ตอนที่ 15 อาวุธลับกับรอยยิ้มที่แฝงด้วยคมมีด
เมื่อเห็นหลิวเฟยได้หลับตานอนและไม่มาก่อกวนเธออีกต่อไป ตอนนี้นอกจากหานอิงจะโมโหแล้ว เธอก็ยังรู้สึกสงสัยอะไรบางอย่างอีกด้วย
นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้พบพานกับผู้ต้องสงสัยที่จวนจะติดคุกอยู่แล้ว แต่กลับมีท่าทีที่นิ่งเฉยได้ขนาดนี้ เขาดูมีความมั่นใจมาก ราวกับว่าความมั่นใจนี้มันผุดออกมาจากกระดูกเขาก็ไม่ปาน
แท้จริงนั้นเขาเป็นคนอย่างไรกันแน่ ?
เขามีเบื้องลึกเบื้องหลังยังไง ทำไมสารวัตรถึงยอมออกหน้าแทนเขา ?
หานอิงรู้สึกว่าท่าทีที่ดูไม่กลัวฟ้ากลัวดินของเขานั้นดูเหมือนว่าได้ซ่อนความลับอะไรบางอย่างไว้ ความลับที่ใครก็มองไม่ออก จับต้องไม่ได้
จะว่าไปก็แอบแฝงไปด้วยความน่ากลัว
เพราะเราจะไม่มีทางรู้ถึงสถานะที่แท้จริงของเขาได้เลย
“เฮ้ย คุณตำรวจหานอิง แม้ว่ารูปร่างหน้าตาของฉันออกจะใช้ได้ แต่เธอก็ไม่ควรมาจ้องฉันแบบตาโดยไม่กระพริบอย่างนี้นะ ฉันก็รู้สึกอายเป็นเหมือนกันนะ ! ”
ห้องนอนที่เดิมทีเงียบสงัดไปสักระยะ สุดท้ายคำพูดกวนประสาทของหลิวเฟยก็ได้ทำให้หานอิงปรี๊ดแตกอย่างไม่ต้องสงสัย เธอถลึงตาใส่เขา จากนั้นก็หันไปต่อว่าเขา “หลงตัวเอง ! ”
หลิวเฟยหัวเราะชอบใจ จากนั้นก็นอนหลับต่อ
ไม่นานนักเวลาก็ล่วงเลยมาถึงสี่ทุ่ม หลิวอวี้เหลียนวิ่งอย่างรีบร้อนเข้ามาที่ห้องนอนของหลิวเฟย “พี่เฟย พรรคพวกที่ฉันหาไว้ที่นั่นแจ้งมาว่าเป้าหมายได้ปรากฎตัวขึ้นแล้ว”
“เป้าหมายอะไร ? ” หานอิงถามแทรกด้วยความสับสน
หลิวเฟยตื่นจากภวังค์หลับใหล เขาบิดขี้เกียจอย่างสบายอกสบายใจพร้อมกับตอบกลับไป “จะเป็นใครไปได้อีกหากไม่ใช่คนที่เป็นตัวการของคดีนี้”
ในเวลานี้หลิวอวี้เหลียนพูดขึ้นว่า “พี่เฟย พี่มั่นใจหรือว่าเป็นเขา ? แล้วพี่คิดจะไปพบเขาด้วยหรือเปล่า ? ไอ้หมอนั่นมันวางแผนจะสั่งสอนพี่มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ขืนพี่ไปตอนนี้ก็ยังอันตรายอยู่ดี ไม่ได้ พี่ต้องมีคนติดตามไปปกป้องพี่ด้วย ! ”
หลิวเฟยชี้ไปยังหานอิงแล้วพูดว่า “ฉันก็มีตำรวจสาวสวยคนนี้คอยดูแลอยู่นี่ไง จะเกิดอะไรขึ้นมาได้ล่ะ? เธอคิดมากเกินไปแล้ว”
