ตอนที่ 12 ผู้ใหญ่บ้านที่ดังที่สุดในโลกโซเซียล
หลิวจื้อและลูกชายผู้ขี้ขลาดตาขาวในสายตาชาวบ้านมาโดยตลอด วันนี้กลับโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ทำให้ทุกคนคาดไม่ถึง
คนอย่างหลิวเทียนป้ารู้สึกทนเห็นท่าทางกำเริบเสิบสานของสองพ่อลูกไม่ไหว เขาเอามือลูบจมูกจากนั้นก้าวไปข้างหน้าสองเก้า “ไอ้เด็กเปรต เพิ่งอายุเท่าไรเอง ? แกจะตีกับใครไหว ? มาสิมา ฉันจะยืนให้ตีฉันตรงนี้นี่แหละ หากไม่กล้าเข้ามาก็แสดงว่าแกน่ะปอดแหก ! ”
หลิวต้าเวย ผู้ตั้งตนเป็นพี่ใหญ่ของหมู่บ้านเสี่ยวหลิวเอามือบิดตรงไฝสีดำเม็ดใหญ่ที่ใต้คาง จากนั้นก็เดินเข้าไปหาหลิวเทียนป้า “หลิวเทียนป้า เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า ? นี่ไม่ต่างอะไรจากการรังแกเด็กน้อยตาดำ ๆ ไม่รู้สึกขายขี้หน้าเลยหรือ ? ”
หลิวเทียนป้าเอ่ยอย่างไม่แยแส “แล้วไง ? แกไม่ใช่คนที่โดนหาเรื่องเสียหน่อย ออกตัวแทนพวกมันทำไม ? ”
หลิวต้าเวยยิ้มแห้ง “เรื่องนี้ฉันต่างหากที่ควรพูดให้แกฟัง อย่าคิดว่ามีเงินสกปรกนิดหน่อยแล้วจะยกพวกมารังแกคนหมู่บ้านเสี่ยวหลิวได้ตามอำเภอใจ อย่าคิดดูถูกความสามารถของคนที่นี่เชียว ถ้าทำให้พวกเราโกรธเมื่อใด เราจะสู้ไม่ถอย ! แกรังแกสองพ่อลูกนี้ก็เท่ากับรังแกพวกเราทั้งเสี่ยวหลิว ต้องถามพวกเราก่อนว่ายินยอมหรือไม่ พี่น้องหมู่บ้านเสี่ยวหลิวทั้งหลายเห็นด้วยหรือไม่ ? ”
“เห็นด้วย ! ”
เมื่อได้ยินเสียงขุ่นเคืองของฝ่ายตรงข้ามดังแซ่ซ้อง หลิวเทียนป้าก็หัวเราะร่าขึ้นมาทันที “ดูเหมือนว่าวันนี้พวกแกไม่ยอมถอยสินะ แบบนี้ไม่ลงมือไม่ได้แล้ว ! พี่น้องหมู่บ้านต้าหลิวทั้งหลาย แค้นนี้พวกเรายอมได้หรือไม่ ? ”
“ยอมไม่ได้ ! ”
เสียงขุ่นเคืองของอีกฝ่ายดังขึ้นเช่นกัน แต่ยังไม่ทันขาดสายก็มีเสียง “พลัวะ” ดังแทรกขึ้นมา หลิวฮ่าวเอากระบองตีหลิวเทียนป้าจริง ๆ ทำให้คนโดนตีโกรธจนเส้นเลือดปูดโปน จึงพุ่งเข้าใส่หลิวฮ่าวเช่นกัน พอหลิวต้าเวยเห็นเช่นนั้นก็รีบส่งคนเข้าไปห้าม ในที่สุดชาวบ้านจากทั้งสองฝั่งก็ปะทะกันจนวุ่นวายอีรุงตุงนังไปหมด
หลิวเฟยตกใจจนทำอะไรไม่ถูก เดิมทีคิดว่าการปะทะครั้งนี้สามารถสงบลงโดยน้ำมือตน ถ้ามีเขาอยู่ บางทีทั้งสองฝ่ายอาจยอมเลิกราต่อกันชั่วคราว ทว่าการหวดกระบองของหลิวฮ่าวกลายเป็นชนวนแห่งการปะทะเสียแล้ว ตอนนี้สถานการณ์บานปลายไปหมด
