ตอนที่ 5 : กลัว
ด้วยความช่วยเหลือจากชาวบ้าน หลิวเฟยจึงใช้เวลาเพียงอาทิตย์เดียวในการซ่อมแซมบ้าน จากนั้นเขาก็เริ่มซื้อของใช้รวมถึงพืชผลและผักต่าง ๆ เข้าบ้าน
ในตอนที่ทำไร่อยู่นั้น จู่ ๆ โทรศัพท์ก็ดังขึ้น
“สวัสดี นั่นใคร ? ” หลิวเฟยรับโทรศัพท์และยิ้มออกมาเมื่อได้ยินเสียงปลายสาย
“พี่เฟย ! ออกจากกองทัพแค่ไม่กี่วันกลับลืมน้องแล้วหรือ ? ฉันไม่เข้าใจจริงๆ ว่าที่นี่ไม่ดีตรงไหนถึงทำให้พี่กลับไปที่นั่น..”
“หยุด ! ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ฉันกำลังทำไร่อยู่และนายควรเคารพในการตัดสินใจของฉัน”
“ก็ได้ก็ได้ ฉันโทรมาเพื่อจะบอกว่าคุณหลิวต้าตามหาตัวพี่ไปทั่วโลกเลย พี่อยากซ่อนตัวจริงหรือ ? พี่ไม่ใช่คนขององค์กรแล้วก็ควรไปอยู่กับเธอ ได้ใช้ชีวิตโดยไม่ต้องกังวลอีก มันดีจะตาย”
“ฉันเป็นคนแบบนั้นหรือไง ? ไม่ต้องพูดเรื่องนี้แล้ว เธอกับฉันอยู่กันคนละโลก ถ้าเธอถามเรื่องฉันอีกก็บอกว่าฉันถูกย้ายไปหน่วยอื่นและต้องทำภารกิจลับ ใช้เวลาไม่ถึงปีหรืออาจจะสามปีห้าปี เธอคงลืมฉันได้”
“ฉันอ้างไปหมดแล้ว คงดีกว่านี้ถ้าบอกว่าพี่ตายไปแล้ว”
“ทำตามที่นายอยากทำเถอะ”
“ไม่เอาน่า พี่ยังคิดมากเรื่องการตายของเสี่ยวหลงอยู่อีกหรือ ? เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของเธอหรือของพี่แต่มันเป็นอุบัติเหตุ ! ”
“ฉันต้องทำไร่ต่อ จะวางสายแล้วนะ”
หลิวเฟยวางสายแล้วถอนหายใจออกมา เขาใช้มือเช็ดจมูกก่อนทำการขุดดินต่อ
พลันสายตาเหลือบเห็นขาโผล่พ้นออกจากประตูอย่างช้า ๆ เขาส่ายหน้าและพูดขึ้น “หลิวอวี้เหลียนจะเล่นซ่อนหาหรือไง ? ฉันเปลี่ยนใจมาทางธรรมแล้วไม่สนใจเธอหรอก”
เธอใส่เสื้อเชิ้ตเอวลอยเผยให้เห็นเอวคอดเล็ก สวมกางเกงยีนส์ขาสั้นเผยเรียวขายาวสวย หญิงสาวเดินออกมาพร้อมกล่องข้าวในมือ
“พี่ดูเย็นชากว่าเมื่อเจ็ดปีก่อนเสียอีก”
หลิวอวี้เหลียนบ่นทว่ายังเตรียมจานมาวางไว้บนโต๊ะเพื่อเตรียมข้าวเย็นให้ชายหนุ่ม
หลิวเฟยฉายยิ้มขมขื่น “เธอไม่ย้ายมาอยู่ที่บ้านฉันเลยล่ะ จะได้ไม่ต้องเทียวมาส่งข้าวให้ ฉันเองก็มีมือมีเท้า ฉันจัดการเองได้ ! ”
หลิวอวี้เหลียนมองหลิวเฟยพร้อมสีหน้าเศร้าหมอง “พูดเหมือนว่าพี่เกลียดฉัน...”
