พวกผู้ชายไม่ทำงานแบกหามของหนักๆก็บำรุงรักษาอุปกรณ์ต่างๆ ในขณะที่พวกผู้หญิงทำหน้าที่แจกจ่ายอาหาร
“เจ้าชาย?”
ฉันรีบหันขวับไปหาต้นเสียงและก็ได้เจอเด็กสาวผมสีเงินนัยตาสีแดงที่มีหน้าตาคุ้นเคยกำลังถือตะกร้าอยู่ เธอเองก็คงบังเอิญเห็นฉันแล้วรีบเดินมายังจุดที่ฉันอยู่
บางทีคงต้องโทษอากาศหนาว เพราะปลายจมูกกับแก้มของเธอกลายเป็นสีชมพูระเรื่อ มีไอสีขาวเล็ดรอดออกมาจากริมฝีปากของเธอในขณะที่เธอยืนรออยู่ตรงหน้าฉันโดยไม่พูดอะไรพร้อมกับดวงตาที่เบิกกว้าง
ว่าแต่เดี๋ยวนะ เธอรู้ว่าเป็นฉันทั้งๆที่ฉันสวมหน้ากากกับเสื้อคลุมหนาๆนี่อย่างงั้นหรอ? หรือว่ามันมีคำว่า ‘ฉันเป็นเจ้าชายนะ’ เขียนเอาไว้บนหลังของฉัน
ก่อนที่ฉันจะได้เอี้ยวไปมองข้างหลัง เธอก็เอาบางอย่างออกมาจากตะกร้าแล้วยื่นให้กับฉัน “เชิญค่ะ... กินตอนที่ยังอุ่นๆสิคะ”
มันคือมันเทศอบ
ชาร์ลอตต์ใช้ผ้าห่อเอาไว้อย่างดีเพื่อไม่ให้ความอุ่นของมันหายไปก่อนที่จะส่งมาถึงมือฉัน
“อ้ะ! ขอบใจ ตั้งใจเข้าหล่ะโอเคนะ?”
ฉันรับมันเทศแล้วโบกมือให้เธอเล็กน้อย เธอเองก็โค้งคำนับฉันเบาๆแล้วไปแจกจ่ายให้คนอื่นต่อ
ฉันกัดมันเทศเข้าไปหนึ่งคำ มันหวาน...แล้วก็อุ่นด้วย
รอยยิ้มเบ่งบานจากริมฝีปากของฉันโดยไม่รู้ตัว
หลังจากนั้นไม่นาน ฉันก็มุ่งหน้าไปยังสุสานรวมที่ตั้งอยู่กลางเมืองพร้อมกับนักบวชคนอื่นๆ พวกเขากำลังทำความสะอาดหิมะและขุดหลุมศพ เกวียนขนศพได้มาถึงแล้ว
นักโทษตรวจสอบศพทุกคนอย่างละเอียดเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีคนไหนกลายเป็นซอมบี้และหลังจากที่ตรวจสอบเสร็จเรียบร้อยพวกเขาก็แบกศพไปวางเรียงเอาไว้ในหลุม
นักบวชยื่นมือออกมาเบื้องหน้าหลุมศพ และในขณะที่กำลังจับคทาศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ พวกเขาก็เริ่มท่องอะไรบางอย่างออกมา
อะไรหล่ะนั่น? นี่คือการทำพิธีชำระล้างที่ถูกต้องหรอ?
มันยุ่งยากและซับซ้อนกว่าที่ฉันคิดเอาไว้จริงๆ ฉันแค่สวดภาวนาให้คนตายอย่างเงียบๆตามที่เขียนเอาไว้ในหนังสือที่หาเจอในโบสถ์ แต่ที่ผ่านมานี่ฉันทำผิดมาโดยตลอดเลยหรอ?
อย่างไรก็ตาม ตอนนั้นฉันได้มองผ่าน ‘เนตรจิต’ และทำการยืนยันแล้วว่าวิญญาณทั้งหมดได้ถูกชำระล้างแล้ว ดังนั้นแค่สวดในใจต้องเพียงพอแล้วแน่ๆ
เอางั้นก็ได้ ฉันเองก็ควรจะเริ่มเหมือนกันสินะ? ฉันจะแกล้งทำงานซักนิดหน่อยแล้วค่อยทำเป็นถอดใจกลางทางก็แล้วกัน
“นี่พวก เห้ย พวกเจ้า!”
