แสงเทียนส่องแสงริบหรี่ในยามค่ำคืนอันเงียบสงบ และทันใดนั้นเฟยอันผิงก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา และได้พบว่าตนเองกำลังนอนอยู่บนเตียง ขณะที่ได้ยินเสียงสนทนาของผู้ใดบางคนดังมาจากจากด้านนอกอย่างชัดเจน
โดยบริเวณหน้าห้องนั้น นางเหวินกำลังกล่าวด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบาว่า
“ท่านแม่ ข้าคิดว่า เราควรพานางไปหาหมอจะดีหรือไม่? หากอาการหนักมากจะได้ส่งตัวนางกลับไปที่บ้านตระกูลเฟยเพื่อรักษา. . .”
หลังจากได้ฟังคำกล่าวของลูกสะใภ้ สีหน้าของนางฮัวก็เปลี่ยนไปในทันที และตอบอย่างไม่ใส่ใจว่า
“หญิงผู้นี้คิดว่า ตนเองเป็นสุภาพสตรีผู้สูงศักดิ์ แต่จากสิ่งที่ข้าได้ยินมา นางเกิดมาจากสาวใช้ที่ต่ำต้อยซึ่งมีหน้าที่ล้างเท้าและเป็นขี้ข้าของผู้อื่น มิเพียงแค่นั้นนางยังเกิดในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่นำความโชคร้ายมาสู่ครอบครัว
และแม้ว่าตระกูลเฟยจะต้องการฆ่านางก็ทำไม่ได้ก็ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากตระกูลเฟยเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียง ดังนั้นพวกเขาจึงส่งตัวนางไปหาญาติห่าง ๆ ในเมืองเปาโถว
นอกจากนี้ผู้อาวุโสเฟยและฮูหยินเฟยยังมีอาการป่วยมาเป็นเวลานานหลายเดือนแล้ว ซึ่งเห็นได้ชัดว่า นางเป็นดาวโชคร้ายสำหรับครอบครัวของนางเอง มิใช่หรือ?.และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขาตื่นตระหนกเป็นอันมาก จึงรีบส่งตัวนางออกไปให้
พันจากบ้านตระกูลเฟย!
และในความคิดของข้า มิเพียงแค่นางจะเป็นตัวซวยเท่านั้น แต่ยังเป็นหมูขี้เกียจอีกด้วย
เพราะทุกครั้งที่ให้ทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ นางจะทำราวกับว่า มันจะฆ่านางให้ตาย น่าเบื่อ!”
ในทันใดเฟยอันผิงก็มีความรู้สึกตกใจและเสียใจเป็นอย่างมากเมื่อได้ยินบทสนทนานั้นขณะที่นางกวาดสายตามองไปบริเวณโดยรอบ ทำให้เห็นว่าห้องนี้ไม่ได้มีอันใดมากมายเลย
ซึ่งสิ่งที่เห็นมีเพียงโต๊ะสี่เหลี่ยมกับเก้าอี้ไม้ไผ่สี่ตัว ตู้เสื้อผ้า และสุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุดก็คือเตียงไม้ที่นางกำลังนอนอยู่นี้
สถานที่แห่งนี้คือ…
ทันใดนั้นภายในจิตใจของหญิงสาวผู้นี้ก็เต็มไปด้วยหมอกหนาทึบ ขณะที่การสนทนาภายนอกยังคงดำเนินต่อไปด้วยเสียงอันดังส่งผลให้สามารถได้ยินมันอย่างชัดเจน
และตอนนี้นางกำลังพยายามใช้ความคิดเพื่อทบทวนทุกอย่าง
ในตอนที่เฟยอันผิงอยู่ที่บ้านตระกูลเฟยนั้น นางมีสาวใช้คอยดูเเลและไม่ต้องทำงานหนักใด ๆ เลย อีกทั้งยังไม่เคยได้พบกับความยากลำบากมาก่อน
แต่ในวันนั้นนางประมาทเพียงเล็กน้อยจึงตกลงไปในรอยแตกระหว่างแผ่นน้ำแข็งทำให้ต้องล้มป่วยลง ซึ่งมันเป็นสิ่งที่คาดไม่ถึง และไม่ใช่ความผิดของนางอย่างแน่นอน . .