หลี่อวิ๋นโหรวที่ตามมาอย่างเร่งรีบเห็นภาพชาวบ้านกำลังโบ้ยความผิดกันไปมา ทั้งยังทะเลาะตบตีจนเละไม่เป็นท่า จึงรีบตะโกนให้คนเข้าไปห้าม ผลปรากฏว่าแต่ละคนที่เรียกเข้าไปนั้นไม่มีใครห้ามแม้แต่คนเดียว ต่างเข้าไปร่วมตีกับชาวบ้านกลุ่มแรก เหมือนราดน้ำมันลงกองไฟลุกโชน สถานการณ์ยิ่งบานปลายเข้าไปอีก ทำเอาเธอแทบล้มทั้งยืน
หลิวอวี้เหลียนเองก็คาดไม่ถึงว่าสถานการณ์จะบานปลายถึงเพียงนี้ เธอรีบยื่นสองมือเข้ากางกั้นตรงกลาง พยายามเบ่งเสียงสู้ให้หยุดตีกัน
หลิวเฟยที่ถูกฝูงชนล้อมหน้าล้อมหลังก็กวาดสายตามองรอบๆ เขากัดฟันและพยายามหยุดยั้งสถานการณ์อย่างสุดความสามารถ ทว่ายิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องโอดครวญดังขึ้น ไม่รู้ว่าตนเองไปชนใครเข้าหรือเปล่า แต่ภาพที่เห็นคือหลิวจื้อล้มกระแทกพื้นอย่างแรงจนหัวแตกเลือดไหลซิบ
หลิวเฟยรีบเอาตัวไปป้องเอาไว้ เตรียมพยุงคนเจ็บลุกขึ้น ทว่ามีเสียงไม่คาดคิดดังขึ้น “หลิวเฟย แกมันไอ้ลูกหมา เป็นถึงผู้ใหญ่บ้านแต่แอบแทงข้างหลังลูกบ้าน ใช้ลูกไม้สกปรกช่วยพ่อตา พวกเราช่างตาบอดที่เลือกแกเข้ามา ! ”
พอคนจากหมู่บ้านเสี่ยวหลิวได้ยินเช่นนั้น กอปรกับเห็นพวกพ้องเลือดตกยางออกก็โมโหเป็นฟืนเป็นไฟจนตีกันหนักขึ้นไปอีก หลายคนเข้ามาล้อมหลิวเฟยแล้วเริ่มตีเขาแทน
“ฉันไม่ได้ทำร้ายเขานะ ! ”
หลิวเฟยขมวดคิ้ว รับหมัดพร้อมอธิบายให้คู่กรณีฟัง แต่สำหรับชาวบ้านที่อารมณ์พลุ่งพล่านจนกู่ไม่กลับ พูดไปใครจะฟัง ?
“อ๊า ! ”
“อ๊าก ! ”
.........
ในขณะที่สถานการณ์เดินไปถึงสภาวะเข้าตาจน เสียงโหยหวนก็ดังขึ้นมาอีก หลิวฮ่าวคลั่งขึ้นมาราวกับอสุรกายร้าย ใช้กระบองหวดฝ่ายตรงข้ามไม่ยั้งมือ
พอหวดไปไม่กี่ครั้งก็เหมือนยังไม่สะใจ เลยแย่งเคียวเกี่ยวข้าวของชาวบ้านมาไล่ฟันคนที่กระจายตัวอยู่ตรงหน้า
จากนั้นก็มีเสียงร้องแสดงความเจ็บปวดดังขึ้นเป็นระยะ ชาวบ้านที่พบเห็นเหตุการณ์ล้วนชะงักเพราะตกใจกันถ้วนหน้า เมื่อหลิวเฟยเห็นสถานการณ์เริ่มรุนแรงขึ้น จึงไม่แยแสว่าใครจะกล่าวหาเขาช่วยใครหรือเลือกที่จะไม่ช่วยใครอีกต่อไป เขาพุ่งตัวออกไปราวกับพยัคฆ์ร้ายที่ลงมาจากภูเขา ผลักชาวบ้านทุกคนที่ขวางเส้นทาง จากนั้นก็กระโจนเข้าไปหาหลิวฮ่าว หลบคมเคียวอยู่สองสามครา จากนั้นจึงแย่งเคียวจากมือหลิวฮ่าวไปแล้วกอดรัดตัวอีกฝ่ายจนไร้ทางขยับเขยื้อน
“พ่อ ! ”
“พ่อ! ผมจะฆ่าพวกมันให้หมด ! ”
.......
