ตอนที่ 16 ใช้สาวสวยเป็นเกราะป้องกัน
“ฮ่าๆๆๆๆ”
“คัน...โคตรคันเลยว่ะ”
.......
หลิวเป้าและหวังไฉสติหลุดราวกับเป็นบ้า จู่ ๆ ก็หัวเราะจนหยุดไม่ได้ อีกทั้งยังเกาขาตัวเองไม่หยุดราวกับว่ากำลังมีแมลงไต่อยู่เต็มขา
ทุกคนต่างหันหน้าไปมองกัน ฉันมองเธอ เธอมองฉัน จากนั้นก็รู้สึกสับสนไปหมด
พวกเขาสองคนเป็นอะไร ? เมื่อกี้หลายคนก็หัวเราะเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้เป็นอะไร มีแต่พวกเขาสองคนเท่านั้นที่ดูแปลกไป หรือว่าพวกเขาจะติดเชื้อตลกมาจากหลิวเฟยเข้าเสียแล้ว ?
หากว่าเป็นหลิวเป้านั้น นิสัยเขาก็จะเป็นประมาณนี้ แต่กับหวังไฉนี้ไม่มีทางเป็นไปได้ พวกเขาจึงหาข้อสรุปได้อย่างรวดเร็วว่าทั้งสองนั้นต้องมีปัญหาอะไรบางอย่าง
แล้วปัญหามันอยู่ที่ไหนล่ะ ? นอกจากที่หลิวเฟยเปิดปิดไฟทำตลกโง่ ๆ เมื่อครู่ ในห้องวีไอพีแห่งนี้ก็ไม่มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นอีกเลย
หากย้อนกลับไปคิดดู บางทีเจ้าหลิวเฟยอาจแอบเล่นตุกติกอะไรก็เป็นไปได้เหมือนกัน
หนึ่งก็คือช่วงที่ปิดไฟ แต่นั้นเป็นช่วงแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้นเอง อีกอย่างหลิวเฟยยืนห่างจากพวกเขาทั้งสองพอสมควร แล้วเขาก็ไม่ได้ขยับไปไหน เขาจะลงมือจัดการสองคนนั้นได้อย่างไร ?
ยิ่งพวกเขาคิดหาสาเหตุก็ยิ่งรู้สึกแปลก ๆ ทว่าก็มีเวลาเหลือให้พวกเขาคิดไม่มากแล้ว เพราะหลิวเป้าและหวังไฉเองดูเหมือนจะทนไม่ไหวแล้ว
แม้ว่าหวางเป้าเองจะยังไม่แน่ใจ แต่เขาก็ยังคงชี้หน้าด่าหลิวเฟยทั้งที่ยังหัวเราะ “ไอ้ระยำ แกเล่นอะไรสกปรกห๊ะ ? แกทำอะไรกับพวกเรากันแน่ ? ”
หลิวเฟยหันไปมองหานอิงที่ตอนนี้ใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย แล้วพูดแบบผู้บริสุทธิ์ “หลิวเป้า คุณตำรวจหานอิงยังยืนอยู่ตรงนี้นะเว้ย อย่ามาปรักปรำคนอื่นแบบนี้ ไม่งั้นฉันจะแจ้งข้อหานาย ! ”
“แก ! ฮ่าๆๆๆๆๆ......อ๊า ! ”
หลิวเป้าส่งเสียงโอดครวญ จากนั้นก็ล้มลงบนโซฟาในทันที พวกเขาเกาจุดที่รู้สึกคันจนสุดฤทธิ์ และหัวเราะจนเบ้าตามีน้ำตาไหลพราก
หวังไฉเองก็มีสภาพไม่ต่างกัน เขาขอให้ลูกน้อยช่วยเกาหน้าเกาหลังให้ แต่ยิ่งเกาก็รู้สึกยิ่งคัน จากนั้นก็ส่งเสียงโหยหวนอย่างบ้าคลั่ง “หลิวเฟย ต้องเป็นฝีมือแกแน่ ๆ หากแกยังรู้สึกผิดชอบชั่วดีอยู่ล่ะก็ เอายาถอนพิษออกมาเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นฉันจะฆ่าแก ! ”
เมื่อเสียงนั้นได้พูดจบ กลุ่มคนจำนวนห้าถึงหกคนได้บุกไปทางหลิวเฟย หลิวเฟยก้าวเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว ครานี้ทั้งสองฝั่งก็ได้ประจันหน้ากัน หานอิงกลับดึงตัวเขาเข้าไปแล้วกล่าวเตือน “ไม่อนุญาตให้ตีกัน ! ในสายตาของพวกนายยังมีสิ่งที่เรียกว่ากฎหมายอยู่หรือเปล่า ? ”
“ก็ได้ ๆ ๆ ๆ ฟังเธอก็แล้วกัน งั้นพวกเรามาพูดคุยกันอย่างมีเหตุผลจะได้ไหม ? ”
หลิวเฟยตอบรับหานอิง จากนั้นก็หันไปพูดคุยกับหวังไฉ “แกอย่ามาปรักปรำคนอื่น ! นี่มันเหมือนกับการที่ฉันพูดว่าพวกแกใช้หลิวจื้อและหลิวฮ่าวมาจัดฉากให้ฉันเข้าตาจน พวกแกบอกว่าฉันไม่มีหลักฐาน แล้วที่กล่าวหาฉัน พวกแกมีหลักฐานหรือไง ? ฉันขอพูดอีกครั้งละกัน คุณตำรวจหานอิงก็ยืนอยู่ที่นี่ทั้งคน พวกแกยังจะอยากทำเรื่องชั่ว ๆ ต่อหน้าเธออีกหรือ ? ”
ชั้นต่ำจริง ๆ !
