px

เรื่อง : หลานชายของจักรพรรดิศักดิสิทธิ์เป็นเนโครแมนเซอร์
Chapter 19: เป็นเจ้าชายนี่มันโคตรเหนื่อยเลย - 2 (ส่วนที่ 1)


 

**

 

ในที่สุดช่วงเวลาผ่อนคลายก็มาถึงจุดสิ้นสุด และช่วงพีคซีซั่นก็มาถึงพร้อมกับเจ้ากรรมนายเวรที่มารออยู่หน้าประตู

 

นับจากวันนี้เป็นต้นไปฉันจะต้องเตรียมตัวให้พร้อมและรับมือกับการทำพิธีศพอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่นั้น ฉันจะต้องจัดการเรื่องพวกนี้ในช่วงที่หนาวที่สุดและโหดร้ายที่สุดของปีด้วย

 

“พวกเรามาที่นี่เพื่อคุ้มกันท่านครับ”

 

พาลาดินโผล่หน้ามาอีกครั้งตามสัญญาที่บอกว่าอีกหนึ่งเดือน

 

ฉันห่อตัวเองเอาไว้ในผ้าห่มถูกๆและปีนขึ้นไปบนรถม้า

 

แม่ง โคตรจะหนาวเลย! ฉันอาจจะแข็งตายในระหว่างที่ทำงานในสภาพอากาศห่วยๆแบบนี้ก็ได้ ถ้าฉันไม่ต้องตัดแขนหรือขาจากเรื่องซวยๆก็คงจะถือว่าโล่งอกสุดๆแล้ว

 

หลังจากตัดผ่านป่าภูเขาที่สูงฉัน ในที่สุดพวกเราก็มาถึงหมู่บ้านที่อยู่ใกล้กับโบสถ์มากที่สุด ชาวบ้านได้เก็บสัมภาระของพวกเขาหมดแล้วและกำลังเดินทางออกจากบ้านของพวกเขาอย่างค่อยเป็นค่อยไป กริลกับชาร์ลอตต์เองก็อยู่ในกลุ่มด้วย

 

เธอกำลังแบกสัมภาระที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวเองอยู่ ซึ่งถือว่าเป็นภาพที่ค่อนข้างจะน่าเหลือเชื่อเลย เธอเห็นฉันอยู่ข้างในรถม้าและก้มศีรษะทำความเคารพเล็กน้อย

 

โห นี่เธอ เธอค่อนข้างแข็งแกร่งเลยไม่ใช่หรอ? บางทีน่าจะแข็งแกร่งกว่าฉันด้วยหล่ะมั้ง?

 

ฉันเดาะลิ้นอยู่ข้างใน

 

ชาวบ้านทุกคนกำลังอพยพไปที่โรเนียเพื่อหนีจาก ‘คลื่นแห่งความตาย’ ที่กำลังจะมาถึง

 

“คลื่นแห่งความตายที่ว่าเนี่ยมีระดับความรุนแรงใหญ่ขนาดไหน?”

 

ฉันมีความรู้สึกว่าหนังสือส่วนใหญ่ที่ฉันอ่านเกี่ยวกับเรื่องนี้มันใส่อารมณ์ความรู้สึกเข้าไปมากจนเรื่องมันดูเกินจริงสุดๆ อย่างไรก็ตาม ถ้ามันอันตรายอย่างที่ว่าจริงๆ มันก็ค่อนข้างจะเป็นปัญหากับฉันอย่างไม่ต้องสงสัยเลย

 

“ขนาดความรุนแรงที่แน่นอนนั้นพวกเรายังไม่ทราบครับเจ้าชาย แต่พวกเรามั่นใจว่าพวกเราจะถูกโจมตีอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหนึ่งเดือนซึ่งตรงกับช่วงที่หนาวที่สุดของปีพอดี แค่จากเมื่อปีที่แล้ว พวกเราได้เจอกับสิ่งมีชีวิตอันเดทประมาณห้าพันตัวโผล่มาโจมตีป้อมปราการตลอดหนึ่งสัปดาห์และในวันที่ 25 ธันวาคมก็เป็นวันที่ราชาเนโครแมนเซอร์ตายครับ พวกเราได้บันทึกเอาไว้ว่าเป็นช่วงที่เจออันเดทมากที่สุดเท่าที่เคยเกิดคลื่นมาเลย”

 

ห้าพันเลยหรอ...

