทธิ์ราดใส่แม่มดมอร์กาน่า จนทำให้เธอจนมุม..”
กริลเอ้ยยย ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เอ็งกลายเป็นชาวนาที่ไร้ผู้ต้าน ไร้ความหวาดกลัวแบบนี้กัน? เอ็งกล้าที่จะพูดไร้สาระได้ถึงระดับนี้เลยเรอะ? ฉันจำได้ว่าฉันเห็นเอ็งร้องไห้ขี้แงอย่างกับเด็กทารกนี่นา แถมยังจัดการกับซอมบี้สักตัวไม่ได้ด้วยซ้ำ เรื่องที่ฉันเห็นมันเป็นเรื่องโกหกเรอะ? ฉันจำไม่ได้เลยว่าเอ็งกลายเป็นคนที่มีจิตใจกล้าแกร่งราวกับพวกพระเอกจากในนิยายสักหน่อย ซึ่งไอ้พวกพระเอกเหล่านั้นมันต่างซ่อนพลังไว้อย่างโง่เขลาแบบนั้นนะ!
“ผมรู้ว่ามันเป็นเรื่องที่เว่อเกินจริง แต่ว่า...” หัวหน้าพาลาดินพูดต่อ ในขณะที่สายตาของเขามองออกไปนอกหน้าต่าง เขาสามารถที่จะเห็นหลุมศพที่ถูกทำขึ้นมาใหม่ ในช่วงเจ็ดวันที่ผ่านมา ซึ่งมันต่างเต็มไปด้วยศพของผู้ตายกว่าหลายร้อยศพ “...แต่มันเหมือนจะเป็นเรื่องจริง”
“มันเป็นเรื่องเว่อเกินจริงอย่างแน่นอน เจ้าเป็นพาลาดินใช่ไหม? อย่าไปฟังคำพูดของคนแปลกหน้าที่พูดกับเจ้าสิ”
แน่นอนว่าเจ้าคนนี้คงจะจินตนาการไม่ออกหรอกว่า ฉันได้ฆ่าซอมบี้ทั้งหมดไปด้วยตัวเอง ซึ่งมันรวมถึงราชาแห่งความตะกละด้วย มันเป็นเรื่องที่เว่อเกินจริงอย่างมาก แต่เรื่องเล่านั้นไม่ใช่เรื่องโกหกไปทั้งหมด ตั้งแต่ที่ชาวบ้านยังช่วยฉันในการเอาชีวิตรอดด้วยเหมือนกัน
“ยังไงก็ตาม เจ้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อยืนยันเรื่องนี้ใช่ไหมละ?” ฉันพูดออกมาด้วยน้ำเสียงต่ำ
“ท่านรู้ไหมว่ามอร์กาน่ามีความสัมพันธ์กับองค์กรทมิฬ?”
“อืม เธอบอกฉันมา หลังจากที่ฉันสอบปากคำกับเธอมา”
นี่มันเรื่องอะไรกัน? ฉันก็ยังสามารถได้ยินจากคนพวกนี้เนี่ยนะ? ยัยโมเรียนนั่น เธอพูดเหมือนกับเป็นความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกนี้ด้วยซ้ำ
“เธอเป็นอาชญากรที่ชั่วร้ายและต่ำทรามมาก เธอเป็นผู้ต้องสงสัยในการทำให้หมู่บ้านห้าแห่งล่มสลายไปในอดีต”
ว้าว เธอแม่งเป็นแม่มดสารเลวจริงด้วย!
เห้ย นี่มันบ้าอะไรกัน? ฉันไปสู้กับยัยบ้าแบบนั้นมาเนี่ยนะ?
“เกิดอะไรขึ้นกับแม่มดกันครับ ท่านฝ่าบาท?”
“ไม่ใช่เจ้าได้ยินจากชาวบ้านแล้วเหรอ? เธอถูกกระทืบจเนกือบตายและถูกแขวนอยู่ในป่านั่นไง”
“ท่านเป็นคนทำมันงั้นเหรอ ฝ่าบาท?”
“ไม่ใช่”
ฉันปฏิเสธทันที
เจ้าบ้าหรือเปล่า? ฉันที่ยังเป็นเด็กหนุ่มที่มีหัวใจบอบบางแบบนี้จะกล้าทำที่เรื่องโหดร้ายและต่ำทรามแบบนั้นได้ยังไงกัน? หัวใจของฉันบริสุทธ์ราวกับหญิงพรหมจารีย์ด้วยซ้ำไป
แน่นอนว่าฉันไม่ได้พูดสิ่งที่อยู่ในหัวออกไป
เจ้านี่คงจะอ้วกออกมาแน่ ถ้าฉันพูดออกไป นั่นคือเหตุผลที่ฉันทำอีกอย่างแทน