นี่ทำให้เจ้าเมืองแสดงท่าทีลำบากใจในทันที จากนั้นเขาก็เหลือบมองพาลาดินแล้วพูด “จ..เจ้าชายครับ แบบนั้นคงจะไม่ค่อยดีนะครับ”
เจ้าเมืองผู้ชั่วร้ายคงไม่ลังเลที่จะประเคนคนใช้ต่ำต้อยมาให้ในฐานะเครื่องสังเวย อย่างไรก็ตาม ด้วยพวกพาลาดินที่คอยจับตาดูฉันอยู่รอบๆในระหว่างการประชุมนี้ เขาคงไม่สามารถทำเรื่องห่ามๆแบบนั้นได้
เจ้าเมืองคนนี้เป็นคนที่เข้าใจอะไรเร็วดีจริงๆ และฉันก็ชอบแบบนี้ ใช่แล้ว มันคงจะไม่ค่อยดีจริงๆถ้าสาวใช้เข้ามาเยี่ยมห้องฉันในเวลาที่ไม่สมควร เพราะนั่นอาจจะเป็นปัญหาใหญ่สำหรับฉันได้
“อย่าเข้าใจผิดไปสิ ฉันแค่อยากจะผ่อนคลายเฉยๆ มันก็เท่านั้นเอง” ฉันสร้างความมั่นใจให้เขา
เจ้าเมืองยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน “อะ ฮ่าฮ่า! บ..แบบนั้นเองหรอครับเจ้าชาย? ถ้าอย่างนั้นโปรดตามข้ามาเถอะ ข้าจะพาไปดูที่พักของท่านครับ”
เขาลุกขึ้นพรวดจากที่นั่งของเขาและเรียกคนใช้ ในระหว่างนั้น ฉันก็เหลือบมองหัวหน้าพาลาดิน
เขากำลังเฝ้าสังเกตฉันจากช่องว่างของหมวก ฉันรู้สึกได้เลยว่าเขากำลังขมวดคิ้วอยู่
นั่นแหล่ะ จับตาดูให้ดีๆหล่ะพวก! ฉันยังเป็นไอ้โง่จอมหื่นอยู่! เพราะฉะนั้นช่วยกลับไปที่บ้านแล้วโน้มน้าวพวกคนที่จ้างนักฆ่าให้เชื่อหน่อยได้ไหม? ฉันหมายถึง ที่นั่นพวกนั้นก็มีการแข่งขันค่อนข้างหนักอยู่แล้วใช่ไหมหล่ะ? พวกนั้นจะหาเวลามาห่วงเรื่องไอ้โง่ที่ถูกเนรเทศอย่างฉันได้หรอ?
ฉันแค่อยากจะใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายที่นี่ การใช้ชีวิตแบบที่ต้องมาคอยหนีนักฆ่ากระหายเลือดอยู่เรื่อยๆนั้นคือชะตากรรมที่ฉันอยากหลีกเลี่ยงด้วยทุกอย่างที่มี เข้าใจใช่ไหม?
ฉันถูกนำทางมาถึงห้องของฉันในเวลาไม่นาน
มีคนรับใช้ผู้ชายอยู่คนนึงถูกสั่งให้มารับใช้ฉัน ซึ่งมันก็แน่อยู่แล้วแหล่ะนะที่จะไม่ใช่ผู้หญิง นอกจากนี้ก็มีพาลาดินคนนึงคอยตามติดอยู่ใกล้ๆด้วยเหมือนกับว่านับจากนี้ไปเขาจะเป็นคนเฝ้าสังเกตการฉัน
ห้องที่ฉันถูกพามานั้นค่อนข้างสะอาดและดูธรรมดา แต่อย่างน้อยเตียงนุ่มๆมันก็ยังดีกว่าแผ่นไม้แข็งๆที่ฉันใช้ตอนอยู่ในโบสถ์เป็นล้านเท่าหล่ะนะ แถมยังมีเตาผิงที่ช่วยคลายความหนาวด้วย
ฉันรู้สึกว่าการจัดเตรียมนี้ค่อนข้างน่าพอใจเลยทีเดียว
ฉันหันไปแล้วจ้องมองทั้งคนรับใช้ชายกับพาลาดิน พาลาดินนั้นยืนนิ่งเหมือนรูปปั้นที่ได้รับมอบหมายให้เฝ้าประตู ในขณะที่คนรับใช้รอรับคำสั่งของฉันอย่างเป็นกังวล
ซึ่งนี่ก็พอเข้าใจได้อยู่ หลานชายของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์คนนี้มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ในเรื่องที่ชอบตบคนรับใช้ที่อยู่ใกล้ๆ เรื่องราวที่ไม่น่าฟังทั้งหลายแหล่ของเจ้าชาย ‘ตัวบัดซบ’ ต้องมาถึงที่แห่งนี้แล้วก่อนวันที่ฉันจะมาถึงอย่างแน่นอน
มันไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลยกับการที่คนใช้คนนี้แอบปิดบังแก้มของเขาเอาไว้ในขณะที่รอฉันอย่างเป็นกังวล
“ไปเอาน้ำสะอาดๆมาให้หน่อย”
“น้ำหรอครับ....?”
