px

เรื่อง : วิญญาณอาฆาต
ตอนที่3 กักขังดวงวิญญาณ


          “โม่หรงซาน เหตุใดท่านถึงปล่อยให้พวกเขาฆ่าข้า?

 

         เหตุใดท่านมิรักษาสัญญาที่ให้ไว้?

 

         เหตุใดท่านมิมาหาข้าเลยสักครั้ง?” 

 

         เย่เจิ้นเฝ้าแต่เอ่ยถามซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่มิมีผู้ใดได้ยินร้องคร่ำครวญของนาง

 

       ดวงตาของโม่หรงซานสบเข้ากับร่างของหลูหลินจือที่อยู่ตรงหน้าเขาอย่างเย็นชา 

 

       “เย่เจิ้นตายแล้วหรือ?”

 

       “พะยะค่ะฝ่าบาท”

 

        จากนั้นจึงเกิดความเงียบงันขึ้นชั่วขณะ 

 

       ชั่วขณะหนึ่งเย่เจิ้นคิดว่า นางคงจะมองเห็นความเศร้าโศก หรือความเสียใจในดวงตาของเขา แต่มิมีเลย

 

      “หากผู้ที่มิมีนัยสำคัญตาย ก็ปล่อยให้เป็นไปตามนั้น”

 

        เขามิเคยต้องการที่จะให้นางเข้ามารับใช้ใกล้ชิดเขาในวัง 

 

        แต่มีความแน่ใจว่า ความต้องการทั้งหมดของนางจะได้รับการดูแล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหารหรือเสื้อผ้า นางจะมีครบทุกอย่าง

 

        หากนางมีความต้องการที่จะตาย เช่นนั้นตามใจนางก็แล้วกัน

 

        ดวงตาของหลูหลินจือมีประกายของความสมหวังเกิดขึ้น 

 

       "พะยะค่ะ กระหม่อมเห็นด้วย."

 

        "พรุ่งนี้ข้าจะแต่งตั้งเซียงเอ๋อขึ้นเป็น หวังเฟย เพราะหากเซียงเอ๋อ มิช่วยชีวิตข้าไว้ ข้าคงจะมิมีวันนี้” 

 

       โม่หรงซานกล่าว

 

       แม้ว่าหลูอู๋ซวงจะมิสามารถจดจำคำกล่าวลับได้ แต่ก็เป็นเรื่องปกติสำหรับเด็กที่อายุเพียงเจ็ดขวบในเวลานั้น 

 

       เป็นไปได้ว่า นางคงจะจดจำเรื่องราวที่ผ่านมานานแล้วเช่นนั้นมิได้ และนี่คือสิ่งที่จักรพรรดิคิด

 

       เย่เจิ้นเกิดแรงกระตุ้นที่จะหัวเราะออกมาดัง ๆ นางรอมาทั้งชีวิตเพื่อที่จะได้อยู่ใกล้ชิดเขา 

 

       แต่สิ่งที่ได้รับมาคือ เหล้าพิษหนึ่งแก้ว และคำกล่าวที่มิแยแสจากปากของชายผู้นี้ 

 

       ผู้ที่กล่าวว่า นางมิได้เป็นอันใดกับเขาเลย เป็นเพียงผู้หญิงที่มิมีนัยสำคัญเท่านั้น

 

       และสิ่งที่น่าสนใจคือ นางมิเคยทราบความจริงเลย จนกระทั่งเสียชีวิต

 

       เย่เจิ้นกรีดร้องออกมาด้วยความโกรธแค้น ... และความสิ้นหวัง 

 

      “โม่หรงซาน หากได้กลับไปเกิดอีกครั้ง ข้า...เย่เจิ้นจะต้องแก้แค้นเจ้าอย่างแน่นอน!”

