บทที่ 6 อิฐสามกันกับสองเท้าที่ใช้สั่งสอนผู้คนไม่ให้รังแกคนอื่น
นักเลงทั้งสามคน คนหนึ่งยังสลบเหมือด อีกสองคนได้จ้องมองมายังเจียงฮ่าวด้วยสายตาคับแค้นใจ เป็นตอนนี้ที่หวางเหมาเริ่มได้สติ เมื่อมันได้รับรู้ถึงสถานการณ์ก็ได้พยายามหันมามองเจียงฮ่าวด้วยสายตาคับแค้นไม่ต่างกัน
“ไอ้เด็กเวร... แก...แกรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร แกกล้าทำร้ายฉัน... กล้ามาขัดขวางฉัน.... แกจบแล้ว”
“ใช่...อึก...ใช่แล้ว แกกล้าทำร้ายนายน้อยหม่า... ชีวิตแกจบแล้ว”
“.........”
เมื่อเจียงฮ่าวได้ยินเขาก็ได้แสยะยิ้มออกมาในทันที
“ปั้ก ปั้ก ปั้ก”
“อ้ากกกก หลังฉัน”
“แม่งงงง มือฉัน”
“ยอมเลิกลารึยัง”
เจียงฮ่าวหลังจากถามทุบตีก็ได้ถามออกมา
นักเลงทั้งสามได้ร้องโหยหวนออกมาไม่หยุดปาก เมื่อเห็นดังนั้น เจียงฮ่าวก็ได้เขวี้ยงเศษอิฐในมือที่ตอนนี้กลายเป็นสามชิ้น เขวี้ยงใส่ทั้งสามที่ยังกองอยู่ที่พื้นด้วยความเร็วปานสายฟ้า
“อ้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก”
“ฉันถามว่าจะยอมเลิกรารึยัง”
เมื่อพูดจบ เจียงฮ่าวก็ได้ก้มลงไปหยิบอิฐสามก้อนที่เขวี้ยงใส่นักเลงทั้งสามขึ้นมาอีกครั้งก่อนที่จะชูมือขึ้นเตรียมที่จะเขวี้ยงอีกรอบ ในตอนนี้เอง เหล่านักเลงได้พยักหน้าด้วยน้ำตาที่ไหลริน
“ยอมแล้วครับ พี่ใหญ่ ปล่อยพวกเราไปเถอะนะ พวกเราไม่กล้า พวกเราไม่กล้าแล้ว”
เมื่อเห็นดังนั้น เจียงฮ่าวก็ได้ลดมือลงมาก่อนที่จะหันไปหาซ่งหว่านเอ๋อที่กำลังมองการกระทำของเขาด้วยความประหลาดใจว่า
“เห็นไหมล่ะ คนแบบนี้ต้องโดนลงโทษด้วยก้อนอิฐ”
หลังจากพูดจบ เจียงฮ่าวก็ได้หันไปมองนักเลงสามคนที่ยังนอนกองอยู่ที่พื้นด้วยสภาพหวาดวิตกและได้พูดออกมา
“เอ็งสามตัวน่ะ นับแต่นี้อย่าให้ฉันเห็นหน้าพวกแกอีก ถ้าฉันเห็นพวกแก ทุกๆครั้งฉันจะทำพวกแกแบบนี้”
เมื่อพูดจบ เจียงฮ่าวได้เตะหวางเหมาที่นอนกองกับพื้นจนไถลไปชนกำแพงที่ห่างออกไป
นักเลงทั้งสามคนที่ได้ยินดังนั้น ตอนแรกพวกมันบังเกิดรอยยิ้ม แต่ในทันทีที่เห็นลูกพี่ของพวกมันโดนเตะจนไถลไปชนกำแพง พวกมันก็พลันร้องไห้ออกมาอย่างหนัก
“ครับ ได้ครับ เข้าใจแล้วครับ”
“พวกเราไปแล้วครับ พวกเราไปแล้ว”
“พวกเราจะซ่อนตัวให้พ้นสายตาลูกพี่ครับ”
“.......................................”
