**
เช้าตรู่วันต่อมา พาลาดินฮาร์แมนที่ทำหน้าที่คุ้มกันเจ้าชายมาถึงโรเนียได้ลงมาจัดเตรียมงาน
เขาจ้องเหล่านักบวชที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาและขมวดคิ้วแน่น
พวกเขามีกันทั้งหมดแปดสิบคน และทุกคนก็เป็นพวกเจ้าเล่ห์เหมือนจิ้งจอก ทั้งกลุ่มที่อยู่ที่นี่ประกอบไปด้วยพวกที่ตอนนี้กำลังถูกสถาบันฮิวไมท์ที่ตั้งอยู่ทางตอนกลางของทวีปลงโทษอยู่ หรือไม่ก็นักบวชที่ถูกจับได้ว่าทำการฉ้อโกงในงานของพวกเขา
ฮาร์แมนขยับสายตาของเขา
ในบรรดาพวกวายร้ายกลุ่มนี้มีเจ้าชาย ‘อัลเลน ออโฟเซ่’ ที่ตอนนี้กำลังตัวสั่นจากความหนาวอยู่ด้วย เขาเป็นหลานชายลำดับเจ็ดของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ และเจ้าชายตัวบัดซบที่พยายามข่มขืนหลานสาวของหัวหน้าบาทหลวง
เขาเป็นคนที่เลวร้ายที่สุดในวายร้ายกลุ่มนี้
เรื่องที่เชื่อเสียงอันฉาวโฉ่วของเขานั้นเป็นที่รู้กันไปทั่วทวีปไม่ใช่คำกล่าวที่เกินจริงเลย ต้องขอบคุณเด็กชายคนนี้ แม้กระทั่งจักพรรดิศักดิ์สิทธิ์เองก็ยังต้องทรมานจากอาการไมเกรนขั้นรุนแรง
‘เขาดูไม่ได้เปลี่ยนไปเลยนะ’
ตอนอยู่ที่โบสถ์ ฮาร์แมนเห็นเด็กผู้หญิงคนนึงอยู่ใกล้ๆกับเจ้าชาย เธอไปที่นั่นโดยใช้ข้ออ้างว่ากำลังฝึกตนเป็นแม่ชี นอกจากนี้เด็กชายคนนี้ยังหลงไหลสาวใช้ของเจ้าเมืองในทันทีที่มาถึงป้อมปราการด้วย
ฮาร์แมนสาบานในใจว่าเมื่อวิกฤตการณ์นี้จบลง เขาจะส่งรายงานเต็มกลับไปหาจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์และซักฟอกแม่ชีผมเงินคนนั้นเพื่อให้สารภาพความจริงทั้งหมด
เขาจะถามเธอว่า “เธอถูกเจ้าชายบังคับให้มาอยู่ตำแหน่งนี้ใช่ไหม?”
-- นั่นสินะ เจ้าชายหน่ะ....เขาเปลี่ยนไปมากจริงๆ
นี่คือสิ่งที่พาลาดินฮาร์แมนได้ยินมาจากชาวบ้านในขณะที่สืบสวนเหตุการณ์แม่มดมอร์กาน่า
ในระหว่างการสอบถามติดตามง่ายๆนี้ เขาได้ฟังเรื่องเกี่ยวกับเจ้าชายมามากกว่าเรื่องของยัยแม่มดที่เป็นหัวข้อการสืบสวนของเขาซะอีก
ท่านเองก็รู้สึกได้เหมือนกันใช่ไหมครับท่านพาลาดิน? เขาเปลี่ยนไปมากตั้งแต่ตอนที่พยายามฆ่าตัวตายเมื่อสามเดือนก่อน ผมไม่มั่นใจว่าเป็นเพราะจิตใจได้รับการกระทบกระเทือน หรืออาจเป็นเพราะเขาสูญเสียความทรงจำ แต่ไม่ว่ายังไง มันเหมือนกับว่าเขากลับตัวกลับใจแล้วเลย
เด็กชายคนนี้เปลี่ยนไปจริงๆหรอ
ในตอนที่ฮาร์แมนไปเยี่ยมเขาในระหว่างที่ถูกเนรเทศช่วงแรกๆ เจ้าชายเคยพยายามเตะกล่องดวงใจของเขา และต่อจากนั้น ในขณะที่กำลังบ่นว่าตัวเองเจ็บขา เด็กชายก็เคยหยิบอุปกรณ์ทำสวนขึ้นมาแล้วพยายามใช้สิ่งนั้นแทงพาลาดินด้วย
ซึ่งมันก็เป็นใครไปไม่ได้นอกจากฮาร์แมนที่กำราบเด็กขี้โมโหคนนี้แล้วขังเขาเอาไว้ในห้องพร้อมกับบอกให้เขาสำนึกผิดด้วยการสวดมนต์ภาวนาในขณะที่ให้ดื่มแต่น้ำเป็นการลงโทษ
จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์นั้นได้ให้อนุญาตฮาร์แมนอย่างชัดเจนแล้ว และบอกอัศวินผู้นี้ให้ทำตามสิ่งที่เขาเห็นว่าสมควรได้เลย ดังนั้นสิ่งที่เขาทำลงไปจึงไม่เป็นปัญหาอะไร แถมจักรพรรดิยังบอกด้วยว่าตราบใดที่เด็กชายยังมีลมหายใจอยู่ จะหักแขนหักขาของเขาก็ไม่เป็นอะไรเหมือนกัน
--เขาทำหน้าที่ผู้ดูแลสุสานได้ดีมาก และในตอนที่ฝูงซอมบี้ปรากฎตัวขึ้น เขาก็เป็นคนแรกที่ก้าวขึ้นมาไล่ล่าพวกมันด้วย แล้วก็...
