หลี่ไต้ไปที่โรงเรียนกีฬาเทศบาล เเล้วก็พบกับอาจารย์ฉิงฮั๋ว ซุน อาจารย์ฉิงฮั๋วเป็นอาจารย์สอนคณิตศาสตร์ เเละเพราะการฝึกกีฬาดูเหมือนจะสำคัญกว่าวิชาฝั่งวัฒนธรรมในโรงเรียนกีฬานี้ มันเป็นเหมือนเครื่องประดับ เป็นเหมือนเฟอร์นิเจอร์ที่ใช้งานไม่ได้ นั้นเป็นเหตุผลว่าทำไมฉิงฮั๋วถึงยังไม่เคยมีโอกาศได้เลื่อนขั้นเเล้วก็ยังคงเป็นเเค่ครูต๊อกต้อย
ในออฟฟิศฝ่ายบุคคล หลี่ไต้ กรอกใบสมัครอย่างจริงจัง ฉิงฮั๋ว ซุนที่ยืนอยู่ข้างๆเเล้วก็เริ่มเล่าเรื่องราว
ถ้าเป็นเมื่อหล่นปีก่อนโรงเรียนกีฬาของเราคงจะไม่จ้างครูอัตราจ้าง เเต่ปีนี้มันต่างกัน ครูใหญ่คนใหม่ของเรา คุณลู่ ได้ร่วมมือกับบริษัทเเละโรงเรียนม.ปลายชั้นนำมากมาย
เเล้วตกลงร่วมกันที่จะเด็กที่มีพรสวรรค์ด้านกีฬาให้ เพราะจัดหาครูไปให้ เเล้วทางโรงเรียนม.ปลายจะจัดการเรื่องสนามฝึกกับนักเรียน นั้นเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงขาดบุคลากรเเล้วต้องรับสมัครโค้ชผู้ช่วยจากสังคมเเบบนี้"
"หมายความว่างานนี้เป็นงานฝึกด่วนสำหรับเด็กที่มีความสามารถทางกีฬาซินะครับ"หลี่ไต้ เข้าใจ เข้าคุ้นเคยมากๆกับการฝึกเด็กที่มีความสามารถทางกีฬา เพราะเขาเองก็เคยเป็น1ในนั้นเหมือนกัน
มันมี3ช่องทางที่จะให้เด็กที่มีความสามารถพิเศษด้านกีฬาเข้ามหาลัยได้ อย่างเเรกเลยคือเป็นนักกีฬาระดับสูง เเต่ถึงอย่างงั้นอัตราการรับนักกีฬาระดับสูงมันต่ำเรี่ยดินมาก เเต่ข้อดีคือ พวกนี้จะมีโอกาศที่จะเข้ามหาลัยโดยที่ไม่จำเป็นต้องทำข้อสอบอะไรเลย ทำให้พวกนั้นมีทางเลือกเข้ามหาลัยได้จำนวนมาก เเต่การที่จะมาเป็นนักกีฬาระดับสูงได้ อย่างน้อยก็ต้องเป็นนักกีฬาชั้น1ระดับประเทศในกีฬาใดซักอย่าง หรือไม่ก็เป็นตัวสำคัญในทีมกีฬาที่อยู่ในระดับท๊อป8ของประเทศ
ถึงงั้นข้อกำหนด2อย่างนี้อาจจะไม่ได้ยามาเลยสำหรับนักเรียนตัวท๊อปของโรงเรียนกีฬา เเต่มันเเทบจะเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับเด็กม.ปลายธรรมดา
วิธีการที่2ที่จะเข้าเรียนมหาลัยได้คือการสิบข้อสอบพิเศษสำหรับกีฬาโดยเฉพาะ นี้เป็นระบบการสมัครเเบบพิเศษที่จะทำให้คะเเนนที่จะรับเข้าต่ำลง ตัวอย่างเช่น คะเเนนรับเข้าสำหรับการสอบเข้ามหาลัยปรกติคือ500คะเเนน เเต่ถ้าเป็นข้อสอบพิเศษสำหรับกีฬาโดยเฉพาะ จะต้องการคะเเนนเเค่100คะเเนน เพื่อจะเข้ามหาลัยเดียวกับ500คะเเนนนั้นละ เปรียบเทียบกันการต้องเป็นนักกีฬาระดับสูงเเล้ววิธีนี้ดูเหมือนเป็นวิธีที่ง่ายกว่าเยอะ