เดิมทีหวังไฉคิดว่าสิ่งที่พวกตนทำนั้นต่ำทรามเกินพอแล้ว แต่กลับคิดไม่ถึงว่าหวิลเฟยกลับใช้วิธีหนามยอกเอาหนามบ่ง ช่างน่าโมโหเสียจริงๆ
เขากำหมัดทั้งสองของตนไว้แน่น จากนั้นก็พยายามสุดฤทธิ์ที่จะไม่หัวเราะออกมา แต่ทว่าก็ไม่มีผลใด ๆ ผ่านไปหนึ่งนาที เขาราวกับว่าโดนมดราวล้านตัวบุกเข้าโจมตีหัวใจ ไม่ว่าจะตอนไหนก็ตัวสั่นเทาเพราะการหัวเราะ ความรู้สึกเช่นนี้มันเจ็บปวดเสียยิ่งกว่าการเอามีดแทงมาที่ตนอีก
เขาพยายามที่จะเกาหน้าอกของตนเอง จากนั้นก็หันไปทางหลิวเป้า ตอนนี้หลิวเป้าทนไม่ไหวแล้ว เขาจึงตะโกนลั่น “จะยืนทื่ออยู่ทำบ้าอะไร ? อัดมันสิ ! ”
“อย่าแม้แต่จะคิดนะ” หานอิงเมื่อเห็นสถานการณ์ไม่ค่อยดี เธอรีบตักเตือนแล้วหันไปทางหลิวเฟย “ตกลงว่านายทำหรือ ? ”
“ไหนหลักฐาน ? ”
“พวกเอ็งยังจะยืนทื่ออยู่ทำไม ? รีบลงมือสิ ! ”
หานอิงเห็นดังนั้นจึงจับมือเขาแล้วทำท่าจะวิ่งหนี แต่เมื่อเปิดประตูก็เจอยามราวห้าถึงหกคนยืนรออยู่ที่ประตู เพื่อบีบบังคับให้พวกเขากลับเข้าไปในห้องนั้นอีกครั้ง
“ตอนนี้จะทำยังไงกันดี ? ” เธอถามด้วยความกระวนกระวาย
สีหน้าของหลิวเฟยยังคงไม่รู้ทุกข์รู้ร้อน “เธอเป็นตำรวจไม่ใช่หรือ ? พวกเขาไม่กล้าทำร้ายเธอหรอก ต่อให้ทำร้ายเธอก็แจ้งความได้ว่าพวกเขาทำร้ายเจ้าหน้าที่ ! ส่วนฉันนั้น เธอไม่ให้ฉันลงมือนี่นา งั้นก็ช่วยเป็นเกราะป้องกันให้หน่อยแล้วกัน”
“......”
หานอิงหันหน้าไปสบตาเขา สีหน้าของเธอนั้นเต็มไปด้วยความดูแคลน จริงอยู่ที่เธอไม่ยอมให้เขาลงมือเอง แต่ทว่าเขาเป็นผู้ชายอกสามศอก ยังมีหน้ามาขอให้เธอทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันอีกหรือ ?
