ตอนที่ 17 ปลดออกจากตำแหน่ง
หลิวเป้ามองหลิวเฟยด้วยสายตาอาฆาตพยาบาท
เขาอุตส่าห์คิดเตรียมแผนอย่างแยบยล แต่กลับคิดไม่ถึงว่าหลิวเฟยจะใช้วิธีตรง ๆ แบบนี้เล่นงานเขากลับ มันน่าเจ็บใจตรงที่แผนของหลิวเฟยยังสำเร็จอีกต่างหาก
มันช่างดูตลกขบขันและยากเกินจะรับไหวเหลือก่อน แต่ทว่าเรื่องมันก็เป็นเช่นนี้แหละ
หวังไฉปกป้องเขาโดยการยอมรับผิดชอบเรื่องทั้งหมด นี่ก็เท่ากับว่าหลิวเฟยได้หักแขนขาของเขา แม้ว่าเขายังมีโอกาสที่จะแก้แค้น แต่เมื่อขาดกุนซือที่ปรึกษา เขาก็ขาดความมั่นใจไปมากพอสมควร
ในขณะเดียวกัน เขาก็รู้ซึ้งแล้วว่าแท้จริงนั้นหลิวเฟยมีความน่ากลัวถึงเพียงไหน
ไอ้หมอนี่มันไม่เหลือคราบไอ้ขี้แพ้เมื่อเจ็ดปีก่อนให้เห็นอีกแล้ว ตอนนี้มันทั้งดูมีแผนการ มีชั้นเชิง เป็นอสูรกายร้ายซ่อนรูปที่พร้อมจะคร่าชีวิตคนได้ทุกเมื่อ สำหรับเขาแล้วนั้น ตอนนี้หลิวเฟยได้แปลกตาไปมากพอสมควร เขาอยากจะไปถามเหลือเกินว่า เจ็ดปีที่ผ่านมา เขาไปทำอะไรมา เขาผ่านอะไรมา ทำไมถึงได้เปลี่ยนแปลงไปมากมายขนาดนี้ ?
หลิวเฟยเหลือบไปเห็นสายตาของหลิวเป้า เขาก้มหน้าส่งข้อความแล้วพลางพูดไปด้วย “อย่ามองฉันอย่างนี้ ฉันขอยืนยันอีกครั้งว่าฉันไม่ได้ทำอะไร ถ้าอยากขู่เข็ญให้ฉันรับสารภาพมากนักล่ะก็เอาหลักฐานมา”
หวังไฉกัดฟัน และจู่ ๆ ก็กลับนึกขึ้นมาได้ว่าในจังหวะที่หลิวเฟยปิดไฟนั้นเอง ตรงสีข้างของเขาก็เจ็บจี๊ดขึ้นมาราวกับโดนตัวอะไรกัด เขารีบเลิกชายเสื้อออกมาดู ก็เห็นมีจุดแดงปรากฏอยู่ตรงสีข้าง จากนั้นเขาก็รีบไปดูของหลิวเป้า ปรากฏว่าก็มีรอยแดงเหมือนกัน เขาเลยรีบก่นด่าหลิวเฟยในทันที “ยังจะมาพูดอีกว่าไม่ใช่ฝีมือแก ตกลงแกทำอะไรกับพวกเรากันแน่ ? ”
“อย่ามาพูดมั่วซั่วสิ ฉันจะทำอะไรพวกแกได้ ? หากพวกแกไม่เชื่อก็ลองไปให้หมอตรวจร่างกายดูสิ ! ”
หลิวเฟยใส่โทรศัพท์กลับเข้าไปในกระเป๋า พร้อมกับเอ่ยอย่างไม่เกรงกลัวความผิดใด ๆ เมื่อเขาใช้วิธีนี้แล้ว เขาก็ไม่กลัวว่าพวกเขาจะไปตรวจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาเพียงแค่อยากให้ไอ้พวกระยำนี้ได้สัมผัสกับความรู้สึกเฉียดตาย น้อยคนหนักที่จะต้านทานความรู้สึกแบบนี้ไหว
หลิวเฟยถึงกับยอมทุ่มสุดตัว เพื่อทำให้พวกเขายอมรับสารภาพอย่างยินยอม เขาใช้เวลาเพียงแค่เสี้ยววินาทีที่ปิดไฟนั้น เขวี้ยงเข็มเซี่ยวเสวี๋ยไปที่สีข้างของพวกเขา เมื่อยาบนเข็มเงินได้หลอมรวมเข้ากับเลือดก็ทำให้เกิดปฏิกิริยาพิเศษขึ้นมา ตัวเข็มมีสารสกัดทำให้คนหัวเราะและรู้สึกคัน ขั้นตอนในการทำปฏิกิริยานั้นค่อนข้างจะซับซ้อน ราคาก็ย่อมไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย แต่ก่อนเขาจะใช้ในกรณีที่มีภารกิจสำคัญเท่านั้น
เพราะกระแสสังคมครั้งนี้ได้แพร่หลายไปเร็วมาก ทำให้เขาเข้าตาจน จึงตัดสินใจเลือกวิธีแบบนี้ เขามองว่าวิธีแบบนี้มันช่างสิ้นเปลือง ถ้าเกิดเขามีเวลามากกว่านี้ รับรองเลยว่าเขาจะสามารถส่งไอ้ชั่วพวกนี้เข้าคุกได้ด้วยเงื้อมมือของตนเองโดยไม่ต้องใช้วิธีการนี้ด้วยซ้ำ
ตอนนี้เข็มเงินได้หลอมละลายไปกับเลือดเสียแล้ว ฤทธิ์ของยาก็จะออกมาแล้วคงอยู่ราวหกนาที ต่อให้ไปตรวจภายหลังยังไงก็ไม่มีทางตรวจเจอ ยิ่งทำให้พวกมันใบ้แดกไม่รู้ว่าจะเอาผิดเขายังไง
เมื่อหลิวเป้าและหวังไฉเห็นเขาทำตัวเหมือนทองไม่รู้ร้อน ก็ยิ่งกระตุ้นให้พวกเขาโมโห แต่พวกเขาจะทำอะไรได้อีก ? เกมนี้เห็นทีต้องพ่ายแพ้อย่างน่าอดสู !
