ในตอนนั้นเมื่อเห็นว่าลูกสะใภ้ของตนเองมีความหน้าด้านมากพอที่จะแอบนำอาหารมาให้เฟยอันผิงกินและยังซุ่มซ่ามทำอาหารหกเลอะเทอะอีก หญิงวัยกลางคนจึงเดือดดาลด้วยความโกรธเคืองเป็นอย่างมาก
จากนั้นป้าใจร้ายก็คว้าชามโจ๊กบนโต๊ะโยนใส่หน้านางเหวินในทันที ส่งผลให้เกิดเสียงชามแตกดังขึ้น ขณะที่หญิงชราฮัวได้ชี้นิ้วไปยังลูกสะใภ้ของตนเองพลางกล่าวว่า
“เลวมาก! บอกแล้วว่าห้ามให้อาหารแก่นาง คำกล่าวของแม่สามีผู้นี้ มันมิได้เข้าหูเจ้าหรืออย่างไร? หากต้องการจะอยู่ที่นี่ ก็จงเชื่อฟังคำกล่าวข้า และอย่าทำให้ข้าต้องอับอายอีก!”
แต่ตอนนี้ทั้งร่างนั้นได้กลับกลายเป็นสีแดงไปแล้ว ซึ่งมันเกิดจากการถูกลวกด้วยโจ๊กร้อน ๆ ทำให้น้ำตาแห่งความเก็บกดเริ่มคลอที่เบ้าตา แต่ไม่กล้าปริปากเพื่อกล่าวอันใดออกมาสักคำ
จากนั้นลูกสะใภ้ผู้น่าสงสารก็ก้มหน้าก้มตาเก็บชามโจ๊ก โดยสิ่งที่เฟยอันผิงทำได้ก็คือ จับชายเสื้อของตนเองให้แน่น ในขณะที่นางเหวินกำลังเช็ดโจ๊กออกอย่างเบามือ จากนั้นนางเหวินก็จัดการทำความสะอาดสิ่งสกปรกบนพื้นให้เรียบร้อย
และในความคิดของเฟยอันผิง นางฮัวไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อยจากความทรงจำของนาง โดยหญิงวัยกลางคนผู้นี้มักจะปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความโหดร้ายและปราศจากความเมตตาและสงสารเสมอมา
ซึ่งมันไม่สำคัญว่าจะเป็นตัวนางเองหรือนางเหวิน เพราะนางฮัวจะปฏิบัติต่อพวกนางเหมือนทาสรับใช้เหมือนกัน
และในตอนนี้เฟยอันผิงได้จ้องมองนางฮัวอย่างตั้งใจ เนื่องจากต้องการที่จะกล่าวบางอย่าง แต่นางเหวินรีบขยิบตาให้อย่างรวดเร็ว ราวกับกำลังจะกล่าวว่า อย่ากล่าวอันใดออกมา..ไม่ฉะนั้นจะต้องถูกลงโทษมากกว่านี้
เห็นได้ชัดว่า นางเหวินเป็นลูกสะใภ้ที่มีจิตใจดี แต่ไม่ว่าจะทำดีมากสักเพียงใด แม่สามีที่ชั่วร้ายผู้นี้ก็มองไม่เคยเห็นสิ่งเหล่านั้นเลย
โดยแม่สามีผู้นี้จะใช้เวลาทั้งหมดในชีวิตที่มี ในการจ้องที่จะคอยจับผิดและพยายามค้นหาข้อบกพร่องของลูกสะใภ้
เมื่อเห็นว่านางเหวินมักจะปกป้องเฟยอันผิง ป้าฮัวจึงคิดในใจทันทีว่าลูกสะใภ้กำลังพยายามที่จะต่อต้านตนเอง จึงทำให้เกิดความเกลียดชังทั้งสองคนเป็นอย่างมาก
ต่อมาเฟยอันผิงได้กัดฟันแน่นพร้อมกับจ้องมองไปยังนางฮัว ทำให้หญิงชราฮัวชำเลืองมองไปยังหญิงสาวโดยสัญชาตญาณและสิ่งที่ได้เห็นคือ
ความเย็นยะเยือกในสายตาของอันผิง ส่งผลให้หัวใจของหญิงใจร้ายเต้นระรัวขณะที่ตะโกนออกมาว่า
“เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือ จึงมองข้าด้วยสายตาเช่นนั้น!”