ชาวบ้านทุกคนได้เล่าให้เขาฟังด้วยเรื่องราวที่คล้ายๆกันพร้อมกับรอยยิ้มอันอบอุ่นที่แสดงอยู่บนหน้าของพวกเขา
-- เขาปกป้องพวกเรา และที่สำคัญที่สุด เขาไม่ได้หยุดพักเลยในตอนที่เขาทำพิธีศพให้กับเหล่าคนที่พวกเรารัก ถ้าไม่คิดจะรู้สึกขอบคุณและเอาแต่เกลียดชังคนอย่างเขาคนๆนั้นก็ไม่ใช่มนุษย์แล้วแต่เป็นขยะที่ไม่รู้จักความหมายที่แท้จริงของความใจดีต่างหากหล่ะ
พาลาดินฮาร์แมนขมวดคิ้วแน่นหลังจากที่นึกถึงคำพูดพวกนี้
คำให้การพวกนั้นมันดูไม่สมเหตุสมผลเลย เจ้าชายเป็นคนล่าซอมบี้จริงๆหรอ? เขาก้าวออกมาจัดการซอมบี้ทั้งๆที่เขาเคยกลัวแทบตายกับแค่เห็นหนูตัวเดียวเนี่ยนะ....?
แล้วก็ เขากลับตัวกลับใจแล้วงั้นหรอ? เรื่องแบบนี้จะพูดได้ก็ต่อเมื่อคนที่กระทำผิดในที่สุดก็ตระหนักได้ถึงความผิดพลาดของตัวเองในอดีตและรู้สึกสำนึกผิดกับมัน
แค่เพราะเจ้าชายความจำเสื่อมไม่ได้หมายความว่าประวัติของเขาจะขาวสะอาดแล้ว มันไม่ใช่ว่าเขาจะหลุดพ้นจากการกระทำผิดทั้งหมดที่เคยกระทำในอดีตซักหน่อย
‘บางทีเขาอาจจะใช้โรคความจำเสื่อมเป็นข้ออ้างเพื่อให้ได้กลับไปที่วังหลวงก็ได้’
มีความเป็นไปได้อยู่ที่เขาจะขอให้ชาวบ้านเล่าเรื่องราวให้มีเค้าโครงตรงกันโดยอิงพื้นฐานจากเหตุบังเอิญที่เกิดขึ้นประจวบเหมาะพอดีในเหตุการณ์แม่มดมอร์กาน่า ความเป็นไปได้มีสูงอยู่ เขาน่าจะพยายามสร้างวิธีเพื่อให้ใด้กลับไปยังวังหลวงโดยใช้ความสำเร็จจากการจับตัวแม่มด
อย่างไรก็ตาม มีบางอย่างผิดปกติกับคำอธิบายพวกนี้
แม่มดมอร์กาน่าเคยฆ่าล้างชาวบ้านไปหลายคนแล้วในอดีต แม้ว่าเธอจะเป็นเนโครแมนเซอร์ที่เป็นที่รับรู้กันว่าอ่อนแอในการต่อสู้ระยะประชิด แต่เธอก็ไม่ได้อ่อนแอถึงขนาดที่ชาวบ้านธรรมดาจะเอาชนะเธอได้และอัดเธอจนปางตายแบบนั้น
ภาคีทมิฬคือองค์กรที่เลี้ยงนักฆ่าเอาไว้มากมาย ซึ่งเจ้าหน้าที่ของภาคีแบบนี้คงไม่ถูกชาวบ้านเล่นงานเอาง่ายๆกับแค่เพราะความสะเพร่าหรอก
แต่ว่านี่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้าชายจะต้องรับผิดชอบในการจับตัวแม่มดนี่ บางทีชาวนาที่ชื่อกริลอาจจะเป็นคนไม่ชอบโอ้อวด แต่จริงๆแล้วค่อนข้างแข็งแกร่งก็ได้
แม้ว่าอายุที่มากขึ้นของเขาอาจจะเป็นปัญหาอยู่บ้าง แต่ถึงอย่างนั้นฮาร์แมนก็คิดว่าการส่งจดหมายแนะนำเพื่อให้กริลได้เข้าทดสอบเป็นพาลาดินฝึกหัดในภายหลังก็ไม่ใช่ความคิดที่เลวร้ายอะไร
ฮาร์แมนมองกลับไปที่เจ้าชายอัลเลนอีกครั้ง
เด็กชายดึงผ้าห่มที่คลุมตัวอยู่ให้แน่นขึ้น ความไม่พอใจที่เขามีต่ออากาศหนาวนั้นแสดงอยู่บนหน้าของเขาอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นเขาก็จ้องกลับมาที่ฮาร์แมนเหมือนกับจะบอกว่า “มองอะไรของแกห้ะ!?”
