ความหนาวเย็นเป็นอย่างมาก
สายฟ้าแลบนั้น ดูราวกับว่า สวรรค์กำลังทรงพิโรธ มันพุ่งออกมาจากเส้นขอบฟ้าที่มืดมิด
และทำให้ผู้คนบนโลกมนุษย์มีความรู้สึกที่สิ้นหวังเกิดขึ้น
แต่ในช่วงเวลานี้มีเพียงเย่เจิ้นเท่านั้น ที่ยังคงเป็นข้อยกเว้นแต่เพียงผู้เดียว
นางกำลังยืนอยู่ข้างประตูบริเวณหน้าบ้านเป็นเวลาหลายชั่วโมงแล้ว
สิ่งที่นางตั้งใจรออย่างจริงจังมิใช่แสงแรกของวันใหม่
แต่กำลังรอรถม้าที่มีตราประทับขององค์จักรพรรดิ
ผมสีเข้มของนางเปียกชุ่มไปด้วยน้ำฝน เส้นผมที่เปียกบางส่วนติดอยู่ที่แก้มบอบบางนั้น
ทำให้ดูกระเซอะกระเซิง และขณะนี้ใบหน้าของนางเริ่มมีความเศร้าหมองเข้าครอบงำมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม นางยังคงยืนหยัดอย่างแน่วแน่ โดยมิได้ใส่ใจต่อความหนาวเย็นที่กำลังคืบคลานเข้ามาแม้แต่น้อย
“หวังเฟย ท่านควรเข้าไปรอด้านใน เมื่อใดก็ตามที่จักรพรรดิต้องการพบท่าน พระองค์จะส่งขันทีมารับท่านเข้าไปในวังหลวงเอง”
สาวใช้ของนางกล่าวด้วยความกังวลใจ
นางแต่งงานกับองค์ชายโม่หรงซาน และได้รับการเเต่งตั้งให้เป็น 'หวังเฟย' ของเขา
และในปัจจุบันนี้องค์ชายโม่หรงซานได้ขึ้นครองราชย์ และสถาปนาตนเองขึ้นเป็นจักรพรรดิองค์ใหม่เมื่อสองวันที่ผ่านมานี้
และเป็นธรรมเนียมที่จะต้องให้นางออกมาต้อนรับ และส่งตัวนางเข้าไปในตำหนักของพระองค์ เพื่อค้างคืนกับฝ่าบาทในฐานะหวังเฟย
แต่เหตุใด เวลาได้ล่วงเลยมาถึงตอนนี้แล้ว ยังมิมีวี่แววเกี่ยวกับการมารับตัวของนางเลย?
เย่เจิ้นมีความรู้สึกกังวลใจยิ่งนัก นางอายุเพียงแค่สิบสามปีเท่านั้นในตอนที่แต่งงานกับองค์ชายโม่หรงซาน
แม้ว่าในช่วงระยะเวลาสองปีหลังจากการแต่งงานนั้น เขามิได้มาหานางเลยแม้เพียงสักครั้งเดียว
ในความเป็นจริงแล้ว ครั้งสุดท้ายที่นางเห็นเขาคือ ในวันแต่งงานนั่นเอง
และในตอนนี้ นางได้เติบโตเป็นหญิงสาวแล้ว เขาอาจจะจำนางมิได้แล้ว!
เขาจะพานางเข้าไปอยู่ในพระราชวังหลวง ในตอนที่เขาแย่งชิงบัลลังก์สำเร็จแล้วหรือไม่?
“หวังเฟย!”
สาวใช้ผู้ซึ่งออกไปเมื่อครู่กลับเข้ามาพร้อมกับมีข่าวมาแจ้งให้ทราบ
เมื่อพิจารณาจากใบหน้าที่บูดบึ้งของนางแล้ว เย่เจิ้นจึงรู้ในทันทีว่า ข่าวนั้นคงจะทำให้นางต้องเกิดความรู้สึกหดหู่ใจแน่นอน
ขณะที่สาวใช้ยืนต่อหน้านายหญิง นางหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะกล่าวว่า ...