ฉันหยุดพรวนดินแล้วมองไปข้างหลัง ซึ่งนั่นก็คือตอนที่ฉันได้เห็นแรงงานนักบวชกลุ่มนึงที่ทำตัวขี้เกียจเป็นพิเศษ พวกเขาไม่คิดจะทำงานอะไรเลยซักนิด อันที่จริงพวกเขาใช้ศพเป็นเก้าอี้นั่งด้วย
พวกเขาทิ้งพลั่วไปนานแล้วและยุ่งอยู่กับการพูดคุยกันเอง
ฉันเหลือบมองทหารคนอื่นๆ ด้วยเหตุผลบางประการ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ได้สนใจ มันก็แน่หล่ะนะ ทหารพวกนี้ส่วนใหญ่เป็นแค่นักโทษและก็เป็นสามัญชนมาตั้งแต่แรกแล้ว นักบวชพวกนี้อาจจะเป็นอาชญากรจากการกระทำของตัวเอง แต่ไม่มีทหารคนไหนกล้าสั่งพวกเขาแม้ว่าจะอยู่ในที่แห่งนี้ก็ตาม
ฉันเอาพลั่วพาดบนบ่าแล้วเดินไปหานักบวชกลุ่มนั้น
“ทำตัวตามสบายเถอะพวก อยู่ที่นี่ทำงานหนักไปก็ไม่ได้รางวัลซักหน่อย”
เด็กหนุ่มหุ่นดีอายุประมาณ 16 หรือ 17 ปีพูดคำนั้นกับฉัน
เขาพูดถูกเกี่ยวกับเรื่องนี้
ลืมเรื่องรางวัลไปได้เลย การทำงานมีแต่จะให้รางวัลฉันด้วยอาการปวดกล้ามเนื้อในวันต่อไปเท่านั้น
ฉันเหลือบมองพาลาดิน เขายุ่งเกินกว่าจะมาออกคำสั่งนักโทษคนอื่นๆ พวกเขายุ่งจนถึงจุดที่ไม่มีเวลาว่างมาสนใจด้านนี้เลย ซึ่งนี่ก็หมายความว่าเขาคงจะไม่สนใจถ้าฉันกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้วทำตัวตามสบาย
“ที่พูดมาก็ถูกนะ”
ฉันพยักหน้า จากนั้นเด็กชายนักบวชก็ถอดหน้ากากและเอาบางอย่างออกจากย่ามมากิน เขาดื่มน้ำตามเข้าไปเล็กน้อยก่อนที่จะพ่นออกมา “โถ่ พวก ที่นี่ไม่มีเหล้าเลยรึไง?”
เขาเหลือบมองทหารด้วยความไม่พอใจ กระตุ้นให้หนึ่งในพวกเขาเข้ามาหาพวกเราอย่างลังเลเพื่อแอบส่งเหล้ามาให้ขวดนึง
“อืม! โอ้! เยี่ยมเลย ใช่แล้วพวก! เทพีไกอาจะประทานพรให้เจ้า ความผิดของเจ้าจะถูกลบล้างในเร็วๆนี้อย่างแน่นอน”
“ข..ขอบคุณครับ”
พวกทหารก้มศีรษะให้ นักบวชหนุ่มพูดเรื่องที่ไม่น่าเชื่อถือออกมาแล้วสบัดมือไล่พวกทหารกลับไป
“เวรจริง นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน? ตอนนี้ฉันควรจะได้เลื่อนขึ้นปีสองในสถาบันไปแล้ว ไม่นึกเลยว่าจะต้องมาถูกลงโทษกับแค่เรื่องเล็กๆแบบนั้น แม่x!”
เขาเริ่มกระดกเหล้าเข้าไปอีก บางทีมันคงแรงกว่าที่เขาคิดเอาไว้ เพราะหน้าของเขาแดงขึ้นแทบจะทันทีและเขาก็เริ่มเดินเซเล็กน้อย
เขาพูดด้วยน้ำเสียงค่อนข้างแข็ง บางทีคงกังวลเรื่องภาพลักษณ์ที่คนอื่นที่อยู่ที่นี่จะมองเขา จากนั้นเขาก็ผลักเหล้ามาให้ฉัน “ทำไมไม่จิบซักหน่อยหล่ะพวก? ของดีใช้ได้เลยหล่ะ!”
อืม ที่ส่งเหล้านี่มาให้ฉันเพราะดื่มไม่ไหวใช่ไหมหล่ะ?