“จัดการมัน ! เกิดอะไรขึ้นฉันจะรับผิดชอบเอง”
เมื่อเห็นทุกคนต่างก็ลังเลใจ หวังไฉเลยถือวิสาสะออกคำสั่งแทนหลิวเป้า และนักเลงราวสิบกว่าคนก็บุกเข้าโจมตีหานอิงและหลิวเฟย
เมื่อคำเตือนของหานอิงไม่เป็นผล เธอก็ต้องลงมือตั้งรับ แม้ว่าเธอจะมากันสองคน แต่ภายใต้สภาวะที่มีคนรายล้อมเป็นสิบนี้ อีกทั้งยังต้องปกป้องหลิวเฟยที่เป็นผู้ชาย มันทำให้เธอคุมสถานการณ์ได้ยากเย็นแสนเข็ญจริง ๆ
เมื่อหลิวเฟยเห็นเธอพยายามสุดความสามารถที่จะปกป้องเขาไว้ก็ทำให้เขารู้สึกประทับใจ เขาเอามือเช็ดจมูก แล้วยื่นมือออกไปคว้าเอวอ้อนแอ้นอรชรของเธอมากอดเอาไว้ จากนั้นก็ออกแรงสะบัดขาเตะนักเลงสองคนให้ล้มลงกับพื้น
หานอิงตกตะลึง ไม่ทันได้มีปฏิกิริยาอะไรออกมา เขาได้เหวี่ยงตัวเธอไปด้านหลังอีกครั้ง จากนั้นชายสองคนก็ได้ล้มลงกับพื้นอีก
“ฮ่าๆๆๆๆ”
“ฮ่าๆๆๆๆ”
ในขณะที่การต่อสู้กำลังดำเนินไปอย่างดุเดือด เสียงหัวเราะอันไม่รู้จบของหลิวเป้าและหวังไฉประสานกับเสียงโอดครวญด้วยความเจ็บปวดของลูกน้อง และถักทอออกมาเป็นเสียงที่ฟังดูรื่นรมย์ไม่น้อย
“นาย....นายเคยเรียนศิลปะป้องกันตัวมาหรือ ? ”
เขาจัดการคนสี่คนได้ในชั่วพริบตา ในที่สุดเธอก็ได้สติจึงหันไปมองหลิวเฟยด้วยความประหลาดใจ
เมื่อหลิวเฟยเห็นนักเลวคนหนึ่งเอาขวดปากฉลามพุ่งมาทางเขา เขาไม่ทันได้ตอบคำถามของเธอก็ได้ใช้ขาของเขาดันขาอันเรียวยาวของเธอให้ยกสูงขึ้น นักเลงคนนั้นก็ได้ยกมือป้องกันแล้วร้องโอดครวญเสียงแหลมด้วนความเจ็บปวด
เมื่อเผชิญการต่อสู้ที่รุนแรงขนาดนี้ ทุกคนต่างก็มีความรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา พวกเขาเพียงแค่ล้อมเอาไว้แต่ไม่กล้าโจมตี ตอนนี้หวังไฉได้โอดครวญอย่างน่าอนาถใจ “บุกสิวะ ! ใครสามารถหายาถอนพิษมาได้จะมีรางวัลให้หนึ่งแสน ! ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ทุกคนก็เกิดแรงจูงใจขึ้นมา จากนั้นพวกเขาก็กรูกันเข้าโจมตีหลิวเฟยและหานอิงอีกครั้ง
หลิวเฟยก็ยืนหยัดที่จะไม่ออมมือ เขาเหวี้ยงมือเรียว ๆ ของเธอไปอีกครั้ง ราวกับว่าทั้งคู่กำลังเต้นบัลเล่ต์ด้วย ท่วงท่าเย้ายวนและเร่าร้อน ไม่นานนักเลงทั้งสิบกว่าคนก็ล้มลงไปโอดครวญอยู่บนพื้นกันระนาว
และในจังหวะนั้นเอง หวังไฉก็รู้สึกแทบจะทนไม่ไหว เขากัดปากจนริมฝีปากมีเลือดไหล แล้วพูดอย่างไร้เรี่ยวแรงทั้งที่ยังหัวเราะอย่างทรมาน “แกอยากทำอะไรกันแน่ ? ฮ่าๆๆๆ”
“จะถามคำถามนี้ออกมาทำไมให้เสียเวลา ? ฉันก็แค่อยากฟังพวกแกสารภาพว่าแกได้ใช้หลิวจื้อและหลิวฮ่าวสองพ่อลูกมาก่อเรื่องให้ฉันตกที่นั่งลำบากใช่หรือไม่ ? ”
หวังไฉหันไปดูหลิวเป้าที่ตอนนี้หน้าตาบิดเบี้ยว มีสภาพราวกับคนใกล้ตายก็ได้กัดฟันเอ่ยถาม “พูดแล้วแกจะให้ยาถอนพิษหรือเปล่า ? ”
หลิวเฟยยิ้มขณะตอบกลับ “ฉันขอบอกอีกครั้งว่าฉันไม่ได้ทำอะไรพวกแกเลย ! แต่ทว่าฝีมือการรักษาของฉันนั้นก็ไม่เลวเลยนะ หากแกยอมบอกมาแต่โดยดี ฉันก็จะพิจารณารักษาให้ ! ถ้าเกิดพวกแกตายไปแบบพิสดารแบบนี้ คนภายนอกเขาจะเข้าใจได้ว่าทำเรื่องชั่วมาเยอะ แล้วถูกวิญญาณร้ายมาเอาชีวิตไปเสียน่ะสิ ! ”
