“เหยาเอ๋อ……” ซูชิงเริ่มร้องไห้อีกครั้ง ขณะที่กอดบุตรสาว ก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้
“เหยาเอ๋อแผลของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง……”
นางเจ็บปวดที่บาดแผลด้านหลังศีรษะมาก จนทำให้ดวงตามองมิเห็นบางส่วน
แต่มู่หยุนเหยามิกล้าแสดงอาการให้ผู้ใดรู้ นางส่ายหัวเบา ๆ
“ท่านแม่ ข้าสบายดี”
“มีเลือดไหลออกมาด้วย แต่เจ้ากำลังบอกข้าว่า เจ้ามิเป็นอันใด เช่นนั้นหรือ?”
ซูชิงลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว และรีบไปหาน้ำ เพื่อนำมาทำความสะอาดบาดแผลให้บุตรสาว
ท่านย่า……นาง……นางมีจิตใจที่ชั่วร้าย
มู่หยุนเหยามองไปที่ซูชิง
นางโน้มตัวมาเพื่อผ่อนคลายในอ้อมกอดของมารดา
“ท่านแม่ มิต้องกังวลกับเรื่องใดๆ หญิงเช่นนั้น จะได้รับการลงโทษจากสวรรค์แน่นอน” แม้ว่าสวรรค์มิทำ นางก็จะทำเอง!
บุตรสาวของนางโดยปกติแล้วเป็นเด็กที่อ่อนน้อมและนุ่มนวล ดังนั้น สิ่งที่นางเอ่ยออกมา ทำให้ซูชิงตกใจเล็กน้อย
หัวใจของซูชิงเจ็บปวด เพราะเหยาเอ๋อยังเป็นเพียงเด็กตัวเล็กๆ และวิธีการเลี้ยงดูของหลี่ชิ ทำให้เด็กหญิงคนหนึ่ง เติบโตมาเป็นเช่นนี้
ในขณะที่มู่หยุนเหยาพักผ่อนอย่างมีความสุขในอ้อมกอดของมารดา นางต้องขอบคุณสวรรค์อย่างสุดซึ้ง สำหรับโอกาสในการกลับมาเกิดใหม่ครั้งนี้
ในความทรงจำ ท่านแม่ของนางมีร่างกายที่บอบบาง เป็นหญิงที่มีการศึกษาดี ทุกการเคลื่อนไหวมีเสน่ห์ที่ไม่ธรรมดา ดูแตกต่างจากหญิงทั่วไป ด้วยเหตุนี้ผู้คนจึงกล่าวหาอย่างมิพอใจว่า ที่นางวางตัวสูงส่งเช่นนี้ เพราะมิต้องการที่จะทำงานหนัก
ลักษณะของนางดูเป็นหญิงมีชาติตระกูล แต่กลับมีชีวิตเป็นคนรับใช้ที่ต่ำต้อย
หลังจากนั้นมินานนัก การมาที่ยิ่งใหญ่ของตระกูลซูก็เกิดขี้น
แม้แต่ผู้ปกครองเมืองยังต้องโค้งคำนับพวกเขา นั่นคือตอนที่นางรู้ว่า มารดาของนางคือคุณหนูของตระกูลซูผู้ยิ่งใหญ่!
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ตระกูลซูจะมาถึง นางได้ถูกทรมานจนตายไปเสียแล้ว เพื่อปกป้องบุตรสาวของตนเอง!
ถึงแม้ว่ามู่หยุนเหยาจะสามารถหลบหนีออกมาได้ แต่ขาของนางต้องพิการ
หากมิเปิดเผยการกระทำผิดของ จางไคชู นางอาจจะถูกจับและถูกนำไปทรมานได้เช่นกัน
เมื่อมารดาจากไป มิหนำซ้ำขานางยังพิการ มู่หยุนเหยาจำต้องไปขออาศัยอยู่กับหลี่ชิ เพื่อเอาชีวิตรอด ยายเฒ่ามิชอบนาง
แต่เมื่อเห็นว่า หลานสาวขาพิการและมิสามารถทำงานได้ อีกทั้งผิวพรรณดูหม่นหมอง นางก็ระงับความโกรธทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย
ชาวบ้านรู้สึกมิพอใจกับการกระทำของหลี่ชิมาก พวกเขาระดมทุนเพื่อจ้างหมอในเมืองมารักษามู่หยุนเหยา แต่หลี่ชิขัดขวางมิให้เขาเข้าบ้าน ซ้ำยังสาปแช่ง จนเขาจากไป ขาของมู่หยุนเหยายังมิได้รับการรักษา แต่โชคดีที่ความพิการนี้มิได้ก่อให้เกิดปัญหาอันใด
กว่าหนึ่งปีที่ผ่านมา
ในแต่ละวันช่างเหมือนกับหนึ่งปีสำหรับมู่หยุนเหยา หลายครั้งนางจ้องมองไปที่กองไฟในห้องครัว โดยหวังจะใช้มันเผาหลี่ชิ โดยที่ตัวนางต้องรอด แต่นางก็มิได้ทำ
ชาตินี้มารดาของนางใช้ชีวิตของตนเองปกป้องบุตรสาว
ไม่ว่าจะทุกข์สักปานใดนางก็ต้องใช้ชีวิตต่อไป
พวกเขาแต่งกายด้วยเสื้อผ้าหรูหรา รถม้าที่สง่างาม หญิงเหล่านั้นเหมือนนางฟ้า เมื่อชุดของพวกนางลอยไปมาขณะที่เดินเยื้องกราย พวกนางเอ่ยปากด้วยคำพูดที่อบอุ่นและอ่อนโยน เเละกล่าวกับมู่หยุนเหยาว่า ชีวิตของนางหลังจากนี้จะดีขึ้นมาก
มู่หยุนเหยามิอยากจะเชื่อว่านี่คือความจริง ระหว่างการเดินทาง นางรู้สึกกังวลมากจนมิกล้าปริปากแม้สักคำเดียว
เมื่อนางไปถึงตระกูลซู ผู้คนที่ร่ำรวยเหล่านั้น ทำให้รู้สึกว่าตนเองด้อยค่าและรู้สึกมิสบายใจยิ่งนัก
“ตระกูลซู?” มู่หยุนเหยาหัวเราะอย่างเย็นชา
“พวกมันเป็นเพียงปีศาจที่สิงอยู่ในร่างของมนุษย์!”
