px

เรื่อง : ผู้ใหญ่หลิวยอดเกษตร (นิยายแปล) ปลดล๊อคตอนฟรี วันละ 1 ตอน
ตอนที่ 13 ก็เป็นคนหัวรั้นเสียอย่างนี้


ตอนที่ 13 ก็เป็นคนหัวรั้นเสียอย่างนี้

 

“เกิดอะไรขึ้น ? ”

 

แม้หลิวเฟยรู้ว่าเป็นเพราะความประมาทของตนที่ไม่หยุดยั้งความโกลาหลไว้แต่แรก จึงยอมรับผิดในจุดนี้ ถึงอย่างไรเสียพวกเขาก็ไม่ควรทำแบบนี้กับตน นี่จะปลดออกจากตำแหน่งและกักขังกันอีก ทั้งยังกดดันให้รับผิดชอบทุกสิ่งต่างหาก ไม่คิดสอบถามความจริงให้แน่ชัดเลยหรือไง ?

 

“ยังมีหน้ามาถามอีกว่าเกิดอะไรขึ้น ? นายยังหลับฝันอยู่หรือ ? ตื่นขึ้นมารับรู้อะไรบ้างก็ดี ! ”

 

เฉินจวินหรานส่งโทรศัพท์ให้หลิวเฟยที่เปิดดูอย่างสงสัย จากนั้นบนหน้าจอก็ปรากฏภาพข่าวในเวยปั๋ว* ขึ้นมา พาดหัวข่าวคือ ‘เมื่อผู้ใหญ่บ้านที่เก่งกาจที่สุดถือกำเนิด แทนที่จะห้ามกลับยุให้ลูกบ้านตีกันจนบาดเจ็บหลายราย’ ด้านล่างของหัวพาดข่าวมีวิดีโอบันทึกภาพของเขาโชว์หราอยู่ (เวยปั๋ว คือ โซเซียลมีเดียหน้าตาคล้ายทวิตเตอร์ที่ชาวจีนนิยมใช้มากที่สุด )

 

เมื่อเปิดวิดีโอขึ้นดูก็พบว่าหลิวเฟยเจตนาผลักหลิวจื้อให้ล้มลง มีภาพหลิวจื้อล้มหัวกระแทกพื้นและภาพเขาผลักชาวบ้านทั้งสองข้างทาง อีกทั้งภาพที่เขาพุ่งไปสกัดหลิวฮ่าวก็มีเช่นกัน ไม่ว่ามองทางไหนก็ทำให้สรุปได้ว่าเขากำลังยกพวกตีคนอื่น แถมยังดูเป็นหัวโจกอีกต่างหาก แต่ในฐานะผู้อยู่เหตุการณ์นี้ก็รู้ได้ทันทีว่าวิดีโอครึ่งนาทีได้ผ่านการตัดต่อมาแล้ว มีเจตนาทำให้เขากลายเป็นตัวร้ายในเหตุการณ์

 

หลิวเฟยเงียบไปชั่วขณะ

 

หากพูดให้ถูก ควรบอกว่ากำลังนึกบางอย่างขึ้นได้ และตอนนี้ก็กำลังคิดหาวิธีอยู่

 

ตอนนี้เรื่องกลายเป็นไฟลามทุ่งไปเสียแล้ว เฉินจวินหรานและเจิ้งหลงปินไม่ได้มีเวลามากพอที่จะปล่อยให้เสียไปอย่างเปล่าประโยชน์แบบนี้

 

เฉินจวินหรานคว้าโทรศัพท์คืนมา แล้วเอ่ยอย่างโมโห “หมดข้อแก้ตัวแล้วใช่ไหม แค่ชั่วโมงกว่า วิดีโอนี้ถูกรับชมมากกว่าแสนครั้ง คิดว่าอีกไม่นานคงเลยล้านครั้ง ดังใหญ่แล้วนาย จะไม่ยอมรับก็ไม่ได้แล้ว ! ”

 