เมื่อพูดจบ เขาก็ดึงกุญแจมือพร้อมหันไปพูดกับหานอิง “คุณตำรวจหานอิง ช่วยปลดกุญแจมือหน่อยสิ ฉันจะเปลี่ยนเสื้อผ้า หรือเธออยากจะเห็นเรือนร่างฉันให้เต็ม ๆ ทั้งสองตากันล่ะ ? ”
“นาย ! ”
หานอิงโมโหจนหน้าแดงก่ำ เธอหันไปกลอกตาใส่เขา จากนั้นก็ปลดกุญแจมือแล้วเดินออกไปรอหน้าประตู
เมื่อเห็นเธอเป็นเช่นนี้ หลิวเฟยก็อดหัวเราะไม่ได้ เธอมีหน้าตาที่น่ารักจิ้มลิ้ม ไม่ว่าจะเขินอายหรือปรี๊ดแตกเธอก็น่ารักไปหมด ทำให้เขามักจะอดใจไม่ไหวที่จะแหย่เธอเล่น
เมื่อเหลือบไปเห็นหลิวอวี้เหลียนที่จ้องมองเขาจนตาไม่กระพริบ หลิวเฟยจึงพูดกับเธอว่า “เธอก็อีกคน ! ”
หลิวอวี้เหลียนถอนหายใจด้วยความผิดหวัง จากนั้นก็เดินออกไปจากห้องเช่นกัน
เมื่อหลิวเฟยปิดประตู เขาก็เปลี่ยนชุดเป็นกางเกงขายาวและเสื้อยืด จากนั้นก็เปิดกระเป๋าสะพายของตน แล้วหยิบกล่องเล็กๆ ออกมา แล้วหยิบเข็มเงินขนาดเล็กความยาวไม่ถึงสองเซนติเมตรออกมาสองเล่ม พร้อมกลัดเข้าที่กระเป๋ากางเกงของเขา
เข็มเงินเหล่านี้แตกต่างจากเข็มทั่วไปที่เขาใช่รักษาคนไข้ มันคืออาวุธที่เขาคิดค้นขึ้นมา
เมื่อเตรียมตัวเสร็จ หลิวเฟยก็เปิดประตูพูดปลอบประโลมหลิวอวี้เหลียนสองสามประโยค จากนั้นก็มุ่งหน้าไปที่เมืองเฟิ่งหวง ระหว่างทางหานอิงได้ถามเขาไม่หยุดหย่อนว่ากำลังทำอะไร เขาตอบแค่ง่าย ๆ ว่าหากตามไปไม่ได้ก็กลับ เพราะเขาไปคนเดียวได้สบายมาก
ไม่นานนัก พวกเขาทั้งสองก็ได้มาถึงร้านเหล้าสุดหรูแห่งหนึ่ง หานอิงจึงได้เอ่ยถามอีกครั้ง “ตกลงต้องการทำอะไรกันแน่ ? ”
หลิวเฟยยิ้มขณะตอบกลับ “หากถูกเธอเดาออกได้อย่างง่าย ๆ ฉันจะมีคุณสมบัติอะไรไปเป็นเอาจารย์ของเธอกันล่ะ ? ชุดตำรวจนี้ก็ดูไม่เลวเลยนะ ดูน่าเกรงขามดี ประเดี๋ยวอย่าลืมคุ้มกันฉันด้วยก็แล้วกัน ! ”
“นายเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า นายอยากให้ฉันคุ้มกันนาย แต่กลับไม่บอกฉันเนี่ยนะว่านายกำลังทำอยู่ อย่างนายนี้เขาเรียกว่าเป็นโรคประสาทรู้ตัวรึเปล่า ? ” เธอพูดอย่างอักกระอ่วน
หลิวเฟยตบตราที่บ่าของเธอเบา ๆ “พิทักษ์ความปลอดภัยชีวิตและทรัพย์สินเป็นหน้าที่ของตำรวจอย่างเธอ ขอบคุณ ! ”
เมื่อหานอิงได้ยินเช่นนี้ เธอก็หมดสิ้นคำพูดที่จะเอามาต่อกร
.......
