px

เรื่อง : วิญญาณอาฆาต
ตอนที่2 ล่องลอย


         “หลูหลินจือ! ข้าต้องการความช่วยเหลือจากท่าน เจ้าเคยกล่าวว่าจะช่วยข้ามิใช่หรือ” 

 

        เย่เจิ้นคว้าแขนของชายผู้นั้น แต่เขากลับมองมายังใบหน้าของนางอย่างสิ้นหวัง 

 

        ตลอดระยะสองปีที่ผ่านมา เขาให้ความช่วยเหลือนางมาโดยตลอด 

 

         ด้วยเหตุนี้ เย่เจิ้นจึงมองว่าเขาเป็นเพื่อนสนิทของนางอย่างแท้จริง

 

         นางได้ส่งจดหมายถึงโม่หรงซาน ผ่านทางเขา 

 

         และตอนนี้นางคิดว่า เขาเป็นเพียงผู้เดียวที่สามารถช่วยนางได้อย่างแน่นอน โดยเฉพาะในสถานการณ์เช่นนี้

 

        หลูหลินจือกล่าวด้วยรอยยิ้มที่แสดงถึงความมั่นใจ 

 

        “ข้าจะต้องช่วยเจ้าแน่นอน” 

         และเขาได้จ้องมองดู ขณะที่เย่เจิ้นดึงสิ่งของบางอย่างออกมาจากเสื้อคลุมของนาง: 

 

       มันเป็นหยกที่แกะสลักเป็นรูปหงส์

 

       “ช่วยพาข้าไปหาจักรพรรดิด้วย และในทันทีที่เขาเห็นสิ่งนี้เขาจะออกมาพบข้า” 

 

        เย่เจิ้นนำจี้หยกที่ตนเองสวมใส่และเก็บเอาไว้เป็นเวลานานถึงแปดปี และกล่าวว่า

 

        “มันจะมิมีปัญหาอย่างแน่นอน!” 

 

        ดวงตาของหลูหลินจือจ้องมองไปยังหยกชิ้นนั้น 

 

        “บางทีตอนนี้จักรพรรดิอาจยุ่งอยู่กับการปฏิบัติพระราชกรณียกิจของพระองค์อยู่”

 

       “ได้โปรด ข้ายอมทำทุกอย่าง ขอเพียงแค่ให้ได้พบเขาเท่านั้น

 

       ข้าเคยช่วยชีวิตเขา และเขาได้สัญญากับข้าไว้ ตราบใดที่ข้ามีสิ่งนี้เขาจะให้ทุกสิ่งที่ข้าต้องการ 

 

       ได้โปรดบอกเขาว่า ข้าขอเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น จงไว้ชีวิตตระกูลเย่” 

 

       เย่เจิ้นรู้สึกได้ถึงน้ำตาที่รินไหลออก มาโดยมิขาดสาย

 

       และนางมิปรารถนาที่จะใช้ชีวิตร่วมกับเขาอีกต่อไป ตอนนี้เพียงแค่ต้องการช่วยชีวิตคนตระกูลเย่

 

       เย่เจิ้นส่งจี้หยกให้กับหลูหลินจือด้วย มือที่สั่นเทา

 

        ดวงตาของหลูหลินจือจ้องมองไปยังจี้หยกในมือของตนเอง

 

       “เจ้าวางใจได้ ตอนนี้กลับไปรอที่ตำหนักก่อน”

 

       เย่เจิ้นกลับไปยังตำหนักของนางและเฝ้ารออย่างทุกข์ทรมาน

 

       แต่มิเคยรู้เลยว่า กำลังมีผู้นำเหล้าพิษมามอบให้นาง...

 

       เย่เจิ้นจ้องมองไปยังหลูหลินจือ ด้วยความรู้สึกสับสนเป็นอย่างมาก

 

       เมื่อเห็นจี้หยกเขาจะรู้ว่านางคือหญิงสาวที่ช่วยเขาเอาไว้ 

 

       แต่เหตุใดเขาจึงมิมาหานาง

 

      "เหตุใด?"

 

        หลูหลินจือกล่าวออกมาอย่างแผ่วเบาว่า

 

       “จักรพรรดิเชื่อมานานแล้วว่า หญิงสาวที่ช่วยชีวิตเขาคือ ซวงเอ๋อ 

 

      แม้ว่าเจ้าจะนำจี้หยกชิ้นนี้มาแสดงให้เขาดู มันก็จะมิมีอันใดเปลี่ยนแปลง” 

 

     เย่เจิ้นจึงเงยหน้าขึ้น และจ้องมองไปยังหลูหลินจือ

 

      “ซวงเอ๋อหรือ? 

 

        หลูซวงเอ๋อเป็นน้องสาวของเจ้าเช่นนั้นหรือ? 

 

        เจ้าก็รู้ว่า ข้าเป็นผู้ที่ช่วยชีวิตจักรพรรดิ เหตุใดเจ้าจึงมิอธิบายให้เขาฟัง!”