คนใช้มีท่าทีประหลาดใจ
“ก็ใช่หน่ะสิ แล้วก็...อืมมม เอาเหล้ามาให้ด้วยนะ”
จากนั้นพาลาดินก็เหลือบมองมาที่ฉัน
“อะไรอีกหล่ะ? ตอนนี้ฉันไม่ได้รับอนุญาตให้ดื่มด้วยงั้นหรอ?”
เขาหันหน้ากลับไปแล้วทำหน้าที่ของเขาต่อ
ให้ตายเถอะ เดี๋ยวก่อนนะ หรือว่าไอ้หมอนี่ไม่ใช่มนุษย์แต่เป็นคนเหล็กจากเรื่องเทอร์มิเนxxx?
หลังจากนั้นไม่นาน คนใช้ก็เอาเหล้ามาให้ฉันขวดนึงพร้อมกับน้ำตามที่ฉันร้องขอ
“อืม ขอบใจ ตอนนี้เจ้าไปได้แล้ว”
“ข..ขอบคุณครับ เจ้าชาย!”
เขารีบปิดประตูแล้วออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว
จากนั้นฉันก็เริ่มตรวจสอบห้องโดยละเอียดอีกครั้ง
โลกนี้ไม่น่าจะมีการซ่อนกล้องหรือของพวกนั้นใช่ไหม? ฉันอยากทำให้มั่นใจ แต่เนื่องจากฉันไม่สามารถสัมผัสถึงพลังศักด์สิทธิ์ พลังมารหรือมานาที่อยู่ในห้องได้ มันก็น่าจะไม่เป็นปัญหาอะไรหรอกมั้ง
ฉันเดินตรงไปแล้วเทเหล้าในขวดลงชักโครก จากนั้น ฉันก็เติมน้ำเข้าไปในขวดเปล่าก่อนที่จะใส่พลังศักดิ์สิทธิ์เข้าไป
“ถ้ามันเป็นไปตามที่ฉันคิดว่าฉันคงได้ตายจากการทำงานหนักเกินไปแน่ๆ”
มีนักบวชแค่แปดสิบคนประจำการอยู่ที่นี่ และพวกเราก็มีหน้าที่ทำพิธีชำระล้างให้คนเป็นพัน นี่เพี้ยนกันไปแล้วรึไง? นักบวชควรจะเป็นประชาชนชั้นสูงของโลกนี้ไม่ใช่หรอ แต่ถึงอย่างนั้น ไอ้แนวคิดป่วยๆอย่างการใช้แรงงานเหมือนทาสแบบนี้มันหมายความว่ายังไงกัน!