ในห้องวีไอพีของร้านเหล้าสุดหรูแห่งนั้น หลิวเป้า หวังไฉและคนอื่นต่างโอบสาวคาราโอเกะไว้แนบอก ตอนนี้พวกเขาได้ดื่มจนเมาเละเทะเรียบร้อยแล้ว
หวังไฉดื่มเหล้าแก้วใหญ่ จากนั้นก็ได้หันมาตบบั้นท้ายของสาวที่ตนกำลังโอบอยู่ จากนั้นจึงหัวเราะอย่างพอใจ “พี่ใหญ่ครับ พี่ว่าหลิวจื้อเล่นใหญ่เกินไปหรือเปล่า ? ผมก็แค่ให้มันจัดฉากนิดหน่อย ให้พอเห็นเลือดก็โอเคแล้ว แต่มันกลับเล่นใหญ่จนสมองได้รับการกระทบกระเทือน ถึงตอนนี้ก็ยังหมดสติไม่ฟื้นขึ้นมา ว่ากันว่ายังมีโอกาสสูญเสียความทรงจำอีก ผมล่ะนับถือมันจริง ๆ ”
หลิวเป้าถลึงตาใส่เขาแล้วเอ่ยขัด “อย่าเอาคนบ้านเดียวกันที่มีความภักดีต่อข้าขนาดนี้มาพูดพล่อย ๆ อย่างนี้เชียว มันอุทิศตนมากมายเหลือเกิน สมควรที่จะได้รับการยกย่องเสียด้วยซ้ำ ! ”
หวังไฉยิ้มเจื่อนรับ “ใช่ครับ ๆ ผมนี่ทำอะไรตื้นเขินเกินไป ! ”
“จะว่าไปแล้วให้เขาสูญเสียความทรงจำดี หรือไม่สูญเสียความทรงจำ สิ่งไหนจะดีกว่ากัน ? ” หวางเป้าเอ่ยถาม
“หากเป็นตอนนี้ก็คงต้องบอกว่าสูญเสียความทรงจำจะดีกว่า เพราะถ้าหากเขาจำอะไรไม่ได้ขึ้นมาจริง ๆ เรื่องนี้ก็จะคลุมเครืออย่างนี้ไปตลอด ไอ้หลิวเฟยมันใช้เส้นสายสกปรกให้สารวัตรช่วยมันออกจากสถานีตำรวจไม่ใช่หรือ ? หรือต่อให้ท้ายที่สุดมันสามารถหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบนี้ไปได้ ทว่ายังคงมีหลิวจื้อที่ยังไม่ได้สติหรือสูญเสียความทรงจำ ไม่ว่าอย่างไรมันก็จะโดนสาปแช่งตลอดไป และคิดหรือว่าคนที่หมู่บ้านเสี่ยวหลิวจะปล่อยให้มันมีชีวิตอยู่ต่อ ? ”
หวังเป้าพยักหน้าเห็นด้วย “ก็จริงของแก ! ข้าคิดไม่ถึงว่าไอ้บ้านั่นมันจะมีเส้นสายกะเขาด้วย แต่ถึงยังไงตอนนี้ชื่อเสียงของมันก็โดนถล่มจนยับเยิน คนที่หมู่บ้านหลิวเจียต่างลุกขึ้นมาต่อต้านมันเพราะเรื่องนี้ ต่อให้ท้ายที่สุดมันไม่ต้องโทษจำคุก แต่ถ้าหากมันขืนอยู่ในหมู่บ้านหลิวต่อไป มันก็จะมีสถานะเยี่ยงหมาจรจัดให้คนอื่นคอยขับไล่ ยิ่งคิดฉันก็ยิ่งสะใจ....ฮ่าๆๆๆๆ.......เหล่าไฉ แผนการของแกนี่มันยอดเยี่ยมจริง ๆ ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างจริง ๆ ต่อให้ไอ้หลิวเฟยนั้นมันสืบสาวเรื่องจนถึงหัวพวกเรา แต่มันก็ไร้หลักฐาน ไร้ร่องรอยอะไรให้เอาผิดพวกเราได้ ! ”
หวังไฉตอบรับด้วยความนอบน้อม “นี่ก็เป็นผลบุญคุณที่พี่ใหญ่คอยสั่งสมมา พี่ใช้เงินซื้อใจชาวบ้าน ทำให้หลิวจื้อและหลิวฮ่าวสองพ่อลูกต่างยอมถวายตัวรับใช้พี่ใหญ่ไม่ใช่หรือครับ ? ผมก็แค่ให้ทักษะง่ายในการวางแหให้มันมาติดกับเท่านั้น ไม่สมควรได้รับการกล่าวถึงเลย ไม่สมควรจริงๆ! ”
หลิวเป้าหัวเราะชอบใจพร้อมกับชี้ไปทางเขา “ปากแกนี่ช่างใช่ได้จริง ๆ โอเค งั้นวันนี้เรามาดื่มฉลองกัน ราตรีนี้ไม่เมาไม่กลับ ! ข้าได้ยินมาว่าไอ้หลิวเฟยมันนอนกังวลอยู่ที่บ้าน ยิ่งได้ยินว่ามันเป็นกังวล ข้าก็ยิ่งมีความสุข ! ”
เมื่อเขาพูดจบเท่านั้นเอง นักเลงคนหนึ่งได้วิ่งตรงปรี่เข้ามาอย่างลุกลี้ลุกลนพร้อยเอ่ยกล่าว “พี่ใหญ่ พี่ไฉ เกิดเรื่องใหญ่แล้วรับ ไอ้หลิวเฟยมันเอาตำรวจหญิงบุกมาถึงที่นี่ ตำรวจหญิงแสดงบัตรเสร็จก็บอกว่าอยากขอพบพี่ใหญ่ เหล่าพี่น้องของพวกเราก็ไม่กล้าที่จะเข้าสกัดกั้นเขาครับ......”