“พรูดดด..ฮิฮิ”
เมื่อเห็นฉากนี้ ซ่งหว่านเอ๋ออดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้
เจียงฮ่าวที่ได้ยินก็ได้หันไปทางซ่งหว่านเอ๋อ เมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของซ่งหว่านเอ๋อก็ทำให้เขาอดที่จะมีใจเต้นแรงไม่ได้ในทันที
“ขอบคุณสำหรับเรื่องในวันนี้นะ”
“จริงสิฉันยังไม่รู้จักชื่อนายเลย”
ในตอนนั้นเอง เสียงโทรศัพท์ของเจียงฮ่าวก็ได้ดังขึ้นมาจากในกระเป๋า ขัดบทสนทนาที่กำลังหวานชื่น
เมื่อเจียงฮ่าวหยิบโทรศัพท์ออกมาก็เห็นเป็นน้องสาวที่ได้ชื่อว่าเป็นสุดยอดคนหัวดีหรือก็คือเจียงไซหยวนได้โทรมาหาเขา ด้วยการที่เธอเป็นคนหัวดีจึงทำให้เขานั้นไม่เคยชอบน้องสาวของตนเลยสักนิด
“ฮืออออฮืออออฮืออออ”
“เจียงฮ่าว รีบมาที่โรงพยาบาลเทียนเฮอเร็วๆเข้า พ่อเราถูกคนทำร้ายจนหมดสติ”
เมื่อเจียงฮ่าวได้ยินดังนั้นเขาตกใจจนเห็นได้ชัด
“ว่าไงนะ”
“เกิดอะไรขึ้น”
“ล้มไปเมื่อไหร่”
“ตอนนี้พ่ออยู่ห้องไหนในโรงพยาบาลเทียนเหอ”
เจียงฮ่าวพยายามรีบถามข้อมูลอย่างร้อนรน
“โฮ่...โฮ่...”
“ตอนนี้อยู่ห้องที่62แผนกกระดูกสอง รีบมาเลยนะ”
“เข้าใจแล้ว ดูแลพ่อไปก่อนนะ เดี๋ยวพี่จะรีบไป”
เจียงฮ่าวในตอนนี้มีสีน่าแตกตื่นในทันที
“ขอโทษนะ ตอนนี้ฉันมีเรื่องที่บ้านต้องไปแล้ว อ้อ เธอเองก็กลับบ้านได้แล้วนะ”
เมื่อพูดจบ เจียงฮ่าวได้วิ่งออกไปในทันทีโดยไม่สนใจซ่งหว่านเอ๋ออีกต่อไป
เมื่อเห็นเจียงฮ่าววิ่งจากไปแทบจะในทันทีนั้น ซ่งหว่านเอ๋อพึ่งจะนึกได้ว่าตนเองยังไม่รู้จักชื่อของคนที่ช่วยเธอไว้เลย
เธอรีบตะโกนออกมาว่า
“เฮ้....นายชื่ออะไรน่ะ”
อย่างไรก็ตาม ด้วยจิตใจของเขาในตอนนี้เป็นห่วงอาการของพ่อตนเอง ตอนที่ซ่งหว่านเอ๋อตะโกนออกมานั้นเขาก็วิ่งห่างไปเกือบจะพันเมตรเข้าไปแล้ว แน่นอนว่าไกลขนาดนี้เขาย่อมต้องไม่ได้ยิน
ซ่งหว่านเอ๋อที่ตะโกนออกไปนั้น เมื่อไม่ได้ยินคำตอบทำให้เธอนั้นรู้สึกโหวงพิกลอย่างบอกไม่ถูก
ทันใดนั้นเอง เธอก็จำได้ว่าเจียงฮ่าวนั้นใส่ชุดนักเรียนโรงเรียนเดียวกับเธอ หรือก็คือ เขานั้นเรียนอยู่ที่โรงเรียนมัธยมปลายเทียนเหอที่สอง
เมื่อคิดได้ดังนั้น รอยยิ้มที่ตราตรึงใจผู้คนก็ได้ปรากฎมาบนใบหน้าของเธอ
“ฉันจะหานายให้เจอ”
“......”
อีกฝากฝั่งหนึ่ง เจียงฮ่าวที่ใจของเขาในตอนนี้นึกถึงแต่พ่อของตนเองจนไม่รับรู้สิ่งใด ในใจเพียงนึกถึงพ่อตัวเองเท่านั้น และในตอนนี้ เขาก็ได้วิ่งพลางโบกรถแท็กซี่ไปพลาง