“ฉันทำยาโด๊ปให้ตัวเองในระหว่างที่ยังมีโอกาสอยู่จะดีกว่า”
น่าเสียดายที่โลกนี้ไม่มีเครื่องดื่มชูกำลังอย่าง ‘เรด บx’ “แบxxส-เอฟ” เพราะฉะนั้น....มันจะดูฉลาดกว่าถ้าฉันสร้างขึ้นมาด้วยตัวเองแล้วเก็บไว้ดื่มในภายหลัง แน่นอน การสร้างน้ำศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นงานที่เหนื่อย แต่ว่ามันไม่มีอะไรที่เสริมกำลังให้ร่างกายที่ได้รับความเหนื่อยล้าถึงขีดสุดได้
“แล้วก็ฉันควรจะดูเรื่องนี้ให้ละเอียดเหมือนกันสินะ”
ฉันเรียกคัมภีร์เนโครแมนเซอร์ออกมาจากมิติที่ว่างเปล่า
“มันถือว่าสะดวกใช้ได้เลยที่สกิลและหน้าต่างไอเทมทั้งหมดของฉันมีการทำงานเหมือนกับเกมส์จริงๆ”
มันถือว่าเป็นเรื่องโชคดี ที่ไม่ต้องมาห่วงว่าที่เก็บของจะเต็ม แน่นอนว่ามันมีข้อจำกัดอยู่ว่าสิ่งที่สามารถเก็บได้นั้นขึ้นอยู่กับขนาดของไอเทม แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังดีถมเถแล้วที่ยอมให้เก็บหนังสือของฉัน
ฉันไล่ดูบันทึกของเนโครแมนเซอร์
ดูเหมือนว่าเนโครแมนเซอร์ในโลกนี้จะต้องสละ ‘พลังมาร’ และ ‘อายุขัย’ เพื่ออัญเชิญอันเดท นี่น่าจะเป็นสาเหตุที่ทำไมเนโครแมนเซอร์ถึงมีความสามารถในการควบคุมเวทมนตร์อยู่ในระดับสูงจนนักเวทย์ประเภทอื่นดูด้อยไปเลย
ในขณะที่ฉันศึกษาคุณสมบัติที่เหมือนกับเกมส์อยู่นั้น ฉันแทบไม่ได้กังวลอะไรเกี่ยวกับกับเรื่อง ‘อายุขัย’ เลย แต่พอพลิกมาอีกหน้านึง ฉันควบคุม ‘พลังศักดิ์สิทธิ์’ ได้แย่มาก
ฉันหมายถึง ตอนนั้นฉันให้พรไปโดยที่ไม่ได้ตั้งใจใช่ไหมหล่ะ?
สิ่งที่ฉันต้องการในตอนนี้มีอยู่สองเรื่อง ไอเทมที่ช่วยฟื้นฟูพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ฉันใช้ไปหรือไอเทมที่ช่วยเพิ่มพลังศักดิ์สิทธิ์อย่างมหาศาล ส่วนเรื่องที่สองก็คือ เรียนรู้การควบคุมปริมาณพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ต้องใช้ในแต่ละสถานการณ์ให้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
“ดังนั้น โดยหลักแล้วหนังสือนี้กำลังบอกให้ฉันฉีดพลังมารเข้าไปในน้ำและปรับแต่งการควบคุมด้วยวิธีนั้น”
มันเน้นย้ำว่า ‘การหายใจ’ คือโซ่ที่เชื่อมต่อกับวิญญาณของคน เห็นได้ชัดว่า พลังมารที่ถูกอัดฉีดผ่าน ‘เทคนิคการหายใจ’ จะทำให้ฉันควบคุมพลังได้ในระดับสูงสุด
“แต่นั่นมันเรื่องของเนโครแมนเซอร์ใช่ไหมหล่ะ? ฉันหมายถึงมันจะได้ผลกับนักบวชอย่างฉันรึเปล่า?”
หลังจากเติมน้ำเข้าไปในขวดเหล้าและสูดมันเข้าไป จู่ๆก็มีข้อความเด้งมาใส่ฉัน มันบอกว่า ‘พร’ ถูกเปิดใช้แล้ว และด้วยเหตุนี้เอง ฉันจึงได้รับน้ำศักดิ์สิทธิ์ขวดใหม่ของตัวเองแล้ว
เมื่อเทียบกับความเหนื่อยล้าที่ฉันรู้สึกเมื่อครั้งก่อน กระบวนการนี้มันให้ความรู้สึกสบายกว่าเยอะ
“อืมม นี่คือรางวัลที่ได้รับจากการฝึกฝนตลอดเดือนที่แล้วสินะ”
เห็นได้ชัดเลยว่า วิธีการควบคุมเวทมนตร์ของเนโรแมนเซอร์นั้นดีที่สุดจากอาชีพอื่นๆ มันคือความแตกต่างคนละขั้วจากนักบวชที่จะผลาญพลังศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาให้มากเท่าที่จะควบคุมไหวในคราเดียว
แต่มันก็นั่นแหล่ะ นี่มันคือการเอาชีวิตมาแขวนอยู่บนเส้นด้าย ดังนั้นถ้าหย่อนยานเรื่องการควบคุมเวทมนตร์ ก็คงจะเป็นเนโครแมนเซอร์ได้ไม่ถึงปีหรอก นี่มันคือลักษณะของอาชีพนี้
