ตอนที่ 16 ดาวโรงเรียน จ้าวเมิ่งซี
เมื่อสายลมยามเย็นพัดผ่าน หวังเย่าก็ได้สติขึ้นมา ตอนที่เขาเดินออกมาจากสถานีตำรวจ เขาก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้น “ลุงหลี่ ลุงรู้ได้ยังไงว่าผมมีปัญหา ? ”
“ในฐานะผู้ปกครองแล้ว ฉันต้องสนใจแกบ้าง ไม่อย่างงั้นฉันคงดูไร้ความรับผิดชอบเกินไป” หลี่ว่านเฟิงไม่ได้พูดอะไรมากนัก “แกก็อยู่มัธยมปลายปีสามแล้ว เรียนก็ไม่ตั้งใจเรียน เอาแต่ก่อเรื่อง มันน่าสนุกรึไง ? ”
หวังเย่ายักไหล่โดยไม่ตอบอะไรกลับ แม้เขาจะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ด่า เพียงแค่หยอกล้อเขา แต่เมื่อนึกถึงสิ่งที่เขาถูกพวกนักเลงกระทำแล้ว เขาก็คิดว่ามันไม่ยุติธรรม
ต้นไม้หวังอยู่นิ่ง แต่สายลมกลับไม่หยุดพัด นี่คือโลกที่ผู้แข็งแกร่งได้รับความเคารพ แล้วผู้ที่อ่อนแอจะอยู่อย่างสงบสุขได้อย่างไร?
“ฉันจะไม่พูดเรื่องนี้กับแกแล้ว เวลาของฉันมีค่า ฉันไม่มีเวลามาเถียงอะไรกับแกมากนัก” หลี่ว่านเฟิงส่ายหน้า
“ถึงอย่างนั้นผมก็ต้องขอบคุณลุงหลี่ด้วย” หวังเย่าโค้งให้ทันที
“มันแค่เรื่องเล็กน้อย” หลี่ว่านเฟิงหันไปหาอีกฝ่ายแล้วถามขึ้น “แล้วแกคิดจะใช้ชีวิตยังไงต่อ ? ”
หวังเย่าหัวเราะออกมา “ก็ต้องพึ่งตัวเอง ครั้งนี้ผมได้รับบทเรียนแล้ว ครั้งหน้าผมจะไม่รบกวนลุงอีกแน่”
หลี่ว่านเฟิงขมวดคิ้ว แม้ว่าจะมีคนรายงานเรื่องหวังเย่าให้เขาฟังทุกวัน แต่ตอนนี้เขาไม่เข้าใจเด็กคนนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ
พูดกันตามเหตุผล การปรากฏตัวของเขานั้นบ่งบอกได้ถึงอำนาจและชวนให้ผู้คนสงสัยได้ แต่เด็กคนนี้กลับไม่สงสัยและไม่คิดจะถามอะไรเลยแม้แต่น้อย
“เสี่ยวเย่า แกลองคิดไปพักที่บ้านของฉันดู ดีไหม ? ” หลี่ว่านเฟิงถามขึ้นมา
“ไม่ ลุงหลี่ ผมอยู่ได้ ผมไม่ต้องการรบกวนใคร” หวังเย่ายิ้มออกมา “เครื่องหมายสำหรับการเติบโตก็คือการพึ่งตัวเองไม่ใช่หรือ ? ”
ได้ยินแบบนั้น หลี่ว่านเฟิงก็นิ่งไปทันที
เด็กคนนี้ช่างไม่รับน้ำใจเขาบ้างเลย หลี่ว่านเฟิงนั้นอยู่ในวิลล่าหลังใหญ่ และอยู่ในหมู่บ้านที่เต็มไปด้วยคนรวยและมีฐานะที่สูงส่ง แต่เด็กคนนี้กลับไม่ลังเลที่จะปฏิเสธเขา เรื่องนี้ทำให้เขาไม่อาจจะเข้าใจได้