ฉันต้องพูดเลยว่า เรื่องอวดเบ่งนี่เขาค่อนข้างไวใช้ได้เลยหล่ะ
ฉันรับเหล้ามาเนื่องจากฉันรู้สึกคอแห้งอยู่แล้ว และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ฉันจะได้ลิ้มรสเหล้าตั้งแต่ที่เข้ามาในโลกนี้ด้วย
ฉันถอดหน้ากากออกแล้วกระดกเข้าไป รสชาติที่รุนแรงของมันบาดคอและรูจมูกของฉัน และความร้อนนี้ก็แล่นไปทั่วร่างในเวลาเดียวกัน
อ่า! นี่มันของดีจริงๆด้วย! ที่ตอนนั้นฉันเทเหล้าที่คนรับใช้ชายเอามาให้นี่คงต้องบอกว่าพลาดแล้วสินะ? มันอาจจะเป็นเพราะอากาศเย็นที่ช่วยเสริมรสชาติของเหล้า แต่มันก็ยังเป็นของดีใช้ได้เลย
“เป็นไง? ของดีเลยใช่ไหมหล่ะ?” นักบวชหนุ่มถาม
“อืม ไม่แย่นะ” ฉันตอบในขณะที่ส่งขวดกลับไปให้เขา
“ฮ่าฮ่า พวกเราควรช่วยเหลือกันในเวลาที่ยังช่วยได้ใช่ไหมหล่ะ? ฉันมองออกด้วยนะว่าเจ้าเป็นลูกหลานของขุนนาง แล้วเจ้ามาจากตระกูลไหนหล่ะ?”
“ฉัน...”
หลานชายของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์
ถ้าฉันพูดแบบนั้นออกไป แล้วหลังจากนี้ทุกคนจะมองฉันยังไงนะ?
พวกเขาจะมองฉันเหมือนตัวบัดซับน่ารังเกียจรึเปล่า? หรือพวกเขาจะเริ่มหมอบกราบต่อหน้าฉัน? ฉันกำลังสงสัยถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นจากปฏิกิริยาการตอบสนองของพวกเขา
“ฉันมาจากตระกูลขุนนางบ้านนอกเล็กๆหน่ะ”
แม้ว่าจะอยากรู้ แต่ฉันก็ตัดสินใจที่จะโกหกออกไป
“ฮ่าฮ่า แสดงว่าเจ้าเป็นพวกบ้านนอกสินะ! ว่าแล้วเชียว ไม่มีทางที่พวกระดับสูงจะถูกส่งมาที่นี่หรอก”
นักบวชหนุ่มหัวเราะลั่น กระตุ้นให้นักบวชที่อยู่รอบๆเห็นด้วยกับเขาอย่างกระตือรือร้น
นักบวชหนุ่มพูดต่อ “เอาเถอะ ต่อให้พวกเราจะติดอยู่ในที่แห่งนี้ แต่ทำความรู้จักกันไว้ก็อาจจะมีประโยชน์ในภายหลังก็ได้ เจ้าชื่ออะไรหล่ะ?”
“อัลเลน”
“ยินดีที่ได้รู้จักนะ อัลเลน ฉันเข้าใจว่าเจ้าอายที่จะบอกนามสกุล เพราะฉะนั้นไม่ต้องบอกฉันก็ได้”
ฉันจับมือที่เขายื่นออกมา
“เยี่ยมเลย! ถ้าเจ้าอยากใช้ชีวิตอยู่ที่นี่อย่างไม่มีปัญหาและปลอดภัยมากที่สุด ก็ตั้งใจฟังสิ่งที่ฉันจะพูดให้ดีเข้าใจไหม? ฉันชื่อไฮส์ ลูกชายคนโตของเคานต์แฮดรอนที่ทำหน้าที่รับใช้จักพรรดิศักดิ์สิทธิ์ผู้ยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิทีโอเครติค”
ฉันค่อนข้างประหลาดใจกับคำประกาศของเขา
อืม อืมม!! แสดงว่าฉันจะได้ใช้เวลาผ่อนคลายที่นี่โดยไม่ต้องสนโลกแล้วสินะ? ฉันว่าตอนนี้ไม่จำเป็นต้องคิดหาข้ออ้างแล้วหล่ะ
สถานะและอำนาจของฉันได้ถูกลิดรอนไปแล้ว แต่เรื่องมันจะต่างออกไปถ้าเป็นลูกชายคนโตจากตระกูลเคานต์ แม้แต่พาลาดินก็คงไม่กล้าปฏิบัติกับเขาอย่างไม่เหมาะสมใช่ไหม?
