ตอนที่ 4 : ฉันจะตามจีบพี่
“นายสิป่วย ! ”
ก่อนหน้านี้คนทั้งสองหมู่บ้านต่างรู้สึกว่าหลิวเฟยช่างมีน้ำใจ แต่หลังจากได้ยินประโยคถัดมาจึงพากันโมโหขึ้น
หลิวเฟยเห็นท่าไม่ดีจึงรีบอธิบาย “ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น แต่หมายถึงพวกนายป่วยกันจริง ๆ ”
ยามที่พูดก็จับมือเจ้าของกระบองไว้ เมื่ออีกฝ่ายดึงสติกลับมาจึงร้องโวยวาย “นายจะทำอะไร ? ”
หลิวเฟยมองไปยังต้นขาของอีกฝ่ายแล้วพูดขึ้น “ขานายบวมสินะ ? ”
อีกฝ่ายดึงกางเกงขึ้นและมองตอบหลิวเฟย “นี่...ทำไมถึงบวมยิ่งกว่าเก่า ? ”
“พวกเราก็ขาบวม นายรู้สาเหตุหรือเปล่า ? หรือเพราะครอบครัวของหลิวเทียนป้าทำบาป สวรรค์จึงลงโทษพวกเราไปด้วย ”
ชาวบ้านทั้งสองฝั่งพากันดึงขากางเกงขึ้นอย่างกังวล
หลิวเฟยมองไปทางหลิวเทียนป้าแล้วพูดออกมาดัง ๆ “ฉันรู้สาเหตุ หากพวกนายให้ความร่วมมือก็จะทำยารักษาให้ แต่พวกนายต้องคืนดีกันก่อน ตกลงไหม ? ”
ชาวบ้านคนหนึ่งตะโกนสวนทันควัน “ไม่มีทาง ! ต่อให้ต้องตายก็ไม่ขอคืนดี”
เมื่อได้ยินดังนั้นจึงทำให้ชาวบ้านสองฝั่งบันดาลโทสะขึ้นมา
หลิวเฟยกุมขมับ แอบถอนหายใจออกมาเบา ๆ เขาปรารถนาให้สองฝ่ายคืนดีกัน ทว่าคงเป็นไปได้ยาก และไม่อาจทำสำเร็จในชั่วข้ามคืน “หากฉันรักษาโรคให้ พวกนายจะไม่ทะเลาะกันหนึ่งปีได้หรือไม่ ? ”
ชาวบ้านคนหนึ่งพูดขึ้น “พูดราวกับว่านายสามารถรักษาได้อย่างนั้นแหละ อย่าคิดเล่นเล่ห์เหมือนที่เคยทำเมื่อเจ็ดปีก่อนเชียว ถ้านายกล้ายั่วโมโหล่ะก็ เชื่อหรือไม่ว่าพวกเราจะฝังนายทั้งเป็น ? ”
มีชาวบ้านอีกคนสบประมาทว่า “นายเป็นหมอหรือไง ? ยิ่งพูดก็เหมือนกำลังหลอกเรามากกว่า คิดจะหลอกเอาเงินพวกเราใช่รึเปล่า ? ”
หลิวเฟยยิ้มแห้ง หวนนึกไปถึงเมื่อเจ็ดปีก่อน ตนไม่ได้ทำเรื่องเลวร้าย เหตุใดชาวบ้านจึงแค้นเคืองกันเช่นนี้ ?
กระนั้น ก็ตะโกนออกมา “หากรักษาโรคของพวกนายไม่ได้ ฉันจะยอมให้จัดการตามสบาย สำหรับค่ารักษาก็จะรักษาให้ฟรี แต่ถ้ายังรู้สึกไม่สบายใจก็ขอแรงจากทั้งสองหมู่บ้านมาช่วยซ่อมบ้านให้ฉันก็พอ”
“มีเรื่องดีแบบนี้อยู่ในโลกด้วยหรือ ? ฉันขอเตือนนายไว้ก่อน ตรงนี้มีคนอยู่มาก อย่าได้ล้อเล่นเพราะนั่นคือการเดิมพันด้วยชีวิต หากมีคนตาย นายต้องชดใช้ด้วยชีวิต ! ”
“วางใจเถิด ฉันเพิ่งช่วยชีวิตปู่ของอวี้เหลียนไป ถ้าเช่นนั้น นายน่ะ...นายนั่นแหละ คนที่ใช้ไม้ฟาดฉันน่ะ มานี่”
ชายคนนั้นอุทานออกมา “นาย...นายคิดจะทำอะไร ? ฉันไม่อยากยุ่งกับนาย”
หลิวเฟยไม่สนเสียงทัดทาน “ภูเขาไห่หมิงมีเยว่ห่าวเยอะไม่ใช่หรือ ? ให้คนไปขุดเอาเยว่ห่าวมาเยอะ ๆ ยิ่งเยอะยิ่งดี ! ”
“ทำไม ? ”
หลิวเฟยเกาจมูกแล้วเดินไปหยุดตรงหน้าของอีกฝ่าย “ขาบวมเป็นขาหมูแล้ว นายจะไม่สนใจก็ได้ แต่ความสุขชั่วชีวิตนี้จะหายไปด้วย แค่ก แค่ก...”