พูดถึงตรงนี้ก็เพิ่งความดุดันขึ้นมา “รู้ไหมว่าเรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์หมู่บ้านหลิวและตำบลโซ่วเฉิงมากแค่ไหน ชาวบ้านหลิวตาบอดกันหรือไง ทำไมเลือกผู้ใหญ่บ้านสารเลวนี้ได้ ? เท่ากับทำบาปต่อตัวเองชัด ๆ ! ”

 

เจิ้งหลงปินลากตัวหลิวเฟยออกมาแล้วเอ่ย “รองนายกเฉินใจเย็นก่อนเถิด ผมจะพาตัวเขาไปที่สถานี จะเร่งหาสาเหตุโดยเร็วที่สุด จากนั้นจะจัดแถลงข่าวเพื่อยุติความคิดเห็นที่เลยเถิดของประชาชน ! ”

 

เฉินจวินหรานเอามือก่ายหน้าผาก ถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ไปเถิด ต้องหาสาเหตุให้ได้ หากเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงก็อย่าผ่อนปรนไม่ว่ากรณีใดก็ตาม เรื่องนี่ส่งผลกระทบใหญ่หลวงจริง ๆ ! ”

 

ส่วนหลิวเฟยที่เงียบอยู่พักใหญ่ เมื่อถูกตำรวจกุมตัวออกไป ในที่สุดก็ยอมปริปากพูดเสียที

 

พอคิดหาทางออกของเรื่องทั้งหมดได้แล้ว เขาก็เปลี่ยนเป็นนิ่งขรึมแล้วพูดโดยไม่แสดงความกระวนกระวายใจออกมาแม้แต่น้อย “คุมตัวผมไปสืบสวนที่โรงพักก็ไม่ว่าอะไรนะ แต่มีสองเรื่องที่ต้องการบอกไว้ตรงนี้ เรื่องที่หนึ่ง รองนายกเฉินไม่สิทธิ์ถอดถอนผมจากตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน”

 

เฉินจวินหรานที่กำลังโมโหขึ้นสมอง เบิกตาโตด้วยความโกรธ “ว่าไงนะ ? ! ”

 

หลิวเฟยเอามือปัดจมูก จากนั้นเอ่ยต่อ “เหมือนท่านโมโหจนเลอะเลือนไปแล้วนะครับ ตามกฎหมายการคัดเลือกผู้แทนหมู่บ้าน หากต้องการปลดผู้ใหญ่บ้านออกจากตำแหน่ง ต้องมีรายชื่อลูกบ้านที่มีสิทธิ์เลือกตั้งหรือมีตัวแทนลูกบ้านยื่นเรื่องถอดถอน การยื่นถอดถอนต้องมีรายชื่อลูกบ้านร่วมลงประชามติ ต้องมีลูกบ้านลงมติเห็นชอบเกินครึ่งถึงจะผ่าน ผมเป็นผู้ใหญ่บ้านที่ลูกบ้านเลือกมากับมือ ตอนนี้พวกเขายังไม่ได้ยื่นเรื่องเลยด้วยซ้ำ ท่านมีคุณสมบัติใดมาถอดถอนผมจากตำแหน่ง ? ”

 

“นาย ! ”

 

เฉินจวินหรานหน้าเสียทันที ส่วนเจิ้งหลงปินและคนอื่นตะลึงจนอ้าปากค้าง ไอ้หนุ่มคนนี้แกว่งเท้าหาเสี้ยนชัด ๆ กล้าดีอย่างไรมาพูดแบบนี้กับท่านรองนายก อยากรนหาที่ตายหรือ ?