แม้ว่าหลิวฮ่าวจะถูกรัดจนแน่น แต่ยังดิ้นต่อราวกับคนเสียสติ เมื่อเห็นว่าไร้หนทางหลบหนี จึงก้มลงกัดแขนของหลิวเฟย
หลิวเฟยกัดฟันทนความเจ็บ จากนั้นโขกหัวลงที่ท้ายทอยเพื่อให้อีกฝ่ายหมดสติไป
เมื่อเห็นชาวบ้านห้าถึงหกคนถูกเคียวเกี่ยวจนได้รับบาดเจ็บ อีกทั้งหลิวจื้อก็เลือดไหลมากกว่าเดิม หลิวเฟยจึงแผดคำรามขึ้นมา “พอใจกันหรือยัง ? หลี่อวิ๋นโหรว ยืนทื่ออยู่ทำไม ? รีบไปเอากล่องปฐมพยาบาลของฉันมา เร็ว ! ”
หลี่อวิ๋นโหรวที่สติหลุดไปนานแล้ว กว่าจะได้สติอีกครั้งก็ผ่านไปนานทีเดียว พอสติมาก็รีบวิ่งไปเอากล่องยา
หลิวเฟยนั่งชันเข่าอยู่ตรงหน้าหลิวจื้อ จากนั้นก็สำรวจบาดแผล ยังไม่ทันได้เอ่ยสิ่งใด จู่ ๆ ก็มีเสียงของหลิวต้าเวยแทรกขึ้นมา “หลิวเฟย ในฐานะผู้ใหญ่บ้าน แกกลับ...”
“หุบปาก ! อวี้เหลียน โทรเรียกรถพยาบาลมาซิ ! ”
หลิวเฟยสาดสายตาคมกริบราวกับเหยี่ยว จากนั้นก็ตะโกนขึ้นอย่างเดือดดาลจนหลิวต้าเวยปากสั่น ไม่กล้าเอ่ยอะไรอีกต่อไป
หลิวเทียนป้าถามออกมาเช่นกัน “เสี่ยวเฟย...เขา...เขาจะไม่ตายใช่ไหม ? ”
“ลุงก็เงียบซะ ! ”
โดนหลิวเฟยตวาดใส่ แม้หลิวเทียนป้ารู้สึกขายหน้า แต่ตอนนี้ความเป็นความตายของคนสำคัญกว่า เลยไม่ปริปากเอ่ยอะไรอีก
ไม่นานนัก หลี่อวิ๋นโหรวก็หอบกล่องปฐมพยาบาลกลับมา หลังจากที่หลิวเฟยห้ามเลือดให้หลิวจื้อจนเสร็จ ก็ไปทำแผลให้ชาวบ้านที่โดนเคียวเกี่ยว จากนั้นจึงแบกหลิวจื้อและนำคนกลุ่มหนึ่งลงจากเขา
ปกติจำต้องใช้เวลานานถึงครึ่งชั่วโมงในการเดินลงจากภูเขา ทว่าด้วยหวังจะช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ของหลิวเฟย ทำให้เขาสับขาวิ่งเร็วมาตลอดทาง จึงใช้เวลาเพียงสิบกว่านาทีก็มาถึงปากทางขึ้นเขาซึ่งมีรถพยาบาลจอดรออยู่พร้อมนำตัวคนเจ็บส่งโรงพยาบาลก่อนใคร
เห็นหลิวจื้อถูกเข็นเข้าห้องฉุกเฉิน หลิวเฟยรู้สึกจุกในอกอย่างบอกไม่ถูก จากการวินิจฉัยเบื้องต้นก็รู้ทันทีว่าศีรษะของหลิวจื้อถูกของแข็งกระแทกอย่างแรง อาจทำให้สมองถูกกระทบกระเทือนอย่างหนัก หากรักษาไม่ทันท่วงทีอาจทำให้ความจำเสื่อม ซึ่งหลิวเฟยไม่หวังให้เป็นเช่นนั้น
เขาพยายามนึกถึงเหตุการณ์จลาจลเมื่อครู่ ไม่นานก็สามารถไล่เรียงลำดับเหตุการณ์ออกมาได้สองเรื่อง
เรื่องที่หนึ่ง แม้ไม่มั่นใจว่าตนเป็นคนผลักหลิวจื้อจนล้มในระหว่างห้ามปรามหรือเปล่า ส่วนหลิวจื้อล้มหัวกระแทกก้อนหินนั้นเป็นเรื่องคาดไม่ถึง หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นเรื่อง ‘บังเอิญ’ ก็ย่อมได้
ประการที่สอง จากที่สังเกตแววตาของหลิวฮ่าวตอนกำลังคลั่ง เขามั่นใจว่าพ่อหนุ่มน้อยผิดปกติ อาจเป็นโรคเกี่ยวกับระบบประสาท แต่เรื่องนี้ยังไม่เคยได้ยินชาวบ้านพูดถึงมาก่อน หรือว่าทุกคนยังไม่รู้ ?