เเต่ยังซะก็ต้องมีการรับรองว่าเป็นนักกีฬาชั้น2จากชาติเพื่อมีสิทธิ์รับข้อสอบพิเศษสำหรับกีฬาในมหาลัยต่างๆ
ส่วนวิธีที่3 คือเป็นนักเรียนความสามารถทางกีฬา มันก็คล้ายๆกับการสมัครเรียนทั่วไปเเหล่ะ เเต่คะเเนนที่จะรับจะต่ำลงนิดหน่อย เเต่ยังไงก็ต่ำลงไม่เท่าข้อสอบพิเศษสำหรับกีฬาหรอก มันเป็นเรื่องง่ายมากที่จะมาเป็นนักเรียนความสามารถกีฬา ไม่ได้จำเป็นต้องเป็นนักกีฬาทีมชาติหรืออะไร
สิ่งที่ต้องทำก็มีเเค่ ไปสมัครทำข้อสอบด้วยตัวเองที่มหาลัย หลังจากวันปีใหม่ ผู้เข้าสอบทุกคนที่ไปมหาลัยนึงจากอีกมหาลัยเป็นนักเรียนความสามารถกีฬาหมด หลี่ไต้ เองก็เข้ามหาวิทยาลัยด้วยวิธีการนี้เหมือนกัน มันจะมีคณะบางคณะที่เกี่ยวของกับการกีฬาอย่างเช่น กายภาพศาสตร์เป็นต้น ถึงเเม้ว่าผู้เข้าสอบจะไม่ได้มีความสามารถทางกีฬาอาชีพเลยก็ตาม พวกเข้าก็ยังสามารถเข้าสอบได้ เเต่ถึงอย่างงั้นคะเเนนที่รับเข้าก็ไม่ต่างอะไรกับเกณฑ์การรับเข้าปรกติเลย
มันใช้เวลาฝึกนานมากกว่ากว่าจะกลายเป็นนักกีฬาระดับสูงได้ หรือไม่ก็ผ่านการสอบพิเศษสำหรับกีฬาพวกนั้นต้องเป็นตัวท๊อปของในหมู่เทพจากทั่วเมืองเพื่อจะได้ตำเเหน่งนักกีฬาเเนวหน้าระดับสูงมาเเล้วยิ่งเป็นเป็นนักกีฬาระดับสูงในช่วงม.ปลายเเล้วด้วย นั้นเป็นเพราะนักกีฬาระดับสูงของชาตินั้นต้องต้องทำสถิติให้ถึงมาตรฐานในระดับเขตหรือระดับประเทศก่อนถึงจะได้รับยศตำเเหน่งนั้นมา
นักเรียนความสามารถกีฬานี้สามารถฝึกได้ในเวลาอันสั้น อุปสรรคของการสอบสำหรับนักเรียนความสามารถกีฬานี้มีน้อยมาก ถึงขั้นเริ่มฝึกปีสุดท้ายของการเรียนม.ปลายก็ยังทัน เเล้วถ้าในเวลา6เดือนนั้น ฝึกอย่างหนักในช่วงครึ่งวัน ก็สามารถสอบผ่านข้อสอบของหลายๆมหาลัยได้เเบบไม่มีปัญหา
โรงเรียนจะเพิ่มอัตราการเข้าเรียนมหาลัยได้ถ้าสามารถทำให้นักเรียนเกรดธรรมดาให้กลายมาเป็นนักเรียนความสามารถกีฬา เเต่ถึงอย่างงั้น ด้วยความที่จำนวนโควต้าของอาจารย์สอนกีฬามันต่ำมาก เเล้วผลการฝึกที่ออกมายังได้ไม่ดีเท่าโรงเรียนกีฬาอีกตั่งหาก
ดังนั้น การร่วมมือครั้งนี้จึงเกิดขึ้น โรงเรียนกีฬาจะจัดหาโค้ชเพื่อช่วยโรงเรียนม.ปลาย เเต่ถึงอย่างงั้นจำนวนโค้ชในโรงเรียนกีฬาก็ไม่เพียงพอเพราะมีโรงเรียนม.ปลายจำนวนเกือบโหลในเมืองโหยวฮาว โรงเรียนกีฬาต้องเเน่ใจด้วยว่าการฝึกภายในโรงเรียนตัวเองต้องเป็นไปได้ด้วยดี เเละเพราะจำนวนของโค้ชประจำถึงขีดจำกัดเเล้ว ทางโรงเรียนจึงจ้างครูฝึกผู้ช่วยมาตอบสนองนโยบายนี้
...