ในช่วงนี้อากาศมีความหนาวเย็นมากแต่นางฮัวยังคงบังคับให้อันผิง เด็กสาวที่น่าสงสารผู้นี้ไปซักผ้าที่บริเวณทะเลสาบน้ำแข็ง
และในตอนนี้นางเหวินรู้สึกสงสารมาก ขณะที่น้ำเสียงนั้นเริ่มมีความกังวลใจอีกทั้งยังมีอาการกระสับกระส่ายมากยิ่งขึ้น แต่นางฮัวกลับเย้ยหยันอย่างเย็นชา
“มีที่พักให้ มีข้าวให้กิน แล้วยังจะทำตัวไร้ประโยชน์สิ้นดี ข้าเพียงแค่ให้ทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ก็ยังทำมิได้ ราวกับว่าข้าบอกให้ไปทำในสิ่งที่ยากเย็นนักหนา
เห็นได้ชัดว่า สิ่งที่ได้ยินมานั้นเป็นความจริงทุกอย่าง ตอนนี้นางคงจะแกล้งป่วย..จะเสแสร้งไปถึงไหนกัน หากมิโดนผลักแรง ๆ ก็คงจะมิยอมขยับตัวใช่หรือไม่?
การงานทั่วไป..ผู้อื่นทำเพียงสองชั่วโมง แต่นางต้องใช้เวลาทำถึงสามชั่วโมง! เหตุใดข้าต้องมาทนดูผู้ที่ไร้ประโยชน์แสร้งทำเป็นป่วย อย่าให้ต้องโกรธไปมากกว่านี้นะ
มิเช่นนั้นข้าจะโยนร่างของเจ้าออกไปข้างนอก แล้วปล่อยให้ตายที่นั่นเสียเลย!”
หญิงวัยกลางคนกล่าวถ้อยคำเหล่านั้นออกมา ขณะที่จ้องมองไปยังลูกสะใภ้อย่างตั้งใจด้วยสีหน้าที่เย็นชา และยังกล่าวอีกว่า
“เจ้าคิดว่า ข้ามิรู้หรือ? หากเจ้าสงสารมัน ก็จัดการซักผ้าให้นางด้วยก็แล้วกัน!”
นางเหวินรีบกล่าวทันทีว่า
“ท่านแม่! ท่านกล่าวได้ถูกต้องแล้ว ข้าจะไม่กล่าวเรื่องไร้สาระเช่นนี้อีกต่อไป”
นางฮัวถอนหายใจอย่างแรงขณะลุกขึ้นยืน จากนั้นก็ได้ยินเสียงนางกระแทกประตูดังโครมคราม
เกิดอันใดขึ้น?
ข้าตายไปแล้วมิใช่หรือ?
แล้วเหตุใดยังมานอนอยู่ที่นี่?
ตอนนี้เฟยอันผิงพยายามที่จะขยับตัว แต่ร่างกายนั้นก็ไม่มีเรี่ยวแรงเอาเสียเลยราวกับว่ามันไม่มีกระดูกแม้เพียงสักชิ้นเดียวอยู่ในร่างกายนี้ ขณะที่นางยังคงพยายามตั้งสติและไตร่ตรองทุกอย่างอย่างโดยละเอียดอีกครั้ง
จากนั้นไม่นานได้มีหญิงผู้หนึ่งถือชามอาหารบางอย่างและเดินเข้ามาในห้อง และต่อมาเฟยอันผิงก็ถูกพยุงตัวให้ลุกขึ้นนั่งในอ้อมแขนของผู้ใดบางคน
โดยไหล่ของคนผู้นี้เล็กและบอบบางมาก แต่มีหน้าอกที่อ่อนนุ่มและมีกลิ่นของสมุนไพรบางชนิด
“กินโจ๊กเสียบ้าง หลังจากเหงื่อออกแล้ว...อาการไข้จะได้ดีขึ้น”
ในตอนแรกเฟยอันผิงคิดว่า ตนเองเห็นผี แต่เมื่อมีลมหายใจอุ่น ๆ มากระทบที่ใบหน้า นางจึงจ้องมองไปยังหญิงผู้นั้นด้วยความประหลาดใจเป็นอย่างมาก
และหากจำไม่ผิด หญิงชาวบ้านผู้นี้น่าจะมีอายุประมาณยี่สิบปี ซึ่งชื่อของนางคือ นางเหวิน โดยนางเป็นลูกสะใภ้คนโตของครอบครัวชาวนาที่อันผิงเคยอาศัยอยู่ด้วย
แต่มันเป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร?