ไม่นานนัก หลิวเทียนป้า หลิวต้าเวยก็นำชาวบ้านที่ได้รับบาดเจ็บที่เหลือตามมาถึงโรงพยาบาล
ในขณะที่หลิวฮ่าวยังหมดสติและถูกส่งตัวเข้าห้องตรวจ หลิวเฟยก็ลากหลิวอวี้เหลียนมากระซิบถาม “เขาเป็นโรคประสาทหรือเปล่า ? ”
หลิวอวี้เหลียนกระซิบกลับไป “นี่เป็นเรื่องต้องห้ามของหมู่บ้านเรา หากมีคนเอ่ยถึงเมื่อใด ลุงจื้อจะโวยขึ้นมาทันที ฉะนั้น พี่ไม่รู้ก็ถือว่าไม่แปลก ได้ยินว่าเสี่ยวฮ่าวเป็นแบบนี้เพราะเมื่อสามปีก่อน แม่ของเขากรีดข้อมือฆ่าตัวตายจึงทำให้เขาได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างแรง เป็นเหตุให้มีอาการคลุ้มคลั่งทุกครั้งที่เห็นเลือด”
หวนนึกถึงภาพที่หลิวจื้อล้มจนเลือดอาบ แล้วจู่ ๆ หลิวฮ่าวก็มีสภาพเหมือนคนบ้าขึ้นมา หลิวเฟยจึงส่ายหน้าแล้วพึมพำกับตน “คงเป็นโรคไบโพล่า จะรักษาคงไม่ง่ายนัก”
พูดจบก็มีชายวัยกลางคน 2 คน เดินนำคนในเครื่องแบบตำรวจราว 5 – 6 คนเข้ามา พวกเขาหยุดอยู่หน้าหลิวเฟยพอดี
แม้หลิวเฟยจะรับตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านได้ไม่นาน แต่ก็รู้จักผู้ชายวัยกลางคนทั้งสองดี หนึ่งในนั้นคือ เฉินจวินหราน รองนายกตำบลโซ่วเฉิง อีกคนชื่อเจิ้งหลงปิน เป็นรองสารวัตรสถานีตำรวจประจำตำบลโซ่วเฉิง
ไม่คาดคิดว่าเรื่องจะแพร่ไปถึงตำบลรวดเร็วปานนี้ เพิ่งได้พักหายใจหายคอ ยังไม่ทันเรียบเรียงลำดับเหตุการณ์อย่างละเอียดถี่ถ้วน เฉินจวินหรานก็โวยวายใส่กัน “หลิวเฟย ! รู้ตัวหรือเปล่าว่าก่อปัญหาใหญ่หลวงแค่ไหน ? อย่าว่าแต่หมู่บ้านหลิวเจียเลย ทั้งตำบลโซ่วเฉิงก็พลอยขายหน้าเพราะนาย ผู้ใหญ่บ้านที่เก่งกาจที่สุดในประวัติศาสตร์ เหอะ ๆ ...ฉายานี้ทำให้ฉันหน้าชาไปหมด ! ”
เขาถอนหายใจออกมาด้วยความโกรธ จากนั้นจึงพูดต่ออีกว่า “ฉันขี้เกียจจะเสวนากับนายอีก ตอนนี้ทั้งตำบล หรืออำเภอ รวมไปถึงท่านนายกตำบลที่กำลังเดินทางไปต่างถิ่นก็โทรศัพท์มาถามเรื่องนี้ให้วุ่น นายถูกปลดจากตำแหน่งแล้ว รีบตามรองสารวัตรเจิ้งไปให้ปากคำแต่โดยดี ! ให้ความร่วมมือดี ๆ ล่ะ ทำอย่างไรก็ได้ให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุด ไม่เช่นนั้นนายต้องรับผิดชอบ ! ”
เจิ้งหลงปิงก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง ล้วงกุญแจมือออกมาสวมเข้าที่ข้อมือของหลิวเฟย “ไปกันเถิด รู้หรือเปล่าว่าตอนนี้นายดังแค่ไหนในโซเซียล เก่งจนแทบจะดังไปถึงนอกโลกแล้ว ! ”
ได้ยินเช่นนั้น หลิวเฟยถึงกับตะลึงงัน ทำอย่างไรดีล่ะทีนี้ ? พวกเขาแทบไม่เปิดโอกาสให้อธิบายก็มาจับกุมกันง่าย ๆ อย่างนี้เลยหรือ ?