 

“ตอนนั้นมีคนประจำการอยู่ที่ป้อมกี่คน?”

 

“โรเนียมีกำลังรบที่แข็งแกร่งประมาณสองหมื่นคนประจำอยู่ตลอดเวลา พร้อมกับมีนักโทษจำนวนมากถูกส่งเข้าไปอย่างสม่ำเสมอเพื่อเติมเต็มตำแหน่งที่ว่าง นอกจากนี้พวกเรายังมีอาชญากรเพิ่มเข้ามาด้วย โดยมีจำนวนประมาณสองพันคนหรือมากกว่า ซึ่งมีกำหนดการเข้าร่วมการจัดอันดับของเราในอนาคตอันใกล้นี้ครับ เจ้าชาย”

 

อืม ถ้าเป็นแบบนี้มันก็ไม่น่าจะอันตรายขนาดนั้นไม่ใช่หรอ?

 

ฉันหันไปมองโรเนียที่อยู่ไกลๆ

 

โชคไม่ดีที่ป้อมปราการนั้นไม่ได้ใหญ่โตเท่าที่ฉันหวังเอาไว้ หรือถ้าให้ฉันพูดแบบไม่ไว้หน้าเลยก็คงต้องบอกว่ามันค่อนข้างโกโรโกโส

 

กำแพงปราสาทจริงๆแล้วมันก็คือการเอาไม้มารวมๆกันทำเป็นรั้วและเอาหินมาทำเป็นสิ่งกีดขวาง พวกมันมีความสูงแค่ประมาณสิบสองเมตร แต่ว่ามันก็ยังล้อมรอบโรเนียเอาไว้ได้โดยไม่มีช่องให้เห็นเหมือนกับเพื่อเน้นย้ำบทบาทของพวกมันในการปกป้องเมืองที่ซ่อนอยู่ข้างใน

 

ที่แห่งนี้ถูกเรียกว่า ‘ปราสาทแห่งการเสียสละ’ ใช่ไหม? ที่แห่งนี้คือสถานที่ที่ ‘ผู้เสียสละ’ มารวมตัวกันเพื่อยับยั้งความโกรธของคนตายสินะ?

 

“ถ้าแค่กำแพงพวกนี้เป็นเหมือนกำแพงจากเกมส์ออฟXX...ก็คงจะดี”

 

ด้วยอำนาจของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ กำแพงป้องกันที่ลอกแบบมาจากกำแพงเมืองจีนในแง่ของขนาดคงจะถูกสร้างไปแล้ว แน่นอนว่า การสร้างกำแพงที่ยิ่งใหญ่แบบนั้นไม่ได้หมายความว่าจะสามารถตรวจตราความยาวอันมากโขของมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ และถ้ามีจุดนึงถูกโจมตีอย่างหนัก กำแพงก็คงจะถูกทะลวงได้อย่างง่ายดาย

 

นี่คือสาเหตุที่ทำไมการรวบรวม ‘คนเป็น’ มาไว้ในจุดเดียวกันเพื่อล่อฝูงอันเดทขนาดใหญ่และหยุดพวกมันที่นั่นเลยจึงเป็นวิธีที่ฉลาดกว่า

 

หนึ่งเดือน

 

เมื่อช่วงเวลาหนึ่งเดือนผ่านพ้นไป ‘คลื่นแห่งความตาย’ ก็จะอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญ ถ้าพวกเราสามารถทนได้นานขนาดนั้นหล่ะนะ

 

และเมื่อฤดูใบไม้ผลิอันอบอุ่นกับฤดูร้อนมาถึง คนตายก็จะกลับไปยังดินแดนทางเหนือที่ห่างไกลอีกครั้งเพื่อไปยังดินแดนวิญญาณแห่งความตายเพื่อที่จะรักษาร่างกายของพวกมันไม่ให้เน่าเปื่อยและสั่งสมพลังมารให้มากขึ้นไปพร้อมกันด้วย

 

“มีนักโทษอยู่ที่นี่เยอะจริงๆด้วย” ฉันแสดงความคิดเห็น

 

