px

เรื่อง : วิญญาณอาฆาต
ตอนที่ 1 หวังเฟยขององค์ชาย


       ความหนาวเย็นเป็นอย่างมาก

 

       สายฟ้าแลบนั้น ดูราวกับว่า สวรรค์กำลังทรงพิโรธ มันพุ่งออกมาจากเส้นขอบฟ้าที่มืดมิด

 

       และทำให้ผู้คนบนโลกมนุษย์มีความรู้สึกที่สิ้นหวังเกิดขึ้น

 

       แต่ในช่วงเวลานี้มีเพียงเย่เจิ้นเท่านั้น ที่ยังคงเป็นข้อยกเว้นแต่เพียงผู้เดียว 

 

       นางกำลังยืนอยู่ข้างประตูบริเวณหน้าบ้านเป็นเวลาหลายชั่วโมงแล้ว

 

       สิ่งที่นางตั้งใจรออย่างจริงจังมิใช่แสงแรกของวันใหม่

 

       แต่กำลังรอรถม้าที่มีตราประทับขององค์จักรพรรดิ

 

       ผมสีเข้มของนางเปียกชุ่มไปด้วยน้ำฝน เส้นผมที่เปียกบางส่วนติดอยู่ที่แก้มบอบบางนั้น

 

       ทำให้ดูกระเซอะกระเซิง และขณะนี้ใบหน้าของนางเริ่มมีความเศร้าหมองเข้าครอบงำมากขึ้น 

 

       อย่างไรก็ตาม นางยังคงยืนหยัดอย่างแน่วแน่ โดยมิได้ใส่ใจต่อความหนาวเย็นที่กำลังคืบคลานเข้ามาแม้แต่น้อย

       “หวังเฟย ท่านควรเข้าไปรอด้านใน เมื่อใดก็ตามที่จักรพรรดิต้องการพบท่าน พระองค์จะส่งขันทีมารับท่านเข้าไปในวังหลวงเอง” 

 

        สาวใช้ของนางกล่าวด้วยความกังวลใจ

 

        นางแต่งงานกับองค์ชายโม่หรงซาน และได้รับการเเต่งตั้งให้เป็น 'หวังเฟย' ของเขา

 

        และในปัจจุบันนี้องค์ชายโม่หรงซานได้ขึ้นครองราชย์ และสถาปนาตนเองขึ้นเป็นจักรพรรดิองค์ใหม่เมื่อสองวันที่ผ่านมานี้

 

        และเป็นธรรมเนียมที่จะต้องให้นางออกมาต้อนรับ และส่งตัวนางเข้าไปในตำหนักของพระองค์ เพื่อค้างคืนกับฝ่าบาทในฐานะหวังเฟย 

 

       แต่เหตุใด เวลาได้ล่วงเลยมาถึงตอนนี้แล้ว ยังมิมีวี่แววเกี่ยวกับการมารับตัวของนางเลย?

 

       เย่เจิ้นมีความรู้สึกกังวลใจยิ่งนัก นางอายุเพียงแค่สิบสามปีเท่านั้นในตอนที่แต่งงานกับองค์ชายโม่หรงซาน

 

       แม้ว่าในช่วงระยะเวลาสองปีหลังจากการแต่งงานนั้น เขามิได้มาหานางเลยแม้เพียงสักครั้งเดียว

 

      ในความเป็นจริงแล้ว ครั้งสุดท้ายที่นางเห็นเขาคือ ในวันแต่งงานนั่นเอง 

 

       และในตอนนี้ นางได้เติบโตเป็นหญิงสาวแล้ว เขาอาจจะจำนางมิได้แล้ว! 

 

      เขาจะพานางเข้าไปอยู่ในพระราชวังหลวง ในตอนที่เขาแย่งชิงบัลลังก์สำเร็จแล้วหรือไม่?

 

      “หวังเฟย!” 

 

       สาวใช้ผู้ซึ่งออกไปเมื่อครู่กลับเข้ามาพร้อมกับมีข่าวมาแจ้งให้ทราบ

 

      เมื่อพิจารณาจากใบหน้าที่บูดบึ้งของนางแล้ว เย่เจิ้นจึงรู้ในทันทีว่า ข่าวนั้นคงจะทำให้นางต้องเกิดความรู้สึกหดหู่ใจแน่นอน 

 

       ขณะที่สาวใช้ยืนต่อหน้านายหญิง นางหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะกล่าวว่า ...