 

        อย่างไรก็ตาม หลูหลินจือจ้องมองใบหน้าของนางด้วยความรังเกียจ

 

        “หลินจือตอบข้ามาสิ! เพราะเหตุใดกัน"

 

        ก่อนที่นางจะเอ่ยถามถึงสิ่งอื่น มือของผู้ที่เย่เจิ้นไว้ใจก็คว้าร่างของนางไว้ 

 

        นางพยายามดิ้นรนอย่างสุดชีวิต แต่ก็มิสามารถต้านทานได้

 

        หลูหลินจือกระซิบอย่างแผ่วเบา

 

       “เย่เจิ้น ข้าเป็นหนี้เจ้าในชาตินี้ และตอนนี้จงเดินทางสู่ชีวิตหลังความตายอย่างปลอดภัย”

 

        จากนั้นเมื่อจับตัวเย่เจิ้นได้ สาวใช้ที่ไว้ใจได้มากที่สุดของนางได้ช่วยเขาง้างปากของเย่เจิ้น จากนั้นจึงกรอกเหล้าพิษเข้าปากนางทันที

 

         เสียงทุ้มต่ำของหลูหลินจือ กล่าวว่า

 

        “…จงไปใช้ชีวิตหลังความตายให้มีความสุข”

 

        นางทรุดตัวลงนั่งกองกับพื้น และใช้มือเกาะกุมที่บริเวณลำคอของตนเอง ขณะที่พยายามหายใจอย่างเต็มที่ 

 

        ด้วยความทุกข์ทรมานนั้น นางจ้องมองไปยังจุดเดียว นั่นคือ ใบหน้าอันอ่อนโยนของหลูหลินจือ

 

       และทันใดนั้น นางได้หมดความรู้สึกลง ทุกอย่างมืดมิด มิหลงเหลือความรู้สึกใด ๆ อยู่เลย

 

       นอกจากความเจ็บปวดในหัวใจ และความเจ็บปวดจากการถูกทรยศจากผู้ที่นางไว้ใจ

 

        วิญญาณของเย่เจิ้นหลุดลอยออกจากร่าง และล่องลอยไปในอากาศ

 

       เป็นภาวะที่ไร้น้ำหนัก ทุกอย่างเคว้งคว้าง และว่างเปล่า

 

        นางเฝ้าดูขณะที่หลูหลินจือออกคำสั่งให้ฆ่าคนรับใช้ทั้งหมดในตำหนักรวมถึงสาวใช้คนสนิทของนางด้วย

 

       และได้เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ลุกลามท่วมตำหนักที่นางอาศัยอยู่ และร่องรอยของเย่เจินก็ได้ถูกทำลายจนหมดสิ้น

 

       ดวงวิญญาณของเย่เจิ้นได้ติดตามหลูหลินจือเข้าไปในวังหลวง และล่องลอยเข้าไปยังห้องหนังสือของจักรพรรดิ

 

      “ทูลฝ่าบาท หวังเฟยเย่เจิ้นได้ทราบว่า พระองค์จะกักขังนางเอาไว้ในวัง 

 

       นางมิเต็มใจที่จะปฏิบัติตาม จึงจุดไฟเผาตำหนักของตนเอง และมิมีผู้ใดรอดชีวิตเลย” 

 

       หลูหลินจือกำลังคุกเข่าอยู่ต่อหน้าชายผู้หนึ่ง และกล่าวด้วยท่าทีที่แสดงถึงความเคารพ

 

      ดวงวิญญาณของเย่เจิ้นล่องลอยข้ามเสาไป และในตอนนี้มิมีสิ่งใดสามารถมาหยุดวิญญาญของนางได้

 

       นางเพียงแค่ยืนอยู่ตรงหน้าชายผู้นั้น และมองตรงไปยังเสื้อคลุมสีทองเหลืองอร่ามของเขา

 

       สิ่งนี้ทำให้ใบหน้าที่สง่างามของเขารู้สึกคุ้นเคยมากขึ้น และทันใดนั้นเอง

 

       นางกำลังมีความรู้สึกว่า มีอาการตัวสั่นอย่างมิสามารถจะควบคุมได้

 

       มิได้เห็นเขามาเป็นเวลาหลายปีแล้วเขามิใช่เด็กหนุ่มในความทรงจำของนางอีกต่อไปแล้ว

 

       เพราะชายหนุ่มผู้นั้นสวมเสื้อผ้าที่ธรรมดาพร้อมกับมีรอยยิ้มที่ดูเป็นธรรมชาติบนใบหน้า

 

       แต่ตอนนี้เขากลายเป็นผู้ที่หล่อเหลามากขึ้น แววตาตรงนิ่ง และมิแยแสต่อสิ่งใด

 

      ซึ่งนางมีความรู้สึกว่า เป็นการเปลี่ยนแปลงที่น่าหวาดกลัวทีเดียว


รีวิวผู้อ่าน