เจ้าของกระบองขึ้นเสียง “หมายถึงอะไร ? ”
“นายบังคับให้พูดเองนะ เช่นนั้นฉันบอกก็ได้ว่านกเขาของนายไม่ขันแล้ว “
“หลิวเฟย ! ”
ทุกคนพากันหัวเราะครืน ส่วนชายคนนั้นยกหมัดขึ้นอย่างโกรธเคืองทว่าสุดท้ายไม่ได้ลงมือ กลับก้มหน้าลงแสดงความทุกข์ใจ “นายมีทางรักษาจริงหรือ ? น้องชาย หากรักษาฉันได้จริง ๆ ฉันจะยอมเป็นลูกน้องของนายเลย”
หลิวเฟยตบไหล่ให้กำลังใจอีกฝ่าย “เอาล่ะ รีบไปทำตามที่ฉันบอก รับประกันเลยว่านายจะมีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมืองอย่างแน่นอน”
“ฮ่าฮ่าฮ่า...ได้ ! ฉันจะรีบพาคนไป”
ชายคนนั้นจากไปพร้อมผู้ติดตาม หลิวเฟยจึงยิ้มออกเมื่อเห็นว่าแผนการใช้ได้ผล
เขาได้ขอให้ตัวแทนหมู่บ้านทั้งสองเกณฑ์คนที่มีอาการบวมตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายมารวมตัวกันที่สะพาน
ทุกสายตามองมาอย่างสงสัย แน่นอนว่ายังไม่เชื่อในตัวเขา ทว่าชายหนุ่มไม่ได้อธิบายให้มากความ “ฉันขอย้ำอีกครั้งว่าทั้งสองหมู่บ้านต้องเลิกทะเลาะกันเป็นเวลาหนึ่งปี ! ”
หลิวเทียนป้ารีบพูดขึ้นมา “ใครบอกจะตกลง แค่เดือนเดียวก็พอแล้ว ! ”
อีกฝั่งใช่ว่ายอม “แค่สิบวันก็พอ สำหรับคนถ่อยแบบนั้นสมควรโดนอัดทุกวัน”
เมื่อเห็นแววเริ่มทะเลาะกันอีกรอบ หลิวเฟยได้แต่ยิ้มแห้ง “ช่างไม่ยอมกันจริง ๆ ตกลง ! สิบวันก็สิบวัน ”
หลิวอวี้เหลียนถามขึ้นอย่างสงสัย “พี่เฟย พ่อกับชาวบ้านเป็นโรคอะไร แล้วทำไมฉันไม่เป็นอะไรล่ะ ? ”
หลิวเฟยไม่ได้ตอบให้มากความ “รักษาโรคก่อนแล้วค่อยอธิบายทีหลัง”
ไม่นานนัก ทุกคนก็พากันไปขุดเยว่ห่าว หลิวเฟยกำชับให้เอาสมุนไพรไปล้างก่อนต้ม จากนั้นแจกจ่ายให้คนที่มีอาการบวมดื่มคนละถ้วยแล้วช่วยตรวจดูชีพจรของผู้ป่วย
สามสิบนาทีต่อมา ชาวบ้านทุกคนต้องตื่นตะลึงเมื่อพบว่าอาการบวมลดลงอย่างเห็นได้ชัด
อดีตหัวหน้าหมู่บ้านดึงมือของหลิวเฟยมาจับไว้และพูดขึ้น “เดิมทีฉันตั้งใจจะเข้าเมืองเพื่อไปพบหมอในวันพรุ่งนี้ แต่ไม่คิดเลยว่านายจะรักษามันได้ สาเหตุของโรคนี้คืออะไรกัน ? ”
หลิวเฟยยิ้มออก “อันที่จริง เราต่างก็มีพยาธิอยู่ในตัว หากเข้าใจไม่ผิด พวกเขาคงลงไปจับปลาที่แม่น้ำมา ”
“นายรู้ได้อย่างไร ? ” อดีตหัวหน้าหมู่บ้านพูดด้วยสีหน้าตื่นตะลึง “จับปลาแล้วเกี่ยวอะไร ? ”