“แก !....ได้ ฉันจะพูด ! ”
“เหล่าไฉ อย่าเชียวนะ ! ”
หลิวเป้ารู้ทันว่าหวังไฉกำลังจะทำอะไร เขาเลยรีบบอกห้าม แต่ทว่าก็สายเกินไป
หวังไฉได้สารภาพเรื่องทั้งหมดออกมาตามตรง “ฉันใช้เงินซื้อตัวสองพ่อลูกนั่น พร้อมกับให้คำสัญญาว่าจะรักษาอาการของหลิวฮ่าวให้หาย แล้วให้เขาจัดฉากเรื่องบนสะพาน แล้วพวกเราก็ให้คนแอบอัดคลิปในมุมอับ จากนั้นก็ทำการตัดต่อแล้วอับโหลดลงในโซเซียล ทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของฉันเอง ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเขา เป็นเพราะคราวก่อนที่แกได้หาเรื่องฉัน ฉันเลยจงใจที่จะทำให้แกเสื่อมเสียชื่อเสียง ! ”
การสารภาพความผิดครั้งนี้ดูไม่สมจริงเท่าไร หากใครได้ยินก็คงอยากจะหัวเราะ
หลิวเฟนส่ายหัวแล้วพูดกับเขา “แกนี่ก็จริงใจดีนะ แกคิดว่าฉันพอใจสิ่งที่แกบอกรึเปล่า ? ”
หวังไฉกัดฟันกรอดแล้วกระแทกเสียงใส่ “ความผิดใครก็ให้คนนั้นชดใช้เถอะ ต่อให้นายทรมานฉันจนตาย ฉันก็จะบอกแบบนี้ ! ”
หลิวเฟยเหลือบไปมองหลิวเป้าที่ตอนนี้เกือบจะหมดลมเต็มทน จากนั้นก็ลูบจมูกแล้วพูดขึ้นว่า “หลิวต้าเวยล่ะ อย่าบอกนะว่าหลิวต้าเวยไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้”
หวังไฉรู้สึกลังเลเล็กน้อย แต่ในที่สุดก็ยอมเอ่ยความจริง “เขาก็รับเงินแล้วมาร่วมการจัดฉากด้วย”
หลิวเฟยยิ้มออกมาอย่างเย็นชา เขาก็อยากจะซักถามต่อ แต่ตอนนี้หวังไฉและหวางเป้ากลับหยุดหัวเราะไปเสียแล้ว
เขาลองหยุดคิดดู จากนั้นก็ควักโทรศัพท์ออกมาฟังเสียงที่ได้อัดไป “คุณตำรวจหานอิง ตอนนี้ก็แจ้งความได้แล้ว ! ในเมื่อพวกเขาอยากเล่นช้า ๆ ฉันก็จะสนองให้สุดความสามารถ ! หากว่าปล่อยของออกไปหมดทีเดียวก็เกรงว่าจะน่าเบื่อไป”
หานอิงที่ยังคงอยู่สภาพตกตะลึงได้หันไปพูดกับเขา “ทำไมจู่ ๆ พวกเขา.....พวกเขาถึงหายขึ้นมาได้ล่ะ”
พวกเขาคิดจะหัวเราะก็หัวเราะ คิดจะหยุดก็หยุด ราวกับว่าเป็นหุ่นยนต์บังคับ ทว่าหลิวเฟยก็ดูเหมือนว่าไม่ได้ลงมือทำอะไรพวกเขาเลยตั้งแต่ต้น
อย่าว่าแต่เธอเลย หวังไฉและหลิวเป้าเองก็งงว่าตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ พวกเขาทั้งสองลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล ดูเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า ราวกับว่าเพิ่งกลับมาจากนรกอย่างไรอย่างนั้น
เมื่อเห็นหานอิงตะลึงไม่หาย เขาเลยแจ้งความแล้วตบที่ตราตรงบ่าของเธอเบา ๆ “คดีปิดแล้ว ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปให้เรียกฉันว่าอาจารย์นะ คนสวย ! ”
เมื่อได้ยินเขาพูดแบบนี้ เธอแทบอยากจะร้องไห้ออกมา ทำไมมันเร็วขนาดนี้ นี่มันไม่ง่ายเกินไปหน่อยหรือ ? เธอยังจับต้นชนปลายเหตุการณ์ไม่ถูกเสียด้วยซ้ำ !