เมื่อนางข้าสู่ตระกูลซูได้มินานนัก
มิมีผู้ใดคบหาสมาคมกับนาง เพราะมีคนปล่อยข่าวลือว่า นางเคยเป็นนางบำเรอบ้านตระกูลจาง
นางได้รับการปฏิบัติเหมือนสิ่งที่ไร้ค่า ชื่อเสียงที่มีถูกทำลายจากการที่ไว้วางใจคนผิด
เพื่อที่จะมีชีวิตรอดต่อไป นางต้องใช้ประโยชน์จากสิ่งที่รังเกียจมากที่สุดนั่นคือ การใช้รูปโฉมของตนเอง
นางจึงก้าวเข้าสู่วังวนลึก
ตอนนั้นนางมีความรู้เพียงเล็กน้อยที่บิดาเคยสอนไว้ นางมิมีความรู้เกี่ยวกับศิลปะการคัดลายมือ บทกวี และมิเข้าใจถึงเสน่ห์ และความสง่างามของบทกวี
เพื่อชดเชยสิ่งนี้ นางกล่าวกับตัวเองอย่างเกรีัยวกราด ถ้ามิรู้ก็เรียนได้ แม้จะมีเลือด หยาดเหงื่อและหยดน้ำตา นางก็จะเดินไปข้างหน้า
สิ่งที่น่าเสียดายคือ นางประเมินจิตใจมนุษย์สูงไป และประเมินค่าตัวเองต่ำเกินไป จุดจบของนางจึงเหมือนกับมารดา
นางถูกกล่าวหาว่าเป็นสายลับ และถูกทรมานจนตาย
แม้กระทั่งเรื่องความตาย คงจะดีกว่า ถ้านางตายก่อนที่จะเข้ามาอยู่ในบ้านตระกูลซู อย่างน้อยนางคงจะตายอย่างไร้มลทิน……
เมื่อนึกถึงว่าตนเองเสียชีวิตไปอย่างไร หัวใจของมู่หยุนเหยาก็ปวดร้าวอย่างมาก ใบหน้าของนางกลับกลายเป็นสีขาวซีดราวกับผี
ซูชิงโอบร่างของมู่หยุนเหยาเอาไว้ เมื่อได้เห็นผิวของนาง น้ำตาก็ร่วงหล่นลงอย่างรวดเร็วลง
“เหยาเอ๋อเป็นอันใดไป เจ้าอย่าทำให้แม่ตกใจ……”
เมื่อมู่หยุนเหยาสัมผัสได้ถึงความทุกข์ใจของมารดา นางจึงรีบล้างความคิดเชิงลบทั้งหมดออกไป ทำให้ดวงตาของนางสดใสขึ้น
เป็นอย่างที่คิด ตอนนี้ทุกอย่างแตกต่างไปจากเดิม ตอนนี้ยังมิมีสิ่งใดเกิดขึ้น นางยังมีโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง!
ชีวิตครั้งใหม่นี้ นางจะปกป้องมารดาและตัวของนางเอง
ทุกคนที่ทำผิดต่อนางจะต้องชดใช้!
“ท่านแม่ ข้ามิได้เป็นอันใด ลุกขึ้นมาล้างหน้าเร็วเข้า ดูสิ ใบหน้าที่เปื้อนน้ำตาของท่าน มิมีความงามเหลืออยู่เลย” มู่หยุนเหยาขมวดคิ้ว
ใบหน้าขาวราวหิมะของมู่หยุนเหยามีรอยตบสีแดงซึ่งเริ่มช้ำ นอกจากนี้ยังมีบาดแผลบนใบหน้าที่เกิดจากเศษกระเบื้อง
การขยับหน้าของหญิงสาวส่งผลให้เกิดความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส จนนางต้องหายใจแรงด้วยความทุกข์ระทม