อืม สมกับเป็นอาชีพที่สุดโต่งที่สุด การที่ต้องใช้อายุขัยเป็นหลักประกันก่อนที่จะใช้เวทมนตร์ได้นั้นเข้ากับอาชีพนี้อย่างสมบูรณ์แบบ
ฉันพยักหน้าในขณะที่อ่านคัมภีร์เนโครแมนเซอร์อีกครั้ง
นี่มันยอดเยี่ยมจริงๆ! ถ้าฉันเข้าใจไอ้คัมภีร์นี่หมดแล้ว ฉันควรจะขายมันทิ้ง ฉันคิดว่าในภายหลังมันน่าจะทำเงินได้ไม่น้อยเลย
ตั้งแต่เหตุการณ์คลื่นซอมบี้ ฉันก็ทุ่มเทค่อนข้างหนักเพื่อเพิ่มทักษะในการสำรองพลังศักดิ์สิทธิ์ของฉันเพื่อให้ฉันเอาตัวรอดได้ในอนาคต
ฉันสวดภาวนาอยู่ตลอด และพยายามดูดซับพลังศักดิ์สิทธิ์ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้แม้ว่าฉันจะแทบไม่มีศรัทธาเลยก็ตาม และนอกจากนี้ ฉันยังแอบออกไปในป่าด้วยตัวเองและใช้สมาธิในการอัญเชิญอันเดทต่างๆด้วยความตั้งใจเพื่อที่จะเพิ่มจำนวนของพวกมันด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เพื่อเตรียมการสำหรับเรื่องไม่ดีที่อาจจะเกิดขึ้นในภายหลัง
แต่ปัญหาของฉันในตอนนี้ก็คือความเป็นไปได้ที่จะต้องตายจากการทำงานหนักในเวลาอันใกล้นี้ ซึ่งโชคไม่ดีที่มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับความทุ่มเทที่ฉันพยายามไปในช่วงนี้เลย
ยิ่งฉันคิดถึงมันเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งหงุดหงิดขึ้นเท่านั้น คิดได้ยังไงถึงคาดหวังให้ฉันทำพิธีศพคนเป็นพันแบบนี้?
“ไม่สิ เดี๋ยวก่อนนะ”
ฉันคร่ำครวญกับสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของฉันอยู่พักนึงแต่ในที่สุดฉันก็ส่ายหัว
ไม่มีความจำเป็นที่ฉันต้องตั้งใจทำตามสิ่งที่พวกเขาบอกฉันตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่หรอ? นอกจากนี้ ที่นี่ก็ไม่ใช่เขตการดูแลของฉันด้วย
ทั้งหมดที่ฉันต้องทำก็แค่ง่ายๆ “โถ่! ฉันเหนื่อยจนทำต่อไปไม่ไหวแล้ว!” จากนั้นทุกๆอย่างก็คงจะไม่เป็นอะไร
ด้วยการแกล้งป่วย ฉันก็คงไม่ต้องเสี่ยงชีวิตทำงานทาสอาสานี้อีก นึกไม่ถึงเลยว่าจะมีวิธีโกงระบบที่วิเศษแบบนี้ด้วย!
“เยี่ยมไปเลย! ฉันควรจะแกล้งทำงานหนักไปให้ถึงระดับนึงก่อนสินะ”
เมื่อเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น ต่อให้เป็นพาลาดินก็คงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมปล่อยฉันไป ฉันเป็นใครกันหล่ะ? ต่อให้มันจะแค่เปลือกนอกแต่ฉันเป็นถึงหลานชายของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เลยไม่ใช่หรอ?
ต่อให้พวกเขาจะรู้ว่าฉันแค่แกล้งป่วย ก็ไม่มีใครอยู่ในตำแหน่งที่บังคับให้ฉันกลับคำพูดได้หรอก
“แต่ว่า...”
เผื่อเอาไว้ก่อน ฉันควรจะสร้างเครื่องดื่มฟื้นฟูกำลังอีกซักหน่อย
โลกนี้มันเหนือจินตนาการจริงๆ ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างในช่วงเวลานั้นๆ ดังนั้นการสร้างหลักประกันให้ตัวเองจะดูฉลาดกว่า
ในขณะที่สร้างน้ำศักดิ์สิทธิ์เพิ่มฉันก็หันไปมองด้านข้าง มีสิ่งนึงที่คอยกวนใจฉันอยู่ที่หางตา และนั่นก็คือ...
“....เอ่อ นั่นปืนสินะ”
มันเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากปืนคาบศิลาที่แขวนประดับอยู่บนกำแพง