“งั้นแกไม่อยากถามหรือว่าฉันเกี่ยวข้องกับพ่อแม่แกยังไง ? ทำไมฉันถึงได้มาเป็นผู้ปกครองของแกได้ ? ” หลี่ว่านเฟิงยังไม่เลิกสงสัย
หวังเย่ายิ้มออกมา “ลุงอยากให้ผมถาม แต่ถามไปมันก็ไม่มีประโยชน์อะไร มันจำเป็นด้วยหรือที่ต้องรู้เรื่องพวกนี้ ? ยิ่งไปกว่านั้นพ่อแม่ของผมก็ตายไปแล้ว ผมไม่ได้อยากรู้เรื่องของพวกเขา การรู้เรื่องของพวกเขามีแต่จะทำให้เกิดความเศร้า อ๊ะ ลุงหลี่ ผมขอตัวก่อนนะครับ ไว้มีโอกาสแล้วค่อยคุยกันใหม่ ตอนนี้มันเริ่มเย็นแล้ว ผมต้องรีบกลับบ้าน”
หวังเย่าชี้ไปที่ท้องที่ร้องแล้วยิ้มออกมา “ผมไม่ได้กินอะไรมานานมาก ผมต้องรีบไปหาอะไรกินแล้ว ถ้ากินอิ่มจะได้คิดอะไรออก”
“นอกจากนี้ผมก็ไม่ใช่เด็กแล้ว ผมหาเลี้ยงตัวเองและปกป้องตัวเองได้ ลุงหลี่สบายใจได้ ลุงไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอก”
เมื่อพูดจบเขาก็โบกมือแล้ววิ่งออกไปทันที
หลี่ว่านเฟิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ รถนั้นไม่อาจจะเข้าใจความคิดของหวังเย่าได้ แม้ว่าเขาจะมีประสบการณ์ชีวิตมากมายก็ตาม
ไม่ใช่ว่ารัก โลภ โกรธ หลงเป็นธรรมชาติของมนุษย์รึไง ?
หากติดตามเขา ชีวิตก็จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก แม้แต่การเป็นคุณชายเสเพลก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร แต่ทำไมหวังเย่าถึงได้ปฏิเสธเขากัน ?
เรื่องนี้ยากที่จะเข้าใจได้ !
บอดี้การ์ดด้านหลังเขาเองก็แสดงสีหน้าสับสน พวกเขาหวังที่จะมีชีวิตที่ดี แต่ฉากตรงหน้ากลับผิดจากที่พวกเขาคิดเอาไว้ ถ้าเปลี่ยนเป็นพวกเขาแล้วละก็ พวกเขาไม่คิดที่จะปฏิเสธอย่างแน่นอน
“เด็กคนนี้มีสมองจริง ๆ รึเปล่านะ ? ”
“จากวันนี้ไปไม่ต้องจับตาดูเด็กคนนี้อีกแล้ว” หลี่ว่านเฟิงพึมพำออกมา “เด็กคนนี้หัวรั้นเกินไป ไม่ต้องสนใจเขา ไว้เขาเรียนจบเมื่อไหร่ก็ค่อยส่งนามบัตรไปให้เขา เพื่อดูว่าเขาอยากได้ความช่วยเหลืออะไรจากฉันไหม จำเอาไว้แล้ว เตือนฉันด้วย”
หวังเย่าวิ่งจากไปโดยไม่หันกลับมามอง เขามุ่งหน้าไปที่โรงเรียนพร้อมกับแมวโง่ที่วิ่งตามอยู่ข้าง ๆ
...