เห็นเธอกำลังจะร้องไห้ หลิวเฟยก็รีบพูดขึ้นมา “ก็ได้ ก็ได้ ฉันกินก็ได้แต่เป็นครั้งสุดท้ายนะ”
“ก็ได้ พี่รีบมากินสิ”
หลิวเฟยเดินไปที่โต๊ะแล้วนั่งลง พอวางพลั่วเสร็จจึงหยิบข้าวขึ้นมากิน
หลิวอวี้เหลียนมองไปยังผิวสีขาวและกล้ามหน้าท้องของเขา เธออยากเอามือไปลูบไล้และช่วยซับเหงื่อให้เหลือเกิน “พี่เฟยช่างรูปร่างดีเสียจริง พี่เล่นกล้ามด้วยหรือ ? ”
“ ทำงานหนักเลยเป็นแบบนี้ ”
“ทำไมพ่อฉันถึงไม่เป็นแบบนี้บ้าง ? ”
“แค่ก แค่ก ! ” เมื่อนึกถึงหลิวเทียนป้าที่อ้วนกลม หลิวเฟยก็ได้แต่เบือนหน้าหนี แทบสำลักข้าวในปากออกมา
เขากลืนน้ำตามอึกใหญ่แล้วพูดขึ้นว่า “เธออยากให้ฉันตายหรือไง ? พ่อเธอระบบเผาผลาญไม่ดีเหมือนก่อนแล้ว “
“แล้วของพี่ล่ะ ? ” หลิวอวี้เหลียนชี้ไปทางมัดกล้ามหน้าท้องของอีกฝ่าย “มันก็ทำงานหนักเหมือนกัน พี่ยังเป็นแบบนี้ได้เลย ฉันถามหน่อย ก่อนหน้าที่แก้มัดเองได้ พี่ใช้ทักษะต่อสู้ที่เรียนมาหรือไง ? ”
“คนเจ้าเล่ห์อย่างฉันก็มีชื่อเสียงในหมู่บ้านเช่นกัน ถ้าให้เวลาหน่อย แค่เชือกทำไมจะแก้ไม่ได้ ส่วนมีทักษะต่อสู้หรือไม่ เธอก็น่าจะรู้ ไม่อย่างนั้นฉันคงไม่เกือบโดนอันธพาลน้อยเช่นเธอขืนใจหรอก ”
“พี่เฟย ! ” หลิวอวี้เหลียนเตะขาหลิวเฟยแสดงความไม่พอใจ “เชื่อไหมว่าฉันจะขืนใจพี่จริง ? ”
หลิวเฟยรีบปราม “อย่านะ ไม่อย่างนั้นฉันจะออกบวชจริง ๆ อย่าบังคับกันนักเลย ตกลงไหม ? ”
หลิวอวี้เหลียนไม่พอใจ “ถุย ! คนอย่างพี่เนี่ยนะออกบวช รอให้ผู้หญิงทั้งโลกตายจนหมดก่อนเถิด ใช่สิ แล้วมีอะไรอยู่ในเต็นท์ ? ”
หลิวเฟยก้มต่ำเพื่อมองเป้ากางเกงของตนก่อนจะเงยหน้าขึ้นพูด “หลิวอวี้เหลียน เธอน่ะเพลา ๆ ลงบ้าง”
หลิวอวี้เหลียนเหมือนตระหนักถึงบางอย่าง มือเล็กออกแรงต่อยลงบนแขนกำยำทันที “ไอ้บ้า ! ยังคิดบวชเป็นพระอยู่อีกหรือ ? คนอย่างพี่มีแต่ทำให้ศาสนาเสื่อม ฉันหมายถึงเรือนกระจกนั่น”
“พูดให้มันชัดเจนหน่อยสิ ฉันปลูกมะเขือเทศ แตงกวาและผักอื่น ๆ เอาไว้ในนั้น ผ่านไปสักอาทิตย์คงเก็บกินได้ ฉันจะให้เธอชิมเป็นคนแรกเลย”
หลิวอวี้เหลียนส่ายหน้าไม่เอาด้วย “พี่จะให้ฉันกินดินน่ะสิ ! ปลูกแค่อาทิตย์เดียวก็งอกออกมาให้กินได้แล้ว โม้หรือไง ? ”
“พนันกันไหมล่ะ ? ”
“พนันอะไร ? ”
“ถ้าฉันชนะ เธออย่ายุ่งกับฉันอีก ”
“ถ้าฉันชนะ ฉันจะอ่อยพี่ทุกวัน เอาให้หนักกว่าเดิมด้วย ! ”
“....”