หลิวเป้าลุกขึ้นยืนพรวดขึ้นมา “ไหนบอกว่ามันกำลังหลับอยู่ ? พวกแกไปสืบกันท่าไหนเนี่ยห๊ะ ? ”
นักเลงคนนั้นเกาหัวพร้อมกับเอ่ยออกมา “เอ่อ.....เรื่องนี้......”
“พี่ใหญ่อย่าได้เป็นกังวลไปเลย ไอ้หนุ่มคนนั้นมันจะทำอะไรเราได้ หนึ่ง มันไม่มีหลักฐาน สอง มันล่วงล้ำมาถึงถิ่นเราแล้ว มันจะทำอะไรพวกเราได้ ? ” หวังไฉเอ่ยอย่างไม่กังวล
หลิวเป้าก็ยิ้มออกมาอย่างสบายใจ “ถูกของแก พวกเราทั้งเหนือกว่าและกว้างขวางกว่า ไม่มีอะไรให้ต้องกลัว ! ช่างเถอะ ไหนๆ ก็ไม่เจอกันมาตั้งเจ็ดปี ข้านี้คิดถึงไอ้หมาจรจัดตัวนั้นจริง ไป ไปเชิญพวกมันเข้ามา ส่วนสาว ๆ ทั้งหลายให้ออกไปข้างนอกก่อน”
ไม่นานนัก หลิวเฟยและหานอิงก็ได้เข้ามาอยู่ที่ห้องวีไอพีแห่งนี้
หลิวเป้าเหยียดสองขาของเขาวางบนโซฟา เขามองหลิวเฟยหัวจรดเท้า แล้วก็อดไม่ได้ที่มองตำรวจสาวหุ่นแซ่บคนนั้นเช่นกัน “เสี่ยวเฟย ไม่เจอกันตั้งเจ็ดปี ตอนนี้ก็ดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาบ้างแล้วนี่! แต่มีตำรวจสาวสวยแบบนี้ยืนอยู่ข้าง ๆ คอยกลบรัศมีแก แกก็ดูหม่นไปไม่น้อยเลยว่ะ ! ”
หลิวเฟยแสยะยิ้มแล้วตอกกลับ “ยังไงก็ดีกว่าบางคนที่กัดเก่งเหมือนหมา ไม่ใช่สิ หากจะให้ถูกก็ต้องพูดว่ามีบางคนสภาพเหมือนหมาแถมยังมีขี้เรื้อนขึ้นเต็มต่างหาก เจ็ดปีที่ผ่านมาคอยวางมาดไล่กัดคนอื่นอย่างบ้าคลั่ง ตอนนี้ก็ยังหน้าด้านคอยเห่าปาวๆ อยู่ในคอกตัวเอง หลิวเป้า นี่แกพัฒนาขึ้นหรือถอยหลังเข้าคลองกันแน่ห๊ะ ? ”
“ไอ้ระยำ รนหาที่ตายนะแก ! ”
ลูกน้องของหลิวเป้าต่างร่วมกันด่าว่าเขา แต่ทว่าไม่มีใครกล้าที่จะเข้าใกล้เขาแม้แต่คนเดียว
หลิวเป้าเต๊ะท่านักเลงแล้วยืนขึ้นด่า “ป๊าด หมาจรจัดก็ยังมีวันที่รุ่งโรจน์ของมันว่ะ รู้ตัวด้วยว่ากำลังเห่ามั่วซั่ว อืม...น่าสนใจ ! ได้ยินมาว่าช่วงนี้แกทุลักทุเลใช้ได้ ต้องการความช่วยเหลือจากข้าบ้างไหม ข้านี่ชอบเหลือเกินกับการทำบุญเพื่อชดใช้บาป”