 

เมื่อหลิวเฟยเห็นเฉินจวินหรานใบ้รับประทานอยู่นาน เลยไม่รู้จะพูดอะไรต่อจึงหันไปพูดกับเจิ้งหลงปิน “ท่านรองสารวัตรเจิ้ง ผมให้ความร่วมมือในการให้ปากคำได้ แต่ ณ สถานการณ์ตอนนี้ รองสารวัตรไม่มีสิทธิ์จับกุมผม เพราะหนึ่ง รองสารวัตรไม่สามารถเอาวิดีโอที่ผ่านการตัดต่อมาเอาผิดผมได้ สอง โจทก์ทั้งสองคนนั้นยังไม่ได้สติ สาม เงื่อนงำเบื้องหลังเหตุการณ์มีเยอะเกินไป คล้ายกับว่ามีการจัดฉากขึ้น”

 

เจิ้งหลงปินตกใจเมื่อได้ยินสิ่งที่เขาเอ่ย แต่แล้วเจ้าตัวก็หัวเราะเยาะ “คนเลวก็เลวอยู่วันยังค่ำ มีความสามารถในการเถียงข้างข้างคูคูเสียจริง นายคิดว่ารู้กฎหมายเยอะมากหรือไง ? ได้ เดี๋ยวเข้าไปด้านใน ฉันจะทำให้นายยอมสารภาพจนหมดเปลือก ! นำตัวเขาไป ! ”

 

หลังจากนั้น คนกลุ่มหนึ่งก็นำตัวหลิวเฟยออกมาที่ทางเข้าของโรงพยาบาล หลี่อวิ๋นโหรวและหลิวอวี้เหลียนรีบเข้ามายิงคำถามต่างต่างนานาไปที่เขา

 

หลิวเฟยขี้เกียจพูดมากความจึงเข้าไปใกล้หลิวอวี้เหลียนแล้วกระซิบข้างหูเธอเพื่อไหว้วานให้เธอช่วยบางอย่าง

 

หลิวอวี้เหลียนฟังเขาพูดจบก็เอ่ยถามอย่างสงสัย “พี่แน่ใจหรือว่าจะให้ฉันช่วยเรื่องนี้ ตอนนี้พี่กำลังงานเข้าอยู่แท้ ๆ กลับให้ฉันไปสำรวจอะไรที่ไม่เกี่ยวกันเลย นี่มัน...”

 

หลิวเฟยไอแห้งออกมาเพื่อขัดจังหวะ “ฉันให้เวลามากสุดแค่หนึ่งชั่วโมง เดี๋ยวฉันจะออกมา เมื่อถึงเวลานั้น หวังว่าเธอจะให้คำตอบที่น่าพอใจได้”

 

เมื่อพูดจบก็ทำให้เจิ้งหลงปินหลุดหัวเราะออกมา “นายไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรเลย ! ทำเรื่องร้ายแรงขนาดนี้ยังต้องการเวลาหนึ่งชั่วโมงอีกหรือ ? ไม่ติดคุกสักสองสามปีก็บุญโข ! ”

 

หลิวเฟยกระพริบตาแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “งั้นคอยดูแล้วกัน”

 

เจิ้งหลงปินไม่อยากให้ค่าอีกต่อไป หลิวเฟยทำราวกับว่าสถานีตำรวจเป็นเหมือนบ้านไปแล้ว นึกจะออกก็ออก นึกทำอะไรก็ทำอย่างนั้นหรือ ? เคยเห็นรองสารวัตรที่ยืนหัวโด่อยู่ตรงนี้ในสายตาบ้างไหม ?

 

ลูกน้องของเขาต่างส่ายศีรษะให้ ล้วนคิดในใจว่าไอ้หนุ่มคนนี้ช่างหัวรั้นเสียจริง เมื่อครู่เพิ่งทำให้รองนายกขายหน้า ยังจะลามมาถึงท่านรองสารวัตรอีก

 

หลิวเฟยตามพวกเขาไปที่โรงพัก จากนั้นมีเจิ้งหลงปินรับหน้าที่สอบสวนเอง เขาเล่าเรื่องทุกอย่างอย่างรวดเร็ว

 

“หลิวเฟย ท่านผู้ใหญ่หลิว ปกปิดความรับผิดชอบได้ขาวสะอาดดีนี่ ตัวนายเชื่อในสิ่งที่ตนพูดออกมาหรือเปล่า ? ” เจิ้งหลงปินถามอย่างเย้ยหยัน