ฉันยิ้มกว้างออกมาแล้วพูด “ถ้างั้นก็ขอฝากตัวด้วยนะ”
“เจ้าตัดสินใจถูกแล้วหล่ะ”
ฉันนั่งลงกับพื้น มันอาจจะเป็นศพของพวกนักโทษก็จริงอยู่แต่ฉันยังไม่หาญกล้าถึงขนาดไปนั่งทับพวกเขา
ไฮส์ที่นั่งอยู่ถัดจากฉันยังคงพล่ามต่อไปไม่หยุด
เรื่องราวของเขานั้นทำให้เขาดูเหมือนเป็นฮีโร่จากนิยายปรัมปรา เขาเอาแต่พร่ำบอกกับฉันว่าเขาใช้เวทย์ศักดิ์สิทธิ์ได้ตั้งแต่ตอนที่อายุแค่สามขวบและถูกเรียกว่าอัจฉริยะแห่งดาบในตอนที่เขาอายุเจ็ดขวบ เขาได้เล่าเรื่องน่าเหลือเชื่อมากมายเหล่านี้ซ้ำไปซ้ำมาซึ่งเรื่องต่างๆนั้นเหมาะกับเป็นนิทานหลอกเด็กมากกว่า
ฉันผ่อนคลายขึ้นเรื่อยๆในขณะที่ฟังเรื่องเล่าของเขา จนกระทั่งบทสนทนาส่วนต่อมาที่เกิดขึ้นระหว่างนักบวช
“ท่านไฮส์ ที่ท่านมาอยู่ที่นี่เพราะถูกสถาบันลงโทษมันเป็นความจริงหรอครับ? ผมได้ยินมาว่าท่านตัดสินใจมอบ ‘พร’ ให้กับเด็กสาวชั้นต่ำใช่ไหมครับ? แต่ว่าแทนที่จะรู้สึกยินดี เธอกลับคิดจะแก้แค้นท่านแทน...”
ไฮส์สะดุ้งอย่างไม่พอใจแล้วจ้องไปที่นักบวชคนนั้น
แล้วสีหน้าของไฮส์ก็แข็งกระด้างในทันที “เอ่อ? นั่นมัน? อา คือว่านั่นสินะ....ฮ่าฮ่า! เจ้าพูดถูก อันที่จริงมันไม่ยุติธรรมเลยใช่ไหมหล่ะ? ให้ตายเถอะ แค่ข่มขืนสาวใช้ที่ทำงานบ้านชั้นต่ำในสถาบันเท่านั้นทำไมฉันถึงผิดได้นะ?”
ฉันจ้องไปที่เขา
ไฮส์ต้องรู้สึกถึงสายตาของฉันแน่ๆ เพราะจู่ๆเขาก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นในขณะที่พูดต่อ “ฉันหมายถึง พวกสาวใช้จะมีชีวิตอยู่รอดได้ก็เพราะพวกเราดูแลพวกเธอดีถูกไหมหล่ะ?”
นักบวชคนนั้นถามเขา “แล้วเรื่องมันเป็นมายังไงครับ?”
“หืม? อ่อ นั่นมัน? คือเรื่องมันเป็นแบบนี้...” ไฮส์เริ่มพูดตะกุกตะกัก ไม่นานนัก เขาก็ดูเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้แล้วรีบพูดออกมา “น..แน่นอนว่าฉันพยายามจะขอนอนกับเธอ ตอนนั้นเธอกลัวและเธอก็เริ่มอ้อนวอนฉันประมาณว่า ‘ปล่อยฉันไปเถอะ’ ‘ไว้ชีวิตฉันด้วย!’ ฮ่าฮ่าฮ่า! รู้ไหมหลังจากที่ได้ยินเธออ้อนวอนแบบนั้นฉันก็ยิ่งอารมณ์ขึ้นเลยหล่ะ? ฉันคิดว่าฉันคงเป็นพวกโรคจิตที่หมดทางเยียวยาแล้วสินะ?”
สุดท้ายแล้วฉันก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยหลังจากที่ได้ยินเขา
เขาต้องเป็นพวกขี้อวดเบ่งแน่ๆถ้าดูจากวิธีที่เขาพูด แต่มันก็นั่นแหล่ะ เมื่อได้เห็นเขาถูกส่งมาที่นี่เป็นการลงโทษ เขาคงจะพยายามข่มขืนสาวใช้เหมือนกับเป็นลูกชายตัวบัดซบของตระกูลขุนนางแน่ๆ
ฉันไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่จะไปตำหนิเขาได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ฉันรู้สึกว่าเขาค่อนข้างรกหูรกตา