ในขณะนี้เฟยอันผิงไม่มีเวลาที่จะไตร่ตรองด้วยซ้ำว่า เหตุใดนางจึงหวนกลับไปเป็นตนเองในวัยสิบสามปี ซึ่งเป็นตอนที่บิดาได้ส่งนางให้ไปอยู่กับญาติห่าง ๆ
โดยพวกเขาได้เลี้ยงดูอันผิงตั้งแต่อายุเจ็ดขวบ และในตอนนั้นบิดาได้ให้สาวใช้และคนรับใช้ติดตามมาอยู่ด้วย
แต่ในที่สุดพวกเขาคงตระหนักว่า ขุนนางเฟยน่าจะทิ้งให้บุตรสาวอยู่ที่นี่ และคงจะไม่มารับตัวนางกลับไปเมืองหลวงจึงพากันหนีหายไปหมด
ซึ่งภายใต้การยุแยงของผู้ใดบางคน อันผิงได้ถูกส่งตัวไปยังชนบทอันห่างไกลและทุรกันดาร ขณะที่ต้องอาศัยอยู่กับครอบครัวของชาวนา โดยในแต่ละเดือนจะมีการมอบเงินเป็นจำนวนสิบเหรียญเพื่อเป็นค่าเลี้ยงดู
และตลอดเวลาหกเดือนที่ผ่านมานี้ ด้วยเหตุผลบางประการที่ไม่อาจทราบได้ ทันใดนั้นก็ไม่มีการจ่ายค่าเลี้ยงดูให้กับนางอีกต่อไป ทำให้นางฮัวต้องเดินทางไปที่บ้านญาติของตระกูลเฟยเพื่อเอ่ยถามถึงสามครั้ง แต่ญาติของตระกูลเฟยก็มิได้ให้ความสนใจใด ๆ เลย
ด้วยเหตุนี้นางฮัวจึงเกิดความไม่พอใจมากขึ้นไปอีก ทำให้ไม่เพียงแต่ปฏิบัติต่อเฟย อันผิงในฐานะทาสเท่านั้น แต่นางฮัวยังทำทารุณกรรมเด็กสาวอีกด้วย และในบางครั้งหญิงวัยกลางคนใจร้ายคนนี้ยังทำร้ายนางโดยการเรียกให้คนมาทำการทุบตีจนเกิดรอยฟกช้ำไปทั่วทั้งร่างกาย
ในขณะนี้เมื่ออันผิงนึกขึ้นมาได้ว่า ตนเองเคยมีจี้หยกที่ห้อยคออยู่เป็นประจำ จึงใช้มือไปที่บริเวณหน้าอกและได้พบว่า ในตอนนี้มันยังอยู่กับนางจึงรู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมากเนื่องจากจี้หยกนี้มารดาผู้ให้กำเนิดเป็นผู้มอบให้แก่นางตั้งแต่เมื่อครั้งที่ยังเป็นทารกอยู่
ทำให้นางฮัวจ้องมองไปยังท่าทางของเฟยอันผิงพร้อมกับขมวดคิ้วขึ้นและตะโกนว่า
“นังตัวน้อย เจ้ากำลังมึนงงอันใดอยู่?!”
ในตอนนั้นนางจำได้ว่าตนเองได้เสี่ยงชีวิตเพื่อซ่อนจี้หยกเอาไว้เนื่องจากมันเป็นสิ่งที่มารดาทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า เป็นเพราะกลัวว่านางฮัวจะมาเอามันไป
แต่วันนี้...เฟยอันผิงได้เงยหน้าขึ้นและจ้องมองไปที่ป้าฮัวด้วยสายตาที่มีแต่ความเย็นชา และภายในชั่วพริบตา รอยยิ้มกว้างก็ได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้านั้นพร้อมกับกล่าวว่า
“ป้าฮัว ท่านต้องเหน็ดเหนื่อยในการดูแลข้ามานานแล้ว ข้ามิมีสิ่งใดจะตอบแทนบุญคุณ นอกจากจี้หยกชิ้นนี้ จึงขอมอบมันให้กับท่าน เพื่อแทนคำขอบคุณจากใจของข้า”
หากจำไม่ผิดจี้หยกชิ้นนี้จะถูกนางหลิวค้นพบและจะถูกขโมยไปในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้า ทำให้ในตอนนั้นอันผิงต้องทนทุกข์ทรมานจากการถูกทำร้ายร่างกายอย่างโหดร้ายและทารุณ เนื่องจากต้องการที่จะได้มันกลับคืนมา
ต่อมาเมื่อได้กลายเป็นชายาขององค์ชายสาม นางจึงได้ส่งคนมาตามหามัน อย่างไรก็ตามหมู่บ้านแห่งนี้ได้เกิดโรคระบาดร้ายแรงขึ้น ดังนั้นชาวบ้านส่วนใหญ่จึงเสียชีวิตไปเป็นจำนวนมากรวมทั้งนางฮัวผู้นี้ด้วย จึงส่งผลให้ไม่พบจี้หยกชิ้นนี้
เมื่อได้ยินเช่นนั้น นางฮัวก็แสดงท่าทางประหลาดใจ เพราะจี้หยกที่ตนเองปรารถนามาโดยตลอดอยู่ตรงหน้านี้เอง ซึ่งคงเป็นเพราะเฟยอันผิงได้นำจี้หยกนี้ไปซ่อนไว้ที่ไหนสักแห่งนางจึงไม่สามารถหามันพบได้
ดังนั้นหญิงใจร้ายจึงรู้สึกมีความสุขใจเป็นอย่างมาก แต่ก็ยังคงเยาะเย้ยอย่างเย็นชาขณะที่คว้าจี้หยกไปจากมือของอันผิงพร้อมกับกล่าวว่า
“แค่นี้มันยังน้อยเกินไป!”
