ตอนที่ 3 : ล้วนป่วยกันหมด
หมู่บ้านหลิว อยู่ใกล้ทะเลในมณฑลไห่หยวน เมืองเฟิ่งหวง อำเภอหย่งเจิ้ง ตำบลโซ่วเฉิง ทำเลที่ตั้งอยู่ในภูเขาไห่หมิง มีแม่น้ำซี่หลิวซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากยอดเขาไห่หมิงไหลอ้อมหมู่บ้านก่อนไหลไปทางตะวันออกลงสู่ทะเลจีน
แม่น้ำสายนี้ได้แบ่งหมู่บ้านหลิวออกเป็นสองส่วน คือหมู่บ้านต้าหลิวและหมู่บ้านเสี่ยวหลิว
ชาวต้าหลิวอาศัยอยู่ที่นี่มาตั้งแต่สมัยบรรพชน ส่วนคนของหมู่บ้านเสี่ยวหลิวคือคนแซ่หลิวที่อพยพมาจากต่างมณฑลเพื่อหลีกเลี่ยงสงคราม หัวหน้าหมู่บ้านในขณะนั้นจึงถือว่าเป็นคนในตระกูลหลิวด้วยกัน มีสายเลือดเดียวกัน ดังนั้นจึงไม่สนใจเสียงคัดค้านและรับพวกนั้นเข้ามา
การมาถึงของคนกลุ่มนี้ส่งผลให้ทรัพยากรลดน้อยลง หลังจากการตายของหัวหน้าหมู่บ้านจึงทำให้ความขัดแย้งหนักข้อขึ้นไปอีก
แม้ออกเดินทางไปภายนอกกว่า 7 ปี ทว่าหลิวเฟยก็รับรู้ได้ถึงความตึงเครียดที่แสนจะคุ้นเคย
เขามองไปทางชายร่างท้วมและลูกน้องอีกคนก่อนพูดขึ้น “พวกนายไม่อยากไปร่วมสนุกด้วยหรือ ? ”
ชายร่างท้วมมองตอบมา “หมอเทวดาหลิวคิดหนีสินะ”
ส่วนชายอีกคนพูดขึ้นว่า “ไม่ต้องไปพูดกับเขา ทำตามที่ผู้ใหญ่บอก จับเขามัด ! ”
หลิวเฟยส่ายหน้า “จำเป็นต้องทำแบบนั้นด้วยหรือ ? ฉันจะหนีไปไหนได้ ”
ชายทั้งสองมองหน้ากันก่อนตัดสินใจเลือกไม่ฟังหลิวเฟยและจับเขามัดทันที เสร็จแล้วจึงออกไปสูบบุหรี่ด้านนอก
หลิวเฟยยิ้มออกมายามมองดูชายชราที่หลับอยู่บนเตียง มือทั้งสองข้างขยับไปมาแล้วแก้มัดให้ตนเอง จากนั้นก็ทำการเปลี่ยนชุดก่อนเดินไปที่ประตูพร้อมตบไหล่ชายร่างท้วมและลูกน้อง
“นะ นาย....นายแก้มัดได้ยังไง ? ฉันเตือนไว้ก่อนเลยนะ หากคิดหนี พวกเราพอมีทักษะอยู่บ้าง หากลงมือ นายต้องลงไปนอนกองอยู่บนพื้นแน่ ! ”
“นอนกองอยู่บนพื้นกับผีน่ะสิ ต้องหักกระดูกโยนลงดิน นายลืมที่ปู่ป้าเคยสอนพวกเราหรือ ? ต้องดุดันกว่านี้ ! ”
“ใช่ใช่ใช่ หักกระดูกโยนลงดิน ฉันจะทำให้เส้นชีพจรทั้งห้าของนายเสียหาย ! ”
“พี่ มันต้องเป็นหักกระดูกโปรยเถ้าไม่ใช่หรือ อีกอย่างเส้นชีพจรมี 7 เส้น...”
ปัง !
....