หลิวเฟยชี้ไปทางแม่น้ำซี่หลิว “ตอนที่พวกเขาทะเลาะกัน ทั้งสองฝั่งของแม่น้ำมีรอยเท้าอยู่ โรคนี้ถือเป็นไข้มาลาเรียชนิดหนึ่ง ตอนนั่งดูบนสะพานก็พบหอยทากจำนวนมาก พวกมันคือพาหะของพยาธิ และพยาธิคือสาเหตุหลักของโรคนี้”
ชายหนุ่มอธิบายต่อ “พวกเขาโดนพยาธิมุดเข้ามาในร่างกายตอนลงไปจับปลาในแม่น้ำ โชคดีที่รักษาทัน ไม่อย่างนั้นมันจะทำให้เกิดโรคเท้าช้าง ส่วนเยว่ห่าวที่ให้ขุดขึ้นมานั้นเป็นสมุนไพรชนิดหนึ่ง ชื่อทางการของมันคือ ‘ชิงห่าว’ เป็นยาต้านมาลาเรียที่ราคาถูกแต่ได้ผลดี”
“นายใช่คนเดียวกับเมื่อเจ็ดปีก่อนแน่หรือ ? แต่ฉันยอมรับในตัวนายจริง ๆ ”
“เสี่ยวเฟยไปเรียนรู้การแพทย์มาตลอดเลยหรือ ? ”
“เขาช่างรอบรู้เสียจริง ไม่แปลกที่หลิวเทียนป้าต้องการตัว ฉันล่ะอยากได้เขามาเป็นลูกเขยจริง ๆ ”
...
เมื่อเห็นคนในหมู่บ้านล้วนออกปากชมหลิวเฟย สาวน้อยอวี้เหลียนก็หน้าแดงขึ้นมา เธอยิ่งตัดสินใจแน่วแน่กว่าเดิม
หลิวเทียนป้าเองก็ยิ้มกว้างไม่หุบ “เป็นอย่างไร ? ลูกเขยฉันเก่งหรือไม่ คนของหมู่บ้านเสี่ยวหลิวติดหนี้บุญคุณเขา จงจดจำไว้”
หลิวเฟยส่ายหน้า “ทุกคนโปรดเงียบแล้วฟังก่อน ฉันเรียนรู้การแพทย์มาบ้างแต่ไม่ได้ดีเลิศอะไร และยังหวังให้สองหมู่บ้านคืนดีกัน ปรารถนาให้ความบาดหมางเบาบาง แน่นอนไม่ได้คาดหวังว่าต้องจบลงในคราวเดียว แต่หวังว่าทุกคนจะดีต่อกันบ้าง ทำได้หรือไม่ ? ”
ทุกชีวิตยังพากันเงียบ
หลิวเฟยยิ้มออกมาอย่างขมขื่น “ถ้าเช่นนั้นทั้งสองหมู่บ้านก็ส่งตัวแทนมาช่วยซ่อมบ้านให้ฉัน คงไม่มีปัญหาสินะ ? ”
“แน่นอนว่าไม่มีปัญหา ! ”
“ ...” หลิวเทียนป้ามองไปทางชายหนุ่มแล้วพูดขึ้น “เสี่ยวเฟย นายดูถูกฉันหรือไงกัน ? ซ่อมบ้านอะไร นายต้องอยู่ที่บ้านฉันและฉันจะดูแลนายเหมือนลูก ! ”
ชาวบ้านคนหนึ่งรีบท้วง “ หลิวเทียนป้าช่างหน้าไม่อาย อยากใช้ทักษะการแพทย์ของเขาทำเงินไม่ใช่หรือ ? ”
“ไร้สาระ ฉันสนใจเงินตั้งแต่เมื่อใด นายคิดจะหาเรื่องกันหรือไง ? ”
“พ่อ ! “
หลิวอวี้เหลียนรีบดึงบิดาออกไปทางด้านข้างแล้วสนทนากันอยู่สักพัก ฝ่ายชายสูงวัยเอาแต่ส่ายหน้าทว่าสุดท้ายไม่อาจคัดค้านลูกสาวได้จึงเดินไปหาหลิวเฟยแล้วพูดว่า “เอาแบบนี้แล้วกัน ในเมื่อนายเพิ่งกลับมาที่หมู่บ้าน เราจะช่วยนายซ่อมบ้าน แต่นายต้องเป็นลูกเขยของฉันอยู่ดี เรื่องนี้ไม่อาจหลีกเลี่ยง ! ”
หลิวอวี้เหลียนวิ่งไปหาหลิวเฟยแล้วกระซิบว่า “ฉันจะตามจีบพี่ไปเรื่อย ๆ จนกว่าพี่จะรักฉัน”