 

“เชื่ออย่างแน่นอน” หลิวเฟยตอบ

 

“เหอะ ๆ ๆ...ดูนี่เสียก่อนแล้วค่อยพูด ! ”

 

เจิ้งหลงปินให้คนนำกระดาษแผ่นหนึ่งมาวางตรงหน้าหลิวเฟย เขารีบอ่านอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ตกตะลึงตาค้างในทันที หลิวต้าเวยและชาวบ้านอีกสิบกว่าคนได้นำหลักฐานมาฟ้องร้องว่าเขาเป็นคนริเริ่มเหตุการณ์ทั้งหมด ทั้งยังสร้างความกระทบกระเทือนต่อหลิวฮ่าวที่เป็นโรคทางประสาทอีกด้วย บนหนังสือฉบับนั้นมีการเซ็นชื่อและประทับตราอย่างสมบูรณ์

 

“ทางโรงพยาบาลเพิ่งยืนยันว่าหลิวฮ่าวเป็นโรคไบโพร์ล่า ไงล่ะ ตอนนี้นายมีอะไรอยากแก้ตัวอีกหรือเปล่า หากนายไม่ยอมรับผิด จะให้ฉันรับผิดแทนหรือไง ? ”

 

เมื่อเจิ้งหลงปินเห็นหลิวเฟยเผยท่าทีเหมือนยอมรับแล้ว เขาก็ยิ้มออกมาอย่างพอใจ ถูกใจที่ได้เห็นเขาในสภาพช็อกจนทำอะไรไม่ถูก

 

‘หึ ! นายเป็นพวกหัวรั้นไม่ใช่หรือ ? ในที่สุดฉันก็สามารถทำให้นายสยบแทบเท้าอย่างมีเหตุมีผลเสียที’

 

ตอนนี้มีครบทั้งพยานและหลักฐาน ทว่าหลิวจื้อและหลิวฮ่าวยังสลบไม่ได้สติ กระแสสังคมวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างหนักหน่วง อาจกล่าวได้ว่าหลิวเฟยตกอยู่ในสภาวะอับจนหนทางของจริง

 

ตอนนี้หลิวเฟยเงียบลงชั่วขณะ จากนั้นก็รู้สึกจิตใจสงบขึ้นมาบ้าง

 

เขาแสยะยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านรองสารวัตรเจิ้งสรุปสำนวนคดีเร็วดีนี่ หากอิงขั้นตอนของรองสารวัตร ตอนนี้ผมแค่รอให้ศาลตัดสินสินะ โดนข้อหาก่อจลาจล จงใจทำร้ายผู้อื่น อีกทั้งยังมีสถานะเป็นผู้ใหญ่บ้านอีกด้วย ดูเหมือนว่าโทษของผมไม่เบาเลย”

 

“หลักฐานก็มีให้เห็นอยู่ทนโท่ นายไม่ต้องปฏิเสธ ! ”

 

ตำรวจคนที่นั่งอยู่ด้านข้างก้มจดบันทึกตลอด เธอเป็นตำรวจหญิงที่ดูภูมิฐาน มีทรวดทรงองเอวน่าหลงใหล ในเวลานี้ เธอกระแอมออกมา เพราะทนไม่ไหวจนต้องขัดจังหวะ “ท่านรองสารวัตรคะ ดิฉัน...คิดว่าเรื่องนี้มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล...”

