วันนี้คือวันที่สิบสองกุมภาพันธ์ ปีหยงหมิงที่สามสิบเอ็ด หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ นางได้เดินทางย้อนเวลากลับไปเมื่อยี่สิบสามปีที่แล้ว ซึ่งก็คือตอนที่นางมีอายุเพียงสิบสามปีเท่านั้น
และในค่ำคืนนั้น ตลอดทั้งคืนเฟยอันหนิงก็ต้องทนทุกข์ทรมานจากความทรงจำใน "ชาติก่อน" ของตนเอง เนื่องจากความรู้สึกคั่งแค้นได้เกิดขึ้นมา แต่นางมิสามารถกรีดร้องออกมาด้วยเสียงอันดังได้
สิ่งนี้เป็นเพราะห้องนั้นเล็กเกินไป ซึ่งหากมีเสียงเพียงเล็กน้อยเกิดขึ้น ผู้อื่นก็สามารถได้ยินเสียงนั้นได้ จึงจำเป็นที่จะต้องเก็บกดความคับแค้นทั้งหมดที่มีและเสียงสะอื้นเอาไว้ภายในใจ
และอีกสิ่งหนึ่งที่กลัวมากคือ หากต้องหลับตาลง นางอาจจะหวนกลับไปเป็นผู้พิการที่ถูกทอดทิ้งเอาไว้ในวังเย็นแห่งนั้นอีกครั้ง
แต่เมื่อนึกถึงชายหญิงคู่นั้นผู้ซึ่งนางเกลียดมากที่สุดในโลก นางก็ยิ่งรู้สึกโกรธแค้นมากขึ้นที่ไม่สามารถใช้ดาบฟาดฟันพวกเขาเป็นล้านครั้งได้ เนื่องจากคิดว่าพวกเขาคงจะอาศัยอยู่อย่างสุขสบายและมีความสุขอยู่ในเมืองหลวง
ต่อมาหลังจากที่ร้องไห้จนน้ำตาเหือดแห้งไปหลายหนและแสดงอารมณ์ที่ปั่นป่วนออกมาจนหมดแล้ว นางจึงค่อย ๆ สงบลงได้ในที่สุด
จากนั้นเฟยอันผิงก็เงยหน้าขึ้นมองผ่านหน้าต่างไปยังท้องฟ้าในยามค่ำคืน ขณะที่ดวงตาคู่นั้นได้เปลี่ยนเป็นสีที่เข้มขึ้น และมีความเยือกเย็นจนน่าขนลุก
อย่างไรก็ตามในชาติที่แล้วเฟยอันผิงมีความเชื่อว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการทำหน้าที่ในส่วนของตนเองให้ถูกต้องและรู้ว่า สิ่งใดควรทำ สิ่งใดมิควรทำ อีกทั้งต้องพยายามทำมันอย่างเต็มที่ในทุกสิ่ง แล้วเราจะได้รับผลกรรมที่ดีในที่สุด
แต่ผู้ใดจะไปคิดว่า สิ่งเหล่านั้นมิใช่ความจริง มันเป็นเรื่องหลอกลวง และเป็นสิ่งที่คิดไปเองทั้งนั้น
โดยนางให้ความสงสารและความเมตตาแก่ผู้อื่น แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาก็คือการทรยศ และความเสียใจอย่างที่สุด
และแม้กระทั่งบิดาก็ใจร้ายใจดำกับนางมาก สำหรับสามีก็สร้างแต่ความทุกข์ระทมและขมขื่นให้กับนาง และแม้แต่ผู้ที่เคยคิดว่าเป็นพี่สาวที่แสนดีก็มาทรยศและหักหลังนางอีก
แม้ว่าความงดงามของนางจะมิสามารถเทียบเทียมได้กับเฟยชิงเหลียน แต่เฟยอันผิงก็มีความซื่อสัตย์และจงรักภักดีต่อหวงเทียนเป่าเสมอมา
และสำหรับเขาแล้ว ความรักที่มอบให้ไปนั้นมันมากมายเสียจนไม่อาจะพรรณนาออกมาเป็นคำกล่าวได้
คนอย่างหวงเทียนเป่านะหรือ? หากไม่ได้นางช่วยชีวิตเอาไว้หลายต่อหลายครั้ง ป่านนี้ก็คงจะไปใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองผีไปนานแล้ว และคงมิมีโอกาสที่จะได้เป็นจักรพรรดิอย่างแน่นอน แต่ท้ายที่สุดนางกลับกลายเป็นถังขยะที่ถูกทิ้งเอาไว้ในพระราชวังเย็น
ตอนนี้สวรรค์ทรงมีความเมตตาโดยเปิดโอกาสให้นางได้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง!
จากนั้นเฟยอันหนิงก็สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ พร้อมกับสายตาที่มุ่งมั่นด้วยความคิดที่มีอยู่ ในหัวใจว่า ไม่มีเหตุผลที่จะเมตตาผู้คนเหล่านั้นอีกต่อไป
และสักวัน...หนี้ชีวิตที่ทุกคนได้ก่อเอาไว้ โดยอันผิงได้สาบานว่า จะขอทวงคืนจากพวกเขาให้หมดทุกคนอย่างแน่นอน!