‘ใช่แล้ว เขาไม่ได้เปลี่ยนไปเลย’
เจ้าชายที่ชอบทำกะลิ้มกะเหลี่ยกับผู้หญิงแม้จะอยู่ภายใต้การสอดส่องของคนเฝ้าสังเกตการนั้นดูคล้ายกับอันธพาลคนนึง นี่คือสิ่งที่เด็กชายแสดงต่อหน้าฮาร์แมน ดังนั้นเมื่อไม่มีใครจับตาดูอยู่การกระทำของเขามันจะไม่ยิ่งล่วงเกินสิ่งศักดิ์สิทธิ์เข้าไปใหญ่หรอ?
‘ว่าแต่... เมื่อวานมันเกิดอะไรขึ้นกันนะ?’
ในช่วงเย็นวันก่อน เจ้าชายอัลเลนได้มีการประชุมสั้นๆกับเจ้าเมืองและได้ไปยังห้องของตัวเอง และหลังจากที่เขาเข้าไปได้ไม่นานบางสิ่งที่อยู่ข้างในก็เกิดการระเบิดขึ้น
แม้ว่าเด็กชายจะเป็นตัวบัดซบแต่เขาก็ยังเป็นถึงหลานชายของจักรพรรดิ คนที่ฮาร์แมนสาบานว่าจะขอติดตามรับใช้ไปชั่วชีวิต
เจ้าชายอาจจะถูกเนรเทศ แต่เขาก็ยังอยู่ภายใต้การคุ้มครองของฮาร์แมน ดังนั้นถ้ามีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับเด็กชายในระหว่างที่เขาจับตาดูอยู่มันก็คล้ายกับการทำให้คนที่เขาสาบานว่าจะจงรักภัคดีด้วยต้องผิดหวังอย่างมาก
นี่คือสาเหตุที่เขาพยายามทำลายประตูแล้วเข้าไปในห้อง แต่ตอนนั้นเขากลับต้องประหลาดใจ เจ้าชายอัลเลนสบายดี และที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่าก็คือเขาไล่ฮาร์แมนออกไปจากห้องด้วย
แต่ในช่วงจังหวะเวลาสั้นๆนั้นเขาก็ได้เห็นมัน เขาเห็นรูขนาดใหญ่ตรงกำแพง มันคือรูที่มีลักษณะเฉพาะจากการโจมตีด้วยเวทมนตร์ซึ่งดาบ หอก หรือธนูไม่สามารถทำได้
‘ไอ้นั่นมันคืออะไรกัน?’
เจ้าชายมีส่วนเกี่ยวข้องกับการสร้างรูขนาดใหญ่เท่าหัวคนนั่นรึเปล่านะ?
แล้วถ้าใช่ เขาทำได้ยังไงกัน?
มันไม่มีทางที่เจ้าชายจะครอบครองสกิลเวทมนตร์ที่ทรงพลังแบบนั้นหรือแม้แต่สิ่งประดิษฐ์ที่เป็นอันตรายได้หรอก
และด้วยผู้คุมอย่างเขาที่คอยสอดส่องอยู่ใกล้ๆ เขาคงไม่สามารถแอบฝึกเวทมนตร์ใหม่จนเชี่ยวชาญได้ มันมีคัมภีร์เวทมนตร์และคู่มือการฝึกดาบถูกทิ้งเอาไว้ในห้องสมุดของโบสถ์ก็จริงอยู่ อย่างไรก็ตามไม่เพียงแค่เจ้าชายโง่คนนี้น่าจะไม่เคยอ่านพวกมันซักครั้ง แต่มันยังไม่มีหนังสือเล่มไหนที่มีระดับต่ำถึงขนาดที่มือใหม่จะเชี่ยวชาญได้ในระยะเวลาแค่หนึ่งเดือนด้วย
‘หรือว่าเขาจะไปเจอไอเทมน่าสงสัยข้างในถ้ำเนโครแมนเซอร์?’