 

      “จากสิ่งที่บ่าวผู้นี้ได้ยินมา สนมหลูถูกพาตัวเข้าไปที่พระราชวังแล้ว 

 

       โดยรถม้าของจักรพรรดิถูกส่งมาเมื่อวานเพื่อรับตัวนาง!” สาวใช้กล่าวอย่างลืมหายใจ 

 

       “..และจักรพรรดิได้มีราชโองการ…”

 

       ในตอนนี้หัวใจของเย่เจิ้นเริ่มเต้นมิเป็นจังหวะ ใบหน้าของนางเปลี่ยนเป็นขาวซีดเหมือนกับกระดาษเปล่า

 

        พร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือว่า

 

       “มีราชโองการมาว่าอย่างไร?”

 

       “ทรัพย์สินมีค่าทั้งหมดของบ้านตระกูลเย่จะถูกยึด…

 

         และพรุ่งนี้ตระกูลเย่ทั้งหมดจะถูกตัดหัวโดยราชโองการของ องค์จักรพรรดิ!” สาวใช้ร้องลั่นอย่างเสียขวัญ

 

         “...เหตุใด เหตุใดจึงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นมาได้” เย่เจิ้น กล่าวด้วยความสับสนอย่างท่วมท้น

 

        เย่เจิ้นเกือบจะเป็นลมเมื่อได้ยินข่าวร้ายนี้ และในตอนนี้นางกำลังจะทรุดตัวลง แต่สาวใช้รีบเข้ามาพยุงตัวเอาไว้ได้ทันเวลา

 

        ทั้งตระกูลของนางจะถูกตัดหัวโดยราชโองการของชายผู้ที่นางแต่งงานด้วย! 

 

       นางหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ทั้งหมดนี้จะเป็นเพียงฝันร้าย แต่เสียงฟ้าร้องคำรามที่ดังสนั่นหวั่นไหวนั้น 

 

      ทำให้รับรู้ได้ว่า สิ่งที่กำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ ทั้งหมดคือเรื่องจริงที่ขมขื่น

 

       เนื่องจากเย่เจิ้นเคยช่วยชีวิตองค์ชายโม่หรงซานเอาไว้ จึงมิเข้าใจว่า 

 

       เหตุใดโม่หรงซานจึงทำเช่นนี้กับนางได้ลงคอ! 

 

       เย่เจิ้นมิมีค่าอันใดสำหรับเขาเลยหรือ?

 

        แม้จะมีความวุ่นวายอยู่ภายในหัวใจ แต่นางก็พยายามคิดหาวิธีที่จะสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ 

 

       ในหัวของนางตอนนี้ นึกออกเพียงชื่อของคนผู้เดียวเท่านั้น

 

       “ไปตามหาหลูหลินจือ!” นางกล่าว

 

        เเต่ในที่สุด นางได้เปลี่ยนใจ และกล่าวออกมาว่า

 

       “ข้าไปพบเค้าเองจะดีกว่า!” 

 

        เย่เจิ้นผลักมือสาวใช้ออกจากตนเอง และพุ่งตัวผ่านสายฝนออกไปอย่างรีบร้อน

 

       มีผู้คุ้มกันมากมายอยู่บริเวณด้านหน้าประตูวัง และพยายามขวางทางเอาไว้

 

       โดยกล่าวว่า มีราชโองการว่า มิอนุญาตให้ผู้ใดผ่านเข้าไปด้านใน

 

      “เย่เจิ้น!”

 

      หลูหลินจือเดินออกมาจากบริเวณประตู และจ้องมองมาที่นางด้วยสายตาเป็นห่วง 

 

      "เจ้ากำลังจะไปที่ใดกัน?"

 

       แม้จะเกิดมาในครอบครัวพ่อค้า แต่หลูหลินจือก็สามารถผันตัวไปเป็นข้าราชการได้ 

 

       เพราะเล่ห์เหลี่ยมของเขาสามารถเป็นบันไดให้ตนเองสมมารถก้าวขึ้นไปได้ เขารู้เรื่องราชโองการอยู่แล้วจึงตัดสินใจที่จะมาเยี่ยมเพื่อน


รีวิวผู้อ่าน