มีขบวนนักโทษและทาสแถวยาวเหยียดที่ถูกใส่กุญแจมือเอาไว้ด้วยกันกำลังถูกส่งตัวเข้าไปในโรเนียในช่วงเวลาเดียวกันกับที่คณะเดินทางของพวกเรามาถึง พวกเขาเป็น ‘ทหาร’ แค่ในนามที่ถูกมอบหมายให้มาป้องกัน ‘คลื่นแห่งความตาย’ ที่กำลังจะมาถึง

 

พวกเขาทุกคนน่าจะเป็นอาชญากรที่เคยก่อคดีร้ายแรงจึงถูกตัดสินโทษหนัก คล้ายๆกับโทษประหารหรือจำคุกตลอดชีวิต

 

นักโทษทุกรูปแบบได้ถูกพาตัวมาที่นี่ ตั้งแต่นักโทษฆ่าคนตาย นักโทษข่มขืน จนถึงกลุ่มโจรติดอาวุธ พวกเขาค่อนข้างเหมาะสมที่จะถูกใช้เป็นเครื่องสังเวย ในแง่หนึ่งนี่ก็ถือว่าเป็นวิธีที่ชาญฉลาดและสมเหตุสมผลในการจัดการกับเรื่องแบบนี้ แต่ว่า...

 

“มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดนะ! ข้าแค่ขโมยขนมปังก้อนเดียวเอง! ข้าไม่ได้ฆ่าใครซักหน่อย....เจ้านั่น....ไอ้เจ้าสารเลวพารอน มันใส่ร้ายข้า....!”

 

มีนักโทษคนนึงที่ขัดขืนอย่างเต็มที่ และถูกทหารที่ประจำการอยู่บริเวณนั้นอัดจนฟกช้ำดำเขียว

 

ฉันไม่สงสัยเลยว่ามันต้องมีคนจำนวนไม่น้อยที่ถูกกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรมในกระบวนการสับเปลี่ยนนี้ ไม่ว่าความจริงจะเป็นยังไง การเสียสละของพวกเขาก็เพื่อรับรองว่าคนที่เหลือในทวีปจะได้เพลิดเพลินกับความสงบสุขไปอีกหนึ่งปี

 

“เดี๋ยวก่อนนะ ตอนนี้ฉันจะไม่ได้ถูกส่งไปต่อสู้ที่แนวหน้าใช่ไหม?”

 

ในเมื่อเรื่องแบบนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ ฉันจึงรู้สึกว่าฉันต้องกดดันให้ชี้แจงเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด

 

หัวหน้าพาลาดินพูดขึ้นมา “แน่นอนว่าไม่อยู่แล้วครับเจ้าชาย มีแค่นักโทษเท่านั้นที่จะถูกบังคับให้ไปต่อสู้ที่แนวหน้า”

 

อืม แบบนั้นค่อยโล่งอกหน่อย

 

“บทบาทของท่านก็คือการรักษาคนเจ็บและทำพิธีศพให้ผู้ที่จากไปครับเจ้าชาย ทุกๆปี พวกเราจะมีเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายประมาณสองถึงสามพันคน”

 

เอ่อ แบบนั้นมันไม่เรียกว่าโล่งอกแล้ว

 

“แล้วนักบวชคนอื่นๆที่จะมาช่วยฉันมีกี่คน?”

 

“นอกจากท่านมีนักบวชประมาณแปดสิบคนที่สามารถทำพิธีชำระล้างได้ครับ แต่ว่า จะมีพวกทหารคอยช่วยท่านเรื่องพิธีศพด้วย”

 

“นี่เจ้าเอาจริงหรอที่บอกว่ามีคนแค่แปดสิบคนที่ต้องทำหน้าที่รักษาคนอย่างน้อยสองพันคน ยิงไปกว่านั้นยังต้องทำพิธีศพให้คนตายด้วยเนี่ยนะ?”

 

“เจ้าชาย ถ้าท่านพิจารณาว่าอันเดททั้งหมดมาจากดินแดนวิญญาณแห่งความตาย การประเมินของท่านก็ควรจะเพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อยสามเท่าครับ”

 

“...”