“จากสิ่งที่บ่าวผู้นี้ได้ยินมา สนมหลูถูกพาตัวเข้าไปที่พระราชวังแล้ว
โดยรถม้าของจักรพรรดิถูกส่งมาเมื่อวานเพื่อรับตัวนาง!” สาวใช้กล่าวอย่างลืมหายใจ
“..และจักรพรรดิได้มีราชโองการ…”
ในตอนนี้หัวใจของเย่เจิ้นเริ่มเต้นมิเป็นจังหวะ ใบหน้าของนางเปลี่ยนเป็นขาวซีดเหมือนกับกระดาษเปล่า
พร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือว่า
“มีราชโองการมาว่าอย่างไร?”
“ทรัพย์สินมีค่าทั้งหมดของบ้านตระกูลเย่จะถูกยึด…
และพรุ่งนี้ตระกูลเย่ทั้งหมดจะถูกตัดหัวโดยราชโองการของ องค์จักรพรรดิ!” สาวใช้ร้องลั่นอย่างเสียขวัญ
“...เหตุใด เหตุใดจึงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นมาได้” เย่เจิ้น กล่าวด้วยความสับสนอย่างท่วมท้น
เย่เจิ้นเกือบจะเป็นลมเมื่อได้ยินข่าวร้ายนี้ และในตอนนี้นางกำลังจะทรุดตัวลง แต่สาวใช้รีบเข้ามาพยุงตัวเอาไว้ได้ทันเวลา
ทั้งตระกูลของนางจะถูกตัดหัวโดยราชโองการของชายผู้ที่นางแต่งงานด้วย!
นางหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ทั้งหมดนี้จะเป็นเพียงฝันร้าย แต่เสียงฟ้าร้องคำรามที่ดังสนั่นหวั่นไหวนั้น
ทำให้รับรู้ได้ว่า สิ่งที่กำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ ทั้งหมดคือเรื่องจริงที่ขมขื่น
เนื่องจากเย่เจิ้นเคยช่วยชีวิตองค์ชายโม่หรงซานเอาไว้ จึงมิเข้าใจว่า
เหตุใดโม่หรงซานจึงทำเช่นนี้กับนางได้ลงคอ!
เย่เจิ้นมิมีค่าอันใดสำหรับเขาเลยหรือ?
แม้จะมีความวุ่นวายอยู่ภายในหัวใจ แต่นางก็พยายามคิดหาวิธีที่จะสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้
ในหัวของนางตอนนี้ นึกออกเพียงชื่อของคนผู้เดียวเท่านั้น
“ไปตามหาหลูหลินจือ!” นางกล่าว
เเต่ในที่สุด นางได้เปลี่ยนใจ และกล่าวออกมาว่า
“ข้าไปพบเค้าเองจะดีกว่า!”
เย่เจิ้นผลักมือสาวใช้ออกจากตนเอง และพุ่งตัวผ่านสายฝนออกไปอย่างรีบร้อน
มีผู้คุ้มกันมากมายอยู่บริเวณด้านหน้าประตูวัง และพยายามขวางทางเอาไว้
โดยกล่าวว่า มีราชโองการว่า มิอนุญาตให้ผู้ใดผ่านเข้าไปด้านใน
“เย่เจิ้น!”
หลูหลินจือเดินออกมาจากบริเวณประตู และจ้องมองมาที่นางด้วยสายตาเป็นห่วง
"เจ้ากำลังจะไปที่ใดกัน?"
แม้จะเกิดมาในครอบครัวพ่อค้า แต่หลูหลินจือก็สามารถผันตัวไปเป็นข้าราชการได้
เพราะเล่ห์เหลี่ยมของเขาสามารถเป็นบันไดให้ตนเองสมมารถก้าวขึ้นไปได้ เขารู้เรื่องราชโองการอยู่แล้วจึงตัดสินใจที่จะมาเยี่ยมเพื่อน