หลิวเฟยรู้สึกปวดหัวกับมุกตลกนี้ เขายกมือขึ้นแล้วกดลงที่ศีรษะของทั้งสองเบาๆ เพื่อให้สลบไป
“บุหรี่ดี ! ”
เขาหยิบบุหรี่ออกจากกระเป๋าเสื้อของชายร่างท้วมแล้วทัดไว้ข้างหู ไม่ลืมคืนกล่องบุหรี่ลงที่เดิมจากนั้นก็เดินไปที่สะพานข้ามแม่น้ำ
ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าสะพานนี้คือจุดเชื่อมต่อระหว่างสองหมู่บ้าน คนจากสองฝั่งมักมีเรื่องกันตรงนี้ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันยังไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง
เมื่อเห็นทั้งสองฝ่ายต่างถืออาวุธไว้ในมือ หลิวเฟยก็เดินเข้าไปยังใจกลางสะพานแล้วนั่งลง “อย่ามองฉันแบบนั้น เชิญทะเลาะกันต่อได้เลย ฉันแค่อยากเห็นว่า 7 ปีที่ผ่านมานี้พลาดอะไรไปบ้าง ฉันอยากเห็นจริง ๆ ”
หลิวเทียนป้าโทสะปะทุ พร้อมระเบิดคำพูดออกมาว่า “ไอ้อ้วนกับลูกน้องไปไหนแล้วนายออกมาได้ยังไง ? ”
หลิวอวี้เหลียนเหมือนนึกบางอย่างออกจึงรีบพูดว่า “ใช่แล้ว ตอนพี่อยู่ในห้องฉัน พี่แก้มัดได้ยังไง ? ”
หลิวเฟยไม่ได้พูดสิ่งใด ตรงกันข้ามกับคนของหมู่บ้านเสี่ยวหลิวที่พากันตะโกนออกมา “ทุกคนจงฟัง พวกนั้นมันชั่วช้า ! ยอมรับมาเถิดว่าได้บังคับเด็กหนุ่มคนหนึ่งให้ยอมจำนน ปกติทำร้ายคนนอกยังไม่พอ ตอนนี้หันมาทำร้ายคนในหมู่บ้านอีก ไม่กลัวบรรพชนไล่ออกจากตระกูลหรือ ? ”
หลิวเทียนป้าตะโกนสวน “หุบปาก ! เรื่องบรรพชนของต้าหลิวไม่ต้องให้หมาจรจัดเข้ามาสอด เสี่ยวเฟยเป็นคนของหมู่บ้านต้าหลิว เราจะทำอะไรย่อมไม่เกี่ยวกับพวกแก”
“แต่เราอยู่บนภูเขาไห่หมิงร่วมกันจึงไม่ยอมให้พวกแกทำตัวหน้าไม่อายและเลวทรามแบบนี้ ! ”
“ไร้สาระ ! พวกแกมาอาศัยอยู่ทีหลังแล้วยังมีหน้าบอกว่าอยู่ร่วมกัน เมื่อวานมีคนของเสี่ยวหลิวลงไปจับปลาในแม่น้ำ ฉันยังไม่ทันสะสางเลย ดีเหมือนกัน วันนี้จะได้สะสางเสียทีเดียว”
“หลิวเทียนป้า อย่าคิดพึ่งวิชากังฟูกระจอกของนายเลย เมื่อวานนายให้คนมาทำร้ายคนของเรา ยังไม่สะสางเช่นกัน วันนี้มาตัดสินกันว่าใครชนะอยู่ต่อ ส่วนคนแพ้ต้องลงจากภูเขาไห่หมิง ! “
“ โฮ่โฮ่ นี่วันอะไรกัน ? พระอาทิตย์ขึ้นจากทิศตะวันตกหรือไงถึงทำให้เต่าหัวหดอย่างพวกแกกล้าดีเช่นนี้ ดี ฉันจะไล่พวกแกลงไปเอง ! ”
“ ปากดีนักก็มาดูกันว่านายมีความสามารถพอหรือเปล่า ! ”
...