เนื่องจากขาดทรัพยากร เพราะเหมืองขนาดใหญ่ตั้งอยู่นอกเมือง จึงเป็นเรื่องยากที่จะขุดทรัพยากรแล้วส่งเข้ามาในเมือง ดังนั้นในเมืองอรุณจึงมีรถแค่ไม่กี่คัน เพราะเชื้อเพลิงที่น้อยนิดทำให้ไม่จำเป็นต้องสร้างถนนให้กว้างนัก มันยากที่จะพบรถตามท้องถนน
พลังงานเองก็ขาดแคลนเช่นกัน ดังนั้นถึงในเมืองจะมีคนอยู่หลายสิบล้านคน แต่ก็มีบ้านไม่กี่หลังที่มีไฟใช้
แม้แต่ไฟตามท้องถนนบางที่ก็ยังไม่มี
หวังเย่าเดินเข้าไปที่ร้านอาหารพร้อมกับจ่ายเงิน 50 เครดิตและทานอาหารมื้อใหญ่กับการ์ฟีลด์
เมื่อเห็นแมวอ้วนนั่น เจ้าของร้านก็รู้สึกเสียใจทันที ถ้าหากรู้เร็วกว่านี้คงไม่ยอมให้พาสัตว์เลี้ยงเข้ามาด้วย
เมื่อทานอาหารเสร็จ หวังเย่าก็ขึ้นแท็กซี่เพื่อกลับไปที่โรงเรียน
โรงเรียนศิลาศักดิ์สิทธิ์นั้นเหมือนโรงเรียนปิด บางคนไม่จำเป็นต้องพักที่โรงเรียน แต่หวังเย่านั้นเป็นเด็กประจำ
มีแค่วันหยุดเท่านั้นที่เขาจะได้กลับบ้าน
เมื่อมองไปที่ลานในตอนกลางคืน มีนักเรียนหลายคนเดินไปมารอบ ๆ พร้อมกับสัตว์อสูรของพวกเขา
ใจกลางลานนี้มีเวที ด้านบนมีนักเรียนที่ใช้สัตว์อสูรสู้กันอยู่ มันทำให้นักเรียนรอบ ๆ ต่างก็แห่กันมาดูการต่อสู้ที่นั่น
หวังเย่าเห็นสภาพแวดล้อมที่แปลกตานี้ แต่เขากลับรู้สึกได้ถึงความสงบในใจ
นี่คือชีวิตในโรงเรียน มันช่างดูมีสีสันจริง ๆ
โชคร้ายที่การเรียนการสอนของโลกเก่า มีแต่อ่านหนังสือกับทำข้อสอบ เมื่อลองนึกย้อนกลับไปแล้ว ชีวิตแบบนั้นช่างน่าเบื่อจริง ๆ
ตอนนั้นเองก็มีเงาของหญิงสาวผมยาวที่สวมชุดเขียวพร้อมกับใบหน้าที่งดงามเดินเข้ามา
เธอคือจ้าวเมิ่งซี
หวังเย่ามองไปที่จ้าวเมิ่งซีซึ่งเดินเข้ามา เธอน่ะสมกับเป็นดาวโรงเรียนจริง ๆ
แต่เธอจะมาสนใจเขาได้ยังไง ?
จ้าวเมิ่งซีเหมือนจะรับรู้ได้ถึงสายตาของหวังเย่าที่มองมา เธอขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่สายตาของเธอนั้นกลับสะท้อนความสงสัยออกมา
ตอนที่ทั้งสองกำลังจะเดินผ่านกันนั้น จ้าวเมิ่งซีกลับหยุดเดิน
“นี่...นายคือหวังเย่าสินะ ? ”
แค่เสียงก็เพราะแล้ว
“ใช่ ” หวังเย่าไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมาพูดกับเขาก่อน “มีอะไรงั้นหรือ ? ”
“ไม่มีอะไร...ฉันแค่อยากจะถามว่าสัตว์อสูรของนายอยู่ระดับไหนและเลเวลไหน ? ”
จ้าวเมิ่งซีจำการต่อสู้ในตอนเช้าได้ เธอยังคงแปลกใจที่แมวดูโง่ตัวนี้กลับแข็งแกร่งจนน่าเหลือเชื่อ