ต่อหน้าสาวน้อยคนนี้ หลิวเฟยไม่อาจเถียงได้เลย เขาได้แต่ยิ้มออกมา “ตกลง! มาดูกันว่าเจ็ดวันต่อจากนี้ใครจะเป็นฝ่ายชนะ”
จังหวะที่พูดจบก็ปรากฏชายหนุ่ม 6 คนเดินเข้ามาในลานบ้าน แต่ละคนย้อมผมสีเหลืองและสวมแว่นตาสีดำ
หลิวเฟยลุกขึ้นยืนส่วนหลิวอวี้เหลียนรีบไปขวางหน้าเอาไว้ “พี่เฟยไม่ต้องกลัว พี่มีฉันอยู่ด้วย พวกนี้คงเป็นคนของนักเลงใหญ่ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในเมืองเฟิ่งหวง แต่ไม่มีใครชอบนักหรอก”
เมื่อได้ยินชื่อ ‘นักเลงใหญ่’ หลิวเฟยก็อดนึกถึงอดีตไม่ได้
ในหมู่บ้านหลิว ตนมีฉายา ‘นักเลงน้อย’ ส่วนหลิวเป้ามีชื่อฉายาว่า ‘นักเลงใหญ่’ ถึงอย่างไรก็ตาม แม้มีคำว่า ‘นักเลง’ เหมือนกันทว่าแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
หลังจากที่พ่อแม่ของหลิวเฟยตายจาก เขาต้องออกจากโรงเรียนและมาทำไร่ที่บ้านตลอดทั้งวัน
ส่วนหลิวเป้าชอบรีดไถและคอยรังแกชาวบ้าน รวมถึงทำเรื่องชั่วร้ายต่างต่างนานา
เมื่อเจ็ดปีก่อน หลิวเป่าใช้อิฐฟาดหัวเขาและบังคับให้เขาออกจากหมู่บ้านหลิว ตอนนี้อีกฝ่ายคงทราบว่าเขากลับมาแล้วจึงส่งคนมาหาเรื่อง
เขาดึงหลิวอวี้เหลียนออกและเดินไปหาคนกลุ่มนั้น “พวกแกคิดจะทำอะไร อยากเจ็บตัวหรือไง ? ”
หนึ่งในหกพูดขึ้นมา “พี่เป้าได้ยินว่านายกลับมาและเหมือนจะรักษาคนเก่ง เราจึงอยากเชิญตัวไปกับเรา”
หลิวเฟยเชิดหน้าขึ้น “เขาเป็นมะเร็งหรืออัมพาตล่ะ ? ”
“แก ! ” ชายอีกคนตะโกนขึ้นด้วยความโกรธ “รู้ตัวหรือเปล่าว่ากำลังรนหาที่ตาย ? ”
“ฉันไม่รู้แต่รู้สึกว่าคนที่กำลังจะตายคือพวกนายมากกว่า แม้ที่ดินขนาดหนึ่งหมู่สามเฟินของฉันไม่ได้ใหญ่โตมากนัก แต่ก็เป็นที่ของฉัน พวกนายบุกรุกเข้ามาแล้วทำกร่างใส่แบบนี้ ไม่คิดว่าต้องจ่ายค่าตอบแทนบ้างหรือ ? ”
“แกนี่ปากดีจริง ๆ พวกเราอัดมัน ! ”
หลิวอวี้เหลียนกำหมัดแน่นแล้วผลักหลิวเฟยออกให้พ้นทาง “ถ้ากล้าลงมือกับคนของฉัน ฉันจะส่งพวกนายขึ้นสวรรค์แน่”
พูดจบเธอก็ปล่อยหมัดออกไป
ครอบครัวของเธอมีวิชาหมัดมวยที่สืบทอดต่อกันมา ชื่อเสียงค่อนข้างโด่งดัง เธอจึงได้รับการฝึกฝนมาบ้าง หลิวเฟยจึงไม่ได้เป็นห่วงมากนัก เขาเดินกลับไปที่ม้านั่งแล้วกินข้าวติ่ราวกับนี่ไม่ใช่เรื่องของตน
อีกฝ่ายตะโกนออกมา “ไอ้ขี้ขลาด แกยังเป็นลูกผู้ชายอยู่หรือเปล่า ถึงให้ผู้หญิงออกมาสู้แทน”
“ฉันก็คอยให้กำลังใจอยู่นี่ไง ถือเป็นการช่วยอย่างหนึ่ง แกรับไม่ได้หรือไง ? รับไม่ได้ที่จะโดนผู้หญิงอัดสินะ”
“แก ! ”
ชายคนนั้นตะโกนออกมาพร้อมพุ่งเข้าต่อยหลิวเฟย ฝ่ายหลิวอวี้เหลียนเห็นดังนั้นจึงยกขาออกไปเตะอีกฝ่าย ขณะที่หลิวเฟยยังตักข้าวใส่ปากแล้วเคี้ยวอย่างสบายอารมณ์
ตอนเคี้ยวข้าวอย่างสบายใจทว่าเมื่อเห็นชายคนหนึ่งพุ่งใส่หลิวอวี้เหลียน เขาก็ตะโกนบอกออกไป “ดีดขาหลัง ! ”
แกร๊ก !
“ อ๊าก !”
....
หลิวอวี้เหลียนยกเท้าเตะเข้าที่คางของผู้บุกรุกส่งผลให้อีกฝ่ายทรุดลงกับพื้นพร้อมเอามือกุมคางไว้ทันที