แต่ขณะนี้นางเหวินมีอาการตกใจมาก จึงมองไปยังเฟยอันผิงและรู้สึกเหมือนกับว่า ตนเองไม่รู้จักเด็กสาวผู้นี้เลย...นางเป็นคนเช่นใดกันแน่
เนื่องจากเท่าที่นางทราบ อันผิงมักจะซ่อนจี้หยกด้วยความระมัดระวังเสมอและจะไม่ยอมให้ผู้ใดมาแย่งชิงเอามันไปง่าย ๆ แต่ตอนนี้นางกลับมอบให้หญิงชราฮัวได้อย่างไร...
ต่อมาเมื่อนางฮัวได้จี้หยก ทันใดนั้นอารมณ์ของนางก็ดีขึ้นมาก ขณะที่ส่งเสียงดังและหัวเราะเยาะ
“วันนี้อนุญาตให้อยู่บนเตียงได้ แต่พรุ่งนี้จะต้องตื่นมาทำงาน เข้าใจหรือไม่?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้รอยยิ้มอันอ่อนโยนของอันผิงก็ปรากฏขึ้นและทำท่าเชื่อฟังคำกล่าวนั้น
“แน่นอนป้าฮัว...พรุ่งนี้ข้าจะทำงานอย่างแน่นอน!”
ขณะที่ป้าใจร้ายเกิดความรู้สึกความรู้สึกประหลาดใจกับการเชื่อฟังของเฟยอันผิง จึงทำท่าราวกับว่ากำลังจะกล่าวอันใดบางอย่าง
แต่ทันใดนั้นชายร่างสูงใหญ่ได้เดินเข้ามาพอดี และเหมือนกับว่าเขาเห็นภาพตรงหน้าเสียจนชินแล้ว จึงจ้องมองไปยังเด็กสาวด้วยสายตาที่ค่อนข้างดูถูกพร้อมกับหัวเราะออกมาอย่างแรง
“ท่านแม่! เหตุใดจึงทำสีหน้าเกรี้ยวโกรธเช่นนั้น? ไปกันเถิด วันนี้ข้าซื้อผ้าไหมมาจากตลาดชิ้นหนึ่ง ซึ่งดูเหมือนกับของฮูหยินเฟยสวมใส่ทุกประการ มาดูสิ เร็วเข้า!” เขาเร่งเร้าและลากตัวนางฮัวออกไปด้านนอกในทันที
แต่ในตอนที่นางฮัวถูกลากออกไป นางก็ได้หันกลับมากล่าวกับนางเหวินว่า
"หากจับได้ว่านำอาหารมาให้นางอีก ข้าจะถลกหนังเจ้าแน่!"
หลังจากนางฮัวออกไปแล้ว นางเหวินก็ได้ใช้มือทั้งสองกุมหน้านั้นและต่อมาน้ำตาของนางก็ไหลรินออกมา ขณะที่อันผิงจ้องมองไปที่นางพร้อมกับส่ายหัวเล็กน้อย
เรามิควรอ่อนแอ เพราะจะต้องหาวิธีจัดการกับนังป้าใจร้ายผู้นี้ให้ได้!
และนางยังมีอีกหลายวิธีในการเอาจี้หยกนั้นคืนมา ดังนั้นเพื่อจัดการกับคนขี้โกงอย่างนางฮัว อันผิงจะต้องใช้วิธีที่ชั่วร้ายชนิดที่หญิงใจร้ายผู้นี้คาดไม่ถึง