อย่างไรก็ตามยามราตรีก็ได้ผ่านพ้นไปหนึ่งวันผ่านไปแล้วภายในชั่วพริบตา และเช้าวันใหม่ที่สดใสก็ได้เริ่มต้นขึ้น ขณะที่นางเหวินมีท่าทีลังเลใจ เนื่องจากนางไม่ทราบว่าควรจะเข้าไปปลุกอันผิงดีหรือไม่
โดยตอนนี้เสียงไก่กำลังขันดังเจื้อยแจ้วในยามเช้า ซึ่งหากว่าเฟยอันผิงยังคงนอนหลับต่อไปก็คงจะต้องโดนแม่สามีของนางดุด่าอีกเป็นแน่
ต่อมาเมื่อนางเหวินครุ่นคิดสักครู่ จากนั้นจึงรีบก้าวเดินเข้าไปในห้องนอนด้วยเสียงฝีเท้าอันแผ่วเบาที่สุด แต่สิ่งที่ได้เห็นคือความว่างเปล่าโดยไม่มีวิญญาณแม้แต่ดวงเดียว จึงเกิดความรู้สึกตื่นตระหนกขึ้นในใจ
อันผิงอยู่ที่ใดกัน?
แต่เมื่อเห็นว่าห้องอยู่ในสภาพที่สะอาดและเรียบร้อยดีจึงรู้สึกประหลาดใจอีกครั้ง โดยในขณะนั้นเฟยอันผิงกำลังเดินไปเดินมาเหมือนกับว่ากำลังครุ่นคิดอันใดบางอย่างอยู่หลังจากที่นางอุ่นนมถั่วเหลืองเสร็จเรียบร้อยแล้ว ส่วนแตงกวาดองก็ถูกจัดเรียงใส่จานด้วยความระมัดระวัง
โดยในตอนนี้เด็กสาวกำลังเทโจ๊กลงในชามของทุกคน จากนั้นจึงวางหม้อโจ๊กลงบนโต๊ะอย่างช้า ๆ และเมื่อได้เห็นสีหน้าแสดงอาการตกตะลึงของนางเหวินขณะที่นางเดินเข้ามาในครัว อันผิงจึงยิ้มกว้าง
“ท่านน้าจินหลิน ข้าเตรียมอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว”
ที่อันผิงเรียกนางเช่นนี้เนื่องจากชื่อเดิมของนางหวิน คือ ‘จินหลิน’ แต่อันผิงไม่เคยเอ่ยชื่อนี้ด้วยความเสน่หาเช่นนี้มาก่อนเลยจนกระทั่งมาถึงตอนนี้
จึงทำให้นางมีความรู้สึกหวาดกลัว และมีความประหม่าเกิดขึ้น ราวกับว่ากำลังจะร้องไห้ออกมาได้ทุกเมื่อ และแน่นอนเฟยอันผิงรู้ทันว่าอีกฝ่ายกำลังคิดบางอย่างอยู่ในใจ
อย่างไรก็ตามก่อนที่จะอันผิงจะอายุเจ็ดขวบนั้น มีสาวใช้และคนรับใช้มาช่วยทำกิจวัตรประจำวันให้นางทุกอย่างเเต่ไม่ทราบด้วยสาเหตุใด นางได้ถูกส่งตัวมายังชนบทที่ทุรกันดารแห่งนี้เพื่อเอาชีวิตรอดด้วยตนเอง
แน่นอนว่ามันเป็นสิ่งที่ยากลำบากเป็นอย่างมากสำหรับเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ซึ่งมิเคยพบเจอกับสิ่งเหล่านี้มาก่อนเลยในชีวิต
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงครึ่งหลังของปีที่ผ่านมานี้ นางฮัวไม่สามารถรับมือกับค่าใช้จ่ายของอันผิงได้ นางจึงต้องกลายเป็นผู้ที่ถูกทารุณและถูกมองเป็นสิ่งที่ไร้ค่ามากขึ้น
ด้วยเหตุนี้อันผิงจึงยิ่งรู้สึกหวาดกลัว และมีความประหม่าเหมือนกับกวางน้อยที่กำลังโดนแสงไฟสาดส่องเข้ามาตรงหน้าในยามค่ำคืน
แต่ตอนนี้เมื่อนางได้สัมผัสกับความโหดเหี้ยมและโหดร้ายของหวงเทียนเป่าแล้ว และเคยสัมผัสกับความเจ็บปวดจากการที่ขาขาด อีกทั้งยังต้องถูกกักขังเอาไว้นานถึงสิบสองปีในพระราชวังเย็น
แล้วกับหญิงวัยกลางคนผู้นี้มันจะสักเท่าไหร่กัน?
เห็นได้ชัดว่า หญิงคนนี้เป็นเพียงเสี้ยนหนามชิ้นเล็ก ๆในชีวิต จึงเป็นสิ่งที่ไม่มีความสำคัญอันใดเลย ขณะที่เด็กสาวคิดแค่ว่า ยายป้าผู้นี้เป็นเพียงก้อนหินเล็ก ๆ บนทางเดิน ดังนั้นจะต้องไปกลัวอันใด
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้เฟยอันผิงจึงยิ้มกว้างได้และกล่าวออกมาว่า
“ป้าฮัวกับคนในบ้านกำลังจะมาแล้ว ท่านน้าจินหลินควรรีบเตรียมการให้พร้อม”
อย่างไรก็ตามโดยรวมแล้วครอบครัวนี้มีสมาชิกทั้งหมดห้าคน หัวหน้าครอบครัวคือ ตู้เหว่ย โดยเขาเป็นผู้ที่ทำหน้าที่ดูแลบ้านนี้ แต่ไม่ทราบว่าเพราะอันใดเขามักจะไม่ค่อยอยู่บ้าน
นอกจากนั้นก็มีป้าฮัวผู้ซึ่งเป็นภรรยาของเขาบุตรชายคนโตของเขาคือ ตู้เหลียง และนางเหวินผู้เป็นภรรยาและสุดท้ายคือบุตรสาวคนเล็กที่ชื่อ ตู้อี้จื่อ
และในขณะนี้นางเหวินกำลังจ้องมองอันผิงด้วยความสับสน แต่หญิงสาวตรงหน้าทำเพียงแค่ยิ้มกว้างและรีบก้าวเดินออกไปด้านนอก