หลิวเฟยเดินเข้าไปนั่งที่โซฟาตรงกันข้ามกับเขา จากนั้นก็เปิดขวดเหล้าขึ้นมาแล้วค่อย ๆ กระดกลงไปช้า ๆ จากนั้นจึงได้เอ่ยขึ้นว่า “เรามันเป็นคู่แค้นกันมานานแล้ว จะเล่นละครไปหาหอกอะไร ? แกไม่เหนื่อยหรือไง ? แค่บอกมาว่าเป็นฝีมือแกก็จบแล้ว ฉันไม่มีหลักฐานอะไร จะเอาผิดอะไรแกก็ไม่ได้ ! ”
เมื่อเขาพูดจบ ทั้งห้องก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
หลิวเป้าเอามือดันหน้าอกไว้เพราะกลั้นขำไม่ไหว “ไม่ไหว ไม่ไหวเลยจริง ๆ เสี่ยวเฟย ทำไมแกพูดตลกเหมือนตัวการ์ตูนอย่างนี้ล่ะเนี่ย ? หรือว่าเกิดมาก็เป็นตลกแบบนี้แล้ว ? ตำรวจสาวสวยยังอยู่ที่นี่นะเว้ย อย่ามาปรักปรำคนอื่นแบบนี้ ไม่งั้นฉันจะแจ้งข้อหาแก ! ”
หลิวเฟยกระดกเหล้าพลางพูดไปพลาง “หมายความว่ายังไง ๆ ก็ไม่ยอมรับผิดใช่ไหม ? ”
หลิวเป้ายิ้มแห้งแล้วพูดต่อ “เสี่ยวเฟย แกละเมออะไรอยู่ห๊ะ ? จะให้ข้ายอมรับอะไร ? ข้อหาฆ่าแม่หรือว่าข่มขืนเมียแกดีล่ะ ? หากว่าแกจะมาดื่มกับพวกข้า ข้าก็พอรับได้ แต่ถ้าจะมาจงใจหาเรื่องล่ะก็ แกกลับไปคิดมาให้ดีเสียก่อน ! ”
เมื่อเสียงเขาเพิ่งเงียบไป ทันในนั้นเสียงกำหมัดดังสนั่นขึ้นพร้อมเพรียงกัน
“นี่จะข่มขู่ให้ฉันกลัวงั้นหรือ ? ”
หลิวเฟยลุกขึ้นยืนพรวดด้วยความโมโห จากนั้นก็ฟาดขวดเหล้าไปตรงพื้น ในขณะที่ทุกคนกำลังคิดว่าเขาจะลงไม้ลงมือนั้นเอง ทุกคนต่างกลั้นหายใจลุ้นระทึกเตรียมพร้อมที่จะบุก แต่เขากลับเอ่ยออกมาว่า “ทำไมต้องเตรียมออกรบกันขนาดนี้ด้วย ? ฉันก็แค่อยากจะเตือนทุกคนว่าไฟกำลังจะดับ”
ทุกคนต่างลังเลอยู่ชั่วขณะ จากนั้นก็ระเบิดหัวเราะออกมมาอีกครั้ง มันคิดจะยอมแพ้ง่าย ๆ แบบนี้เลยหรือ !
ทว่าในระหว่างที่หัวเราะกันท้องขดท้องแข็งนั้นเอง ทันใดนั้นไฟในห้องวีไอพีได้ดับพรึ่บลง แต่สองสามวินาทีให้หลัง หลิวเฟยได้เอามือตบลงไปที่สวิตช์แล้วกดเปิดไฟ “อ่า ล้อเล่นน่า..... มุกเด็ก ๆ ไง ฉันไม่ได้โกหกพวกแกใช่ไหมล่ะ ? ”
“อูฮ่าๆๆๆๆๆ!”
“อูฮ่าๆๆๆๆๆ!”
.........
ในขณะที่พวกเขาถูกหลิวเฟยแกล้งให้หัวเราะจดหมดสภาพ ได้มีเสียงหัวเราะที่ดังชนิดแบบแสบแก้วหูดังขึ้นทำเอาพวกเขาหมดสนุกทันที พวกเขาหันควับไปมองหลิวเป้าและหวังไฉโดยพร้อมเพรียงกัน