เห็นได้ชัดว่า นางได้รับเหล้าพิษ แต่ภายในชั่วพริบตาก็ได้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยเมื่อยี่สิบสามปีก่อน ในตอนที่ตนเองอายุสิบหกปีและอันผิงได้แต่งงานกับหวงเทียนเป่าในอีกแปดปีต่อมา
ทำให้นางได้กลายเป็นจักรพรรดินี และหลังจากนั้นนางก็ได้ถูกคุมขังเอาไว้ในพระราชวังเย็นเป็นเวลาถึงสิบสองปี และในตอนที่ถึงแก่กรรมหญิงสาวก็มีอายุประมาณสามสิบหกปี
อย่างไรก็ตามในตอนนี้นางเหวินได้จ้องมองมาที่นางด้วยสายตาเช่นเดียวกับเมื่อยี่สิบสามปีที่แล้ว
นี่มันเป็นสิ่งที่ไม่น่าเชื่อเลย! เป็นไปไม่ได้!
และโดยสัญชาตญาณเธอก็ก้มลงมองไปยังมือของตนเองในทันที จึงพบว่ามันดูผอมเพรียวและช่างขาวเนียนนุ่ม ซึ่งมันไม่น่าจะเป็นมือของหญิงอายุสามสิบหกปี แต่ควรจะเป็นมือของหญิงสาวที่อ่อนวัย
จากนั้นเมื่อความคิดบางอย่างได้แล่นเข้ามาในหัวใจดวงนี้ ทันใดนั้นดวงตาของเฟยอันผิงก็เผยให้เห็นความสยดสยองในทันที
นางเหวินจึงกล่าวออกมาด้วยความเป็นห่วงว่า
“เป็นอย่างไรบ้าง? เจ้ายังรู้สึกหนาวอยู่หรือไม่”
น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความอบอุ่นและผู้คนต่างก็บอกกล่าวกันว่า นางเป็นคนดีและมีน้ำใจที่งดงามที่สุดในหมู่บ้านแห่งนี้
“เราต้องไปหาหมอ แต่ท่านแม่ ... นาง...”
เมื่อกล่าวแล้วหญิงผู้นี้ก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ขณะที่เฟยอันผิงจ้องมองไปยังชามโจ๊กในมือของนางเหวิน โดยไม่ทราบว่าโจ๊กนี้ทำมาจากข้าวชนิดใด แต่มีความรู้สึกว่ามันมีกลิ่นแปลก ๆ โชยมาเตะที่จมูก และด้วยเหตุผลบางอย่าง ขณะนั้นดวงตาของนางเริ่มมีความชุ่มชื้นเกิดขึ้น
หากนี่เป็นความฝัน หวังว่าคงจะไม่มีวันที่นางตื่นขึ้นมาจากความฝันนี้! เพราะมันมีความรู้สึก...รู้สึกว่า นางยังมีชีวิตอยู่ และยังไม่ได้ตาย
แต่ในจังหวะที่อันผิงกำลังจะกล่าวบางอย่างออกมา ทันใดนั้นก็ได้เห็นหญิงอีกผู้หนึ่งหอบกองผ้าและรีบก้าวเดินเข้าด้านใน
ขณะที่นางเหวินกำลังถือชามโจ๊กอยู่ได้เงยหน้าขึ้นทำให้เห็นสีหน้าของนางฮัว จากนั้นทั้งร่างจึงเริ่มสั่นสะท้านและได้ยินแม่สามีกล่าวว่า
"เจ้ากำลังทำอันใดอยู่?! หือ!"
และด้วยความตกใจนางเหวินจึงสะดุ้งสุดตัวพร้อมกับรีบปล่อยมือออกจากเฟยอันผิงทันที ต่อมาก็รีบลุกขึ้นยืนและกำลังจะวางชามใบนั้นลงบนโต๊ะ แต่เป็นเพราะความกลัว ทันใดนั้นโจ๊กส่วนหนึ่งก็ได้หกลงบนมือของนาง
โดยมันลวกมือของนางเหวิน แต่นางยังคงพยายามอดทนต่อความเจ็บปวดจากการถูกลวก และได้วางชามใบนั้นลงบนโต๊ะด้วยความระมัดระวัง