เมื่อได้ยินทั้งสองฝ่ายทะเลาะกัน หลิวเฟยได้แต่เอียงคอและบิดขี้เกียจ “พวกนายจะสู้กันหรือไม่สู้ ? เอาแต่เถียงกันมาครึ่งชั่วโมงแล้ว สรุปจะสู้ก็รีบสู้เสียที”
ชาวบ้านทั้งสองฝั่งมองไปยังหลิวเฟยที่ดูไม่เกรงกลัวอะไรก็พากันโกรธเคือง
ชาวเสี่ยวหลิวชี้ไปที่หลิวเฟยและพูดขึ้นมา “นายเสียสติไปแล้วหรือไง ? พวกเราล้วนออกหน้าแทนนายที่ถูกกระทำเยี่ยงคนไร้ค่าจนบรรพชนต้องผิดหวัง”
“ไม่เจอกันเจ็ดปี นายดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นแต่หน้าก็หนายิ่งกว่าเมื่อก่อนเช่นกัน ในฐานะลูกผู้ชาย ต้องมีหลักการและขีดความอดทน นายคงไม่ได้ตาลุกวาวกับทรัพย์สินของพวกเขาใช่ไหม ? สิ่งที่นายควรนึกถึงเป็นอันดับแรกคือชีวิตต่างหาก”
เมื่อได้ฟังสิ่งที่คนจากหมู่บ้านเสี่ยวหลิวตะโกนด่า หลิวเฟยจึงยกยิ้มออกมา “ฉันมีหลักการหรือไม่ย่อมไม่เกี่ยวกับพวกนาย หากจะสู้ก็รีบลงมือกันเสียที เพราะฉันเองก็อยากรู้ว่าใครชนะ”
คนของหมู่บ้านเสี่ยวหลิวคนเดิมตะโกนด่าไม่หยุด “นายเสียสติไปแล้วหรือ ? ชัดเจนว่านายดูหมิ่นหมู่บ้านหลิว วันนี้ฉันจะเตือนสติแทนพ่อแม่นายเอง ! ”
ชายวัยสามสิบถือกระบองพุ่งตรงมาทางหลิวเฟย ฝ่ายหลิวเทียนป้าเห็นดังนั้นจึงพุ่งเข้าไปขวางเอาไว้ “เขาคือลูกเขยของฉัน หากกล้าลงมือก็ลองดู”
จากนั้นทั้งสองจึงเข้าปะทะกัน
ชายคนแรกฟาดกระบองใส่หลิวเฟยขณะหลิวเทียนป้าปล่อยหมัดใส่แก้มของอีกฝ่าย
ปึก !
ตุบ !
...
เสียงวัตถุกระทบเนื้อจากสองฝั่งดังขึ้น ไม่รู้ว่าหลิวเฟยเอาตัวเข้าขวางกลางตอนไหน กระบองจึงฟาดลงบนตัวส่วนหมัดก็อัดเข้าที่อกของเขา
ผลลัพธ์คือ...
กระบองพลันหักออกเป็นสองท่อน ส่วนเจ้าของหมัดก็ส่งเสียงร้องออกมา มือของหลิวเทียนป้าแดงก่ำ ทว่าหลิวเฟยกลับยืนนิ่งคล้ายไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
“เขาไม่เป็นไรเลย ! ”
จังหวะนั้นหลิวเฟยทำเพียงยกมือขึ้นปัดตรงหน้าอกแล้วนั่งยอง ๆ ลงที่พื้นก่อนส่งเสียงหวีดร้องออกมา
หลิวอวี้เหลียนเห็นดังนั้นก็รีบวิ่งไปหา “พี่เฟยเป็นอะไร? อย่าทำให้ฉันกลัว หากพี่ตายฉันจะตายตาม ! ”
หลิวเฟยรีบตอบ “ อย่าพูดบ้าๆ ตลอดหลายปีมานี้ฉันไม่ได้อยู่เฉยแต่ได้เรียนทักษะอื่น เช่น กายาเหล็ก มาด้วย”
เจ้าของกระบองโยนเศษอาวุธในมือทิ้ง “นายแค่มีร่างกายแข็งแกร่ง ฉันอยากเห็นนักว่าจะทำอะไรฉันได้ ! ”
หลิวเฟยลูบหน้าอกแล้วลุกขึ้นยืน “ไม่ ! ฉันแค่ไม่อยากให้นายโดนต่อย”
“ปากหาเรื่องเอง ! ”
หลิวเฟยส่ายหน้าระอา มองไปรอบ ๆ ก่อนจะยิ้มออกมา “ ทุกคนทะเลาะกันมามากพอแล้ว ต่างระบายอารมณ์กันไปแล้ว ดังนั้นฉันขอบอกว่าทุกคนล้วนป่วย ! ”