หลังจากนั้น1อาทิตย์หลี่ไต้ ได้ทำข้อสอบข้อเขียน การคัดเลือกจ้างโค้ชผู้ช่วยในโรงเรียนกีฬานั้นถือว่าเป็นที่น่าดึงดูด มีจำนวนผู้สมัครเข้ามามากกว่า100คน ระดับของผู้สมัครก็มีความต่างกับตัวเขาเองมาก ส่วนมากจะจบมาจากโรงเรียนกีฬาเเล้วก็มีเเค่ใบประกาศเเค่ม.ปลายหรือไม่ก็ปวส. คนอย่างหลี่ไต้ ที่กำลังจะเรียนจบมหาลัยถือว่าอยู่เเรงค์สูงมากๆในที่นี้
มันก็ไม่เเปลกเลยที่หลี่ไต้ จะได้เปรียบในเรื่องการสอบข้อเขียน ด้วยความที่คณะของเขาคือการฝึกกีฬา เขามีความรู้ด้านกีฬาเหนือกว่าคนอื่นๆ ถ้ามีใครมาท้าเขาวิ่งเเข่งในสนามเขาอาจจะเเพ้นะ เเต่ในด้านทางทฤษฏีเขาเหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด
ผลการสอบข้อเขียนก็ถือว่าเป็นที่น่าพอใจ เขาได้อันดับ1 และตราบใดที่เขาทำได้ซักลำดับกลางๆของตารางในการทดสอบร่างกาย เขาก็จะได้ทำงานที่นี้แน่ๆ
การสอบร่างกายนั้นมีการทดสอบอยู่4อย่างด้วยกัน คือ วิ่งเร็ว100เมตร วิ่ง800เมตร กระโดดไกล แล้วก็ขว้างตุ้ม5กิโลกรัม ก็ถือเป็นการทดสอบขั้นพื้นฐานทางร่างกาย ด้วยความที่โค้ชกีฬาไม่จำเป็นต้องเป็นนักกีฬาด้วยเสมอไป จึงต้องการแค่ความสามารถทางร่างกายแบบปรกติ นั้นเป็นเหตุผลว่าทำไมคะแนนทดสอบร่างกายจึงเป็นคะแนนแค่1ใน3ของคะแนนทั้งหมด
หลี่ไต้ มีค่าความสามารถทางกีฬา 80 นั้นก็สูงกว่าค่าเฉลี่ยของคนทั่วไปแล้ว คณะของเขา การฝึกกีฬา 40%ของวิชาในนั้นเป็นวิชาการฝึกภาคสนาม นั้นหมายความว่าร่างกายของเขาก็แข็งแกร่งเอาเรื่องอยู่
เขาไม่ใช่นักกีฬามืออาชีพ ดั่งนั้น ในที่นี้มีนักกีฬาที่เกษียรแล้วที่มีความสามารถในด้านกีฬาดีเยี่ยมอยู่ในบรรดาผู้สมัคร ถึงแม้ว่าในสายงานอาชีพของพวกเขาจะไม่ได้ทำผลงานอะไรมาก แต่พวกเขาก็เหนือกว่าหลี่ไต้ ในด้านกีฬาแน่ๆ
แต่โชคดีที่คนที่อยู่ในลำดับบนๆของการทดสอบร่างกายนั้น มีผลการสอบข้อเขียนที่ธรรมดาตามเกณฑ์มาตรฐานมากๆ บางคนถึงขั้นอยู่ในระดับร่างของตาราง พวกนักกีฬาเก่าพวกนี้ไม่รู้อะไรเลยนอกเหนือจากกีฬา มีเพียงแค่ใบจบจากโรงเรียนเทคนิคมัธยม มันไม่มีทางที่พวกนั้นจะมาแข่งกับเด็กมหาลัยที่จบจากคณะการฝึกกีฬาอย่างหลี่ไต้ อยู่แล้ว
หลี่ไต้ แค่มีคะแนนทดสอบทางร่างกายธรรมดาไปหน่อย แต่เขาก็ยังอยู่ในลำดับรวมที่สูงมาก จากที่เขาทำข้อสอบข้อเขียนได้อย่างสมบูรณ์แบบ
...
“ฉันได้งานแล้ ตอนนี้ไม่ต้องกล้วเรื่องหางานแล้วเรา”
หน้าของหลี่ไต้ เต็มไปด้วยความหวัง เขารู้สึกได้ว่าเขาใกล้เข้าสู่อาชีพการเป็นโค้ชในฝันของขาไปอีกก้าวแล้ว