ถ้าเป็นแบบนั้น เรื่องมันก็จะยิ่งอันตรายขึ้น ดูเหมือนว่าเขาควรจะต้องหาเวลาตรวจสอบสัมภาระของเจ้าชายในภายหลัง
พาลาดินฮาร์แมนย้ายสายตามายังพวกทหารที่อยู่ถัดไป
พวกเขาสวมเศษผ้าเป็นเครื่องแต่งกาย แต่ก็ยังใส่ชุดเกราะผ้าที่ค่อนข้างหนาครบชุดอยู่ ใช่แล้วพวกเขาไม่ได้เป็นทหารธรรมดา แต่เป็นนักโทษที่ถูกส่งมาที่โรเนีย ข้างๆพวกเขาแต่ละคนมีย่ามขนาดใหญ่ พลั่ว และกระติกน้ำอยู่
‘นักโทษของโรเนีย’
ถ้าพวกเขาสามารถเอาตัวรอดจากฤดูหนาวที่นี่ได้ บทลงโทษของพวกเขาก็จะเบาลง หรือพวกเขาอาจจะได้เป็นอิสระเลยก็ได้ นี่คือวิธีที่จำเป็นในการรักษากระแสการต่อสู้ของทหารให้คงที่เพื่อปราสาทแห่งการบูชายัญที่ดูโหดร้ายและไม่น่าให้อภัยนี้ เช่นเดียวกับการยับยั้งพวกนักโทษด้วยกันเองด้วย
และแน่นอนว่า ถ้ามีคนอยากลองดีหล่ะก็...
“อ้ะ!? เห้ย ไอ้เจ้านั่นวิ่งหนีไปแล้ว!”
หนึ่งในนักโทษที่พึ่งมาถึงพยายามจะหนีอย่างรวดเร็ว ซึ่งทหาร ‘ตัวจริง’ ก็ได้ง้างธนูของพวกเขาและยิงใส่ผู้หลบนี้โดยไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย นักโทษคนอื่นๆได้เห็นภาพนี้และตัวสั่นจากความตื่นตระหนก
สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่นี้คือชะตากรรมที่กำลังรอพวกที่กล้าขัดขืน
ถ้าทนผ่านฤดูหนาวไปปีแล้วปีเล่า ความผิดก็จะค่อยๆถูกลบล้างออกไป และในอีกด้านนึง ถ้ากล้าต่อต้านหล่ะก็ไม่ว่าจะเคยทำความผิดเล็กๆหรือความผิดร้ายแรงก็จะถูกประหารในทันที
เนื่องจากบทบาทของพวกเขาคือผู้เสียสละและลดความบ้าคลั่งของอันเดทดังนั้นไม่ว่าจะอยู่หรือตาย นักโทษก็ไม่ต่างอะไรจากหมากที่ใช้แล้วทิ้ง
พวกนักโทษจ้องมองศพผู้หลบหนีด้วยสีหน้าตึงเครียด
จากนั้นพาลาดินฮาร์แมนก็พูดขึ้นมา “พวกเจ้ามัวทำอะไรอยู่? รีบกำจัดศพและแจกจ่ายชุดเครื่องแบบซะ!”
นี่ยังเป็นแค่การเริ่มต้น
ระหว่างช่วงเริ่มฤดูหนาวและวันที่ 25 ธันวาคม วันที่ราชาเนโครแมนเซอร์ตาย อันเดทจำนวนนับไม่ถ้วนจะแห่กันมาที่ป้อมแห่งนี้
คนเป็นจะต้องสร้างฐานที่มั่นเตรียมเอาไว้ที่นี่ และจากนั้นก็กำจัดอันเดทที่จะบุกเข้ามาเป็นระลอกเพื่อป้องกันไม่ให้พวกมันกระจายไปยังส่วนอื่นๆของทวีป
ฮาร์แมนยกย่ามใบนึงขึ้นมาแล้วโยนไปให้เจ้าชายอัลเลน
“ย่ามใบนี้มีเครื่องแบบแพทย์พิเศษที่คอยยับยั้งโรคระบาดครับเจ้าชาย ได้โปรดสวมมันและร่วมงานกับนักบวชคนอื่นๆด้วย”
เจ้าชายขมวดคิ้วแน่น ซึ่งบางทีคงจะไม่ชอบสิ่งที่ฮาร์แมนพึ่งบอกกับเขา อย่างไรก็ตาม การแสดงออกนี้มีแต่จะยิ่งยืนยันความเชื่อของพาลาดินผู้นี้
เหมือนกับที่เขาคิดเอาไว้.....สายตาไม่พอใจของเจ้าชายนั้นไม่ได้เปลี่ยนไปเลย