 

หลิวเฟยรีบหันไปมองตำรวจสาวคนนั้น ก่อนจะส่งยิ้มให้ “ในที่สุดก็มีคนพูดภาษามนุษย์เสียที ผมยังคิดเสียอีกว่าโรงพักที่นี่เลือกแต่คนไม่ยอมรับฟังอะไรเข้ามาทำงานเสียอีก ! ”

 

มุมปากของเจิ้งหลงปินเผยอขึ้น “ยังมีหน้ามาถากถางคนอื่นอีก หัวรั้นนักนะ ! จริงอยู่ที่มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล อย่างเช่น ใครเป็นคนอัพโหลดวิดีโอ แรงจูงใจในการก่อจลาจลของนายคืออะไร สิ่งเหล่านี้ ฉันยังต้องสืบหาคำตอบ ทว่าตอนนี้ได้ข้อสรุปโดยคร่าว ๆ แล้ว นายต้องรับผิดอย่างแน่นอน นับวันรอที่จะเข้าไปนอนในคุกได้เลย ! ”

 

“แบบนั้นหรือ ? ”

 

หลิวเฟยยิ้มทำท่าจะยืนขึ้นแต่มีตำรวจชายมาห้ามไว้เสียก่อน

 

เจิ้งหลงปินแผดเสียงด้วยความโกรธ “ไอ้บ้า ที่นี่เป็นสถานีตำรวจ นายจะทำอะไร ? จะก่อความวุ่นวายหรือ ? ”

 

หลิวเฟยตอบกลับอย่างตรงไปตรงมา “เวลาหนึ่งชั่วโมงของผมใกล้จะหมดแล้ว เรื่องที่ควรทำก็ทำไปแล้ว เรื่องที่ควรสืบสวนก็สืบไปแล้ว ผมคิดว่าควรไปได้แล้ว”

 

“ฮ่า ๆ ๆ ”

 

ได้ฟังเช่นนั้น เจิ้งหลงปินก็หัวเราะจนน้ำตาไหล ไอ้หนุ่มคนนี้บ๊องจริง ๆ เรื่องลามมาถึงขั้นนี้แล้ว ยังมีหน้ามาขอตัวออกไปอีก ? ฝันไปเถิดเจ้าหนุ่ม !

 

หลิวเฟยเห็นเขาหัวเราะยั่วโมโห จึงส่ายหัวแล้วพูดว่า “เฮ้ย หยุดหัวเราะได้แล้ว ได้ยินแล้วขนลุกขนพอง ! งั้นคุณกล้าให้ผมยืมโทรศัพท์ไหมล่ะ ? ”

 

ทันใดนั้นเจิ้งหลงปินก็หัวเราะหนักขึ้นไปอีก เขาชี้ไปทางหลิวเฟยแล้วเอ่ย “นายอยากเรียกพวกมาช่วยงั้นหรือ ? ได้สิ เอาไปโทร วันนี้ฉันขอพูดเพียงเท่านี้ ถ้าหนีออกไปจากที่นี่ ฉันจะตามไม่เลิกแน่ ! ”

 

“รู้แล้วน่า ! ”

 

เดิมทีหลิวเฟยไม่อยากรบกวนคนอื่น แต่โดนรองสารวัตรเล่นงานแบบนี้ ทำให้ตนไร้ทางเลือก เมื่อกดหมายเลขโทรออก ก็ส่งเสียงอู้อี้อยู่พักหนึ่ง จากนั้นจึงนั่งบนเก้าอี้พร้อมสีหน้าแสนเคร่งขรึม

 

เจิ้งหลงปินเดินวางมาดมาหยุดอยู่ตรงหน้าหลิวเฟยแล้วก้มลงพูด “เป็นไง ? ท้อแล้วหรือ ? โทรอีกสิ ฉันล่ะชอบนายจริง ๆ ชายหนุ่มผู้ดื้อรั้น สุดท้ายก็มีสภาพไม่ต่างจากผีไร้ญาติ สะใจจริง ๆ ที่เห็นแบบนี้ ! โทรอีกสิ อย่าท้อแท้ อย่าได้กลัว”

 

“เหอะ ๆ ๆ...รองสารวัตร ! ”

 

หลิวเฟยแหงนหน้าขึ้นแล้วแยกเขี้ยวใส่ แต่เจิ้งหลงปินยังไม่ทันแสดงปฏิกิริยาอะไรออกมา ประตูห้องสืบสวนก็ถูกเปิดออกเสียก่อน

รีวิวผู้อ่าน