 

“แม้ว่าท่านน่าจะได้เจอกับบางส่วนที่ตายจากทำงานหนักมากเกินไปในฝั่งเราเป็นบางครั้ง แต่ในท้ายที่สุดมันจะเป็นผลดีกับทางฝั่งเราครับเจ้าชาย”

 

เห้ย เจ้า สารภาพมาตามตรงเลยนะ เจ้าเป็นนักฆ่าที่จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ส่งมาใช่ไหม?

 

ฉันจ้องพวกเขาด้วยความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด แต่พวกพาลาดินทุกคนกลับเมินสายตาที่แสดงความไม่พอใจออกมาชัดเจนของฉันอย่างรู้ดี

 

พวกเราไปถึงโรเนียในเวลาไม่นานและฉันก็ถูกเรียกไปหาผู้ปกครองเมืองแห่งนี้ในทันที เจ้าเมืองเป็นชายวัยสี่สิบกลางๆที่ดูน่าจะเก่งรอบด้านซึ่งมีหนวดเด่นเป็นสง่าที่ได้รับการดูแลค่อนข้างดี

 

ฉันได้ยินมาว่าเขาถูกลดขั้นให้มาอยู่ในที่แห่งนี้เนื่องจากตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าทำการยักยอกภาษีส่วนนึงที่มีไว้สำหรับวังหลวง

 

แบบนั้นมันก็สมควรหล่ะนะ ถูกไหม?

 

“ยินดีต้อนรับครับ เจ้าชาย!”

 

ด้วยเหตุผลบางอย่างเจ้าเมืองปฏิบัติกับฉันค่อนข้างดีใช้ได้เลย

 

“นี่ครับ นี่ครับ เชิญรับชาครับเจ้าชาย แล้วก็พวกเรามีเครื่องดื่มอื่นๆให้ท่านได้เพลิดเพลินด้วย อ้ะ ท่านอาจจะรู้สึกไม่สบายตัว สนใจอาบน้ำอุ่นๆผ่อนคลายหน่อยไหมครับ...?”

 

ลืมเรื่องที่เป็นเจ้าเมืองไปเถอะ เขาทำตัวเหมือนคนรับใช้มากกว่าจากท่าทีที่เขาโค้งคำนับให้และถูมืออยู่ตลอด

 

ฉันพอจะเดาสาเหตุที่เขาทำดีกับฉันอย่างเปิดเผยแบบนี้ได้แล้ว หลักๆเขาคงอยากจะกลับไปอยู่เขตดูแลเดิมของเขาโดยหวังใช้อำนาจของหลานชายจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ เจ้าชายของจักรวรรดิ ซึ่งก็คือฉันเอง

 

“...”

 

ฉันเริ่มรู้สึกแล้วว่าบางที ฉันน่าจะเคยดื่มด่ำกับสถานะที่ยิ่งใหญ่กว่าที่ฉันคิดเอาไว้ในตอนแรกเยอะ

 

ฉันนึกถึงท่าทีการปฏิบัติของชาวบ้านที่อยู่รอบตัวฉันจนถึงตอนนี้ จากนั้นก็จ้องไปที่พวกพาลาดินที่ยังคงเมินฉันอยู่ อ่า พวกเขายังคงยืนเงียบกริบอยู่รอบๆ

 

เห็นไอ้พวกหน้าด้านพวกนี้ใช่ไหม?

 

“แล้วก็ เจ้าชายครับ.... พวกเราจะเตรียมอาหารอุ่นๆให้ท่านในทันที เพราะฉะนั้น...”

 

“เอาห้องมาให้ฉันห้องนึง”

 

“ครับ?”

 

“ฉันอยากพักผ่อนซักหน่อย แล้วก็อยากได้ใครซักคนมาคอยรับใช้ฉันในระหว่างที่อยู่ที่นี่ด้วย”

 

คนรับใช้หญิงคนนึงเข้ามาหาพวกเราแล้วจัดเรียงของกินเล่นกับชาดำเอาไว้ให้บนโต๊ะ ฉันมองเธอด้วยรอยยิ้มแทะโลม

 

เธอสะดุ้งด้วยความตกใจแล้วเริ่มตัวสั่นระริก

 

รีวิวผู้อ่าน