 

      เมื่อได้เห็นในสิ่งที่นางต้องการเห็นเพียงพอแล้ว จึงหันหลังและล่องลอยออกจากห้องนั้นไป 

 

      นางต้องการที่จะไปเยี่ยมครอบครัวที่เสียชีวิตของตนเอง 

 

      แต่มิว่าจะดิ้นรนเพียงใด นางก็มิสามารถหลุดพ้นออกไปได้ 

 

      มีความรู้สึกเหมือนกับว่า มีพลังบางอย่างที่มิสามารถมองเห็นได้พยายามที่จะกักขังดวงวิญญาณของนางเอาไว้ในวังหลวงแห่งนี้

 

       เมื่อผ่านไปเป็นเวลาสองปี

 

      ดวงวิญญาณของนางยังคงล่องลอยและวนเวียนอยู่ในห้องโถงของพระราชวังหลวง 

 

       นางสามารถได้ยินข่าวลือทุกอย่างจากสาวใช้ในห้องครัว

 

      เห็นทุกคนยามนอนสลบไสลในตอนกลางคืน

 

       และเมื่อทุกคนหลับแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ได้เห็นว่าหลูอู๋ซวงกล่าวคำโกหกกับองค์จักรพรรดิอย่างไร

 

      หลูอู๋ซวงผู้ซึ่งแย่งชิงตำแหน่งของเย่เจิ้นไป จึงกลายเป็นหวังเฟยเอ่ยถามพร้อมกับรอยยิ้มที่มีเสน่ห์ ขณะที่หยิบหยกชิ้นนั้นออกมา

 

      “ฝ่าบาท พระองค์ยังทรงจำจี้หยกชิ้นนี้ได้หรือไม่” 

 

       โม่หรงซานจ้องมองไปที่มัน และยิ้มกว้าง ออกมา 

 

      “นี่มัน…”

 

      เขาใช้มือจับหยกอย่างแผ่วเบาขณะที่กล่าวว่า

 

      “…คือสิ่งที่ข้ามอบให้เป็นสัญลักษณ์เพื่อเข้าพบข้า 

 

       น่าเสียดายที่ข้ารอเจ้ามาเป็นเวลานาน แต่เจ้ามิมาปรากฏตัว”

 

      หลูอู๋เซียงเอนกายในอ้อมแขนของเขา และมิได้กล่าวอันใดอีก

 

      มันเป็นจี้หยกที่เย่เจิ้นมอบให้กับหลูหลินจือ แต่ปรากฎว่าเขามิได้มอบมันให้กับโม่หรงซาน

 

      แต่เขากลับมอบมันให้กับหลูอู๋เซียง ผู้ซึ่งเป็นน้องสาวของเขาแทน

 

     เพื่อให้นางรับตำแหน่งของเย่เจิ้น

 

     โม่หรงซานได้กล่าวออกมาว่า

 

     “ข้าต้องการให้เจ้าเก็บสิ่งนี้เอาไว้”

 

     หลูอู๋ซวงยื่นมือออกมาเพื่อคว้าจี้หยกจากเขาไป 

 

     และทันใดนั้นเอง ได้เกิดเปลวไฟที่ดูเหมือนจะมองมิเห็นด้วยตาเปล่าของ มนุษย์ มันเกิดขึ้นที่จี้หยกชิ้นนั้น และเย่เจิ้นเห็นเปลวเพลิงนั้นอย่างชัดเจน

 

       อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หลูอู๋เซียงเกิดความรู้สึกปวดแสบปวดร้อนที่ฝ่ามือของนางทันทีที่ได้จับมัน

 

      “อ๊ะ!” 

 

       นางร้องอุทาน และจี้หยกชื้นนั้นได้ตกลงบนพื้น และทันใดนั้นมันได้แตกออกเป็นสองส่วนทันที

 

      เมื่อเปลวไฟที่มองมิเห็นค่อย ๆ จางหายไป ในที่สุดจิตวิญญาณของเย่เจิ้นก็หลุดพ้นจากวังหลวงแห่งนี้ในที่สุด


รีวิวผู้อ่าน