“โม่หรงซาน เหตุใดท่านถึงปล่อยให้พวกเขาฆ่าข้า?
เหตุใดท่านมิรักษาสัญญาที่ให้ไว้?
เหตุใดท่านมิมาหาข้าเลยสักครั้ง?”
เย่เจิ้นเฝ้าแต่เอ่ยถามซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่มิมีผู้ใดได้ยินร้องคร่ำครวญของนาง
ดวงตาของโม่หรงซานสบเข้ากับร่างของหลูหลินจือที่อยู่ตรงหน้าเขาอย่างเย็นชา
“เย่เจิ้นตายแล้วหรือ?”
“พะยะค่ะฝ่าบาท”
จากนั้นจึงเกิดความเงียบงันขึ้นชั่วขณะ
ชั่วขณะหนึ่งเย่เจิ้นคิดว่า นางคงจะมองเห็นความเศร้าโศก หรือความเสียใจในดวงตาของเขา แต่มิมีเลย
“หากผู้ที่มิมีนัยสำคัญตาย ก็ปล่อยให้เป็นไปตามนั้น”
เขามิเคยต้องการที่จะให้นางเข้ามารับใช้ใกล้ชิดเขาในวัง
แต่มีความแน่ใจว่า ความต้องการทั้งหมดของนางจะได้รับการดูแล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหารหรือเสื้อผ้า นางจะมีครบทุกอย่าง
หากนางมีความต้องการที่จะตาย เช่นนั้นตามใจนางก็แล้วกัน
ดวงตาของหลูหลินจือมีประกายของความสมหวังเกิดขึ้น
"พะยะค่ะ กระหม่อมเห็นด้วย."
"พรุ่งนี้ข้าจะแต่งตั้งเซียงเอ๋อขึ้นเป็น หวังเฟย เพราะหากเซียงเอ๋อ มิช่วยชีวิตข้าไว้ ข้าคงจะมิมีวันนี้”
โม่หรงซานกล่าว
แม้ว่าหลูอู๋ซวงจะมิสามารถจดจำคำกล่าวลับได้ แต่ก็เป็นเรื่องปกติสำหรับเด็กที่อายุเพียงเจ็ดขวบในเวลานั้น
เป็นไปได้ว่า นางคงจะจดจำเรื่องราวที่ผ่านมานานแล้วเช่นนั้นมิได้ และนี่คือสิ่งที่จักรพรรดิคิด
เย่เจิ้นเกิดแรงกระตุ้นที่จะหัวเราะออกมาดัง ๆ นางรอมาทั้งชีวิตเพื่อที่จะได้อยู่ใกล้ชิดเขา
แต่สิ่งที่ได้รับมาคือ เหล้าพิษหนึ่งแก้ว และคำกล่าวที่มิแยแสจากปากของชายผู้นี้
ผู้ที่กล่าวว่า นางมิได้เป็นอันใดกับเขาเลย เป็นเพียงผู้หญิงที่มิมีนัยสำคัญเท่านั้น
และสิ่งที่น่าสนใจคือ นางมิเคยทราบความจริงเลย จนกระทั่งเสียชีวิต
เย่เจิ้นกรีดร้องออกมาด้วยความโกรธแค้น ... และความสิ้นหวัง
“โม่หรงซาน หากได้กลับไปเกิดอีกครั้ง ข้า...เย่เจิ้นจะต้องแก้แค้นเจ้าอย่างแน่นอน!”
เมื่อได้เห็นในสิ่งที่นางต้องการเห็นเพียงพอแล้ว จึงหันหลังและล่องลอยออกจากห้องนั้นไป
นางต้องการที่จะไปเยี่ยมครอบครัวที่เสียชีวิตของตนเอง
แต่มิว่าจะดิ้นรนเพียงใด นางก็มิสามารถหลุดพ้นออกไปได้
มีความรู้สึกเหมือนกับว่า มีพลังบางอย่างที่มิสามารถมองเห็นได้พยายามที่จะกักขังดวงวิญญาณของนางเอาไว้ในวังหลวงแห่งนี้
เมื่อผ่านไปเป็นเวลาสองปี
ดวงวิญญาณของนางยังคงล่องลอยและวนเวียนอยู่ในห้องโถงของพระราชวังหลวง
นางสามารถได้ยินข่าวลือทุกอย่างจากสาวใช้ในห้องครัว
เห็นทุกคนยามนอนสลบไสลในตอนกลางคืน
และเมื่อทุกคนหลับแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ได้เห็นว่าหลูอู๋ซวงกล่าวคำโกหกกับองค์จักรพรรดิอย่างไร
หลูอู๋ซวงผู้ซึ่งแย่งชิงตำแหน่งของเย่เจิ้นไป จึงกลายเป็นหวังเฟยเอ่ยถามพร้อมกับรอยยิ้มที่มีเสน่ห์ ขณะที่หยิบหยกชิ้นนั้นออกมา
“ฝ่าบาท พระองค์ยังทรงจำจี้หยกชิ้นนี้ได้หรือไม่”
โม่หรงซานจ้องมองไปที่มัน และยิ้มกว้าง ออกมา
“นี่มัน…”
เขาใช้มือจับหยกอย่างแผ่วเบาขณะที่กล่าวว่า
“…คือสิ่งที่ข้ามอบให้เป็นสัญลักษณ์เพื่อเข้าพบข้า
น่าเสียดายที่ข้ารอเจ้ามาเป็นเวลานาน แต่เจ้ามิมาปรากฏตัว”
หลูอู๋เซียงเอนกายในอ้อมแขนของเขา และมิได้กล่าวอันใดอีก
มันเป็นจี้หยกที่เย่เจิ้นมอบให้กับหลูหลินจือ แต่ปรากฎว่าเขามิได้มอบมันให้กับโม่หรงซาน
แต่เขากลับมอบมันให้กับหลูอู๋เซียง ผู้ซึ่งเป็นน้องสาวของเขาแทน
เพื่อให้นางรับตำแหน่งของเย่เจิ้น
โม่หรงซานได้กล่าวออกมาว่า
“ข้าต้องการให้เจ้าเก็บสิ่งนี้เอาไว้”
หลูอู๋ซวงยื่นมือออกมาเพื่อคว้าจี้หยกจากเขาไป
และทันใดนั้นเอง ได้เกิดเปลวไฟที่ดูเหมือนจะมองมิเห็นด้วยตาเปล่าของ มนุษย์ มันเกิดขึ้นที่จี้หยกชิ้นนั้น และเย่เจิ้นเห็นเปลวเพลิงนั้นอย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หลูอู๋เซียงเกิดความรู้สึกปวดแสบปวดร้อนที่ฝ่ามือของนางทันทีที่ได้จับมัน
“อ๊ะ!”
นางร้องอุทาน และจี้หยกชื้นนั้นได้ตกลงบนพื้น และทันใดนั้นมันได้แตกออกเป็นสองส่วนทันที
เมื่อเปลวไฟที่มองมิเห็นค่อย ๆ จางหายไป ในที่สุดจิตวิญญาณของเย่เจิ้นก็หลุดพ้นจากวังหลวงแห่งนี้ในที่สุด