ไม่นานนัก ตำรวจก็รุดมาถึง เหตุเพราะหลิวเป้าและคนอื่นนั้นเป็นผู้ต้องหาในการทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ ดังนั้นพวกเขาทุกคนที่เกี่ยวข้องกับคดีทะเลาะวิวาทของหมู่บ้านหลิวหรือไม่มีความเกี่ยวข้อง ก็โดนรวบไปสอบปากคำที่สถานีตำรวจกันหมด
หลิวเฟยมิอาจหลีกเลี่ยงที่จะถูกสอบสวนได้ว่าเขาใช้วิธีไหนในการบังคับให้คนผิดยอมสารภาพ เขาได้ย้ำเสมอว่าตนไม่ได้ลงมือทำอะไรเลยแม้แต่น้อย สารวัตรโหลวที่รับผิดชอบคดีนี้ก็ถูกเขาพลอยทำให้ลำบากใจไปด้วย
ในขณะที่จดสำนวนคดีจวนจะเสร็จแล้วนั่นเอง จู่ ๆ หานอิงก็หันไปมองหลิวเฟยราวกับเพิ่งนึกอะไรออกมาได้ “ใช่ ยังมีหลิวต้าเวย พวกเราคุมตัวเขาไม่ทันเสียแล้ว หากเขาเกิดได้ยินข่าวนี้เสียก่อน เกรงว่า.....”
หลิวเฟยเอามือก่ายหน้าฝากแล้วกล่าวต่อ “เธอนี้รู้สึกตัวช้าไปไหมเนี่ย ? ตอนอยู่ที่ร้านเหล้าฉันส่งข้อความไปบอกหลิวเทียนป้าแล้วว่าให้ส่งคนไปสกัดหลิวต้าเวยเอาไว้ไม่ให้หนีไปไหน และตอนนี้ก็คงอยู่ระหว่างทาง คาดว่าจวนจะถึงเต็มทีแล้ว”
เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนั้น หานอิงก็แทบจะก้มคารวะ
“ตกลงว่านายเป็นใครกันแน่” เธอถามด้วยความสงสัย
“เป็นชาวบ้านและก็เป็นผู้ใหญ่บ้าน”
“นายทำให้ฉันสับสนไปกันใหญ่แล้วนะ ! ”
“แต่ฉันก็ไม่ได้โกหกเธอเลยนี่ ใช่ป่ะ ? ”
ปากของเขาราวกับว่าถูกเข็มเย็บเอาไว้เสียสนิท หานอิงเลยโมโหจนกัดฟันกรอด ๆ ตั้งแต่ตอนที่อยู่ร้านเหล้ามาจนถึงตอนนี้ เธอถามหลากหลายคำถามจนนับไม่ถ้วน ผลปรากฏว่าคำตอบของเขาแทบจะไม่มีอันไหนที่มีประโยชน์เลย เขาไม่ยอมที่จะปริปากเอ่ยใจความสำคัญออกมาแม้นแต่ประโยคเดียว เรื่องนี้ไอ้หน้าโง่คนไหนมันก็ดูออก ไม่มีชาวบ้านหรือคนไหนสามารถปิดบังมิดได้ถึงขนาดนี้
ตอนนี้สิ่งที่เธอสามารถฟันธงได้ก็คือหลิวป้าและหวังไฉนั้นจะต้องโดนฤทธิ์ของยาเซี่ยวเสวี๋ยเล่นงานเข้าแน่ ๆ แต่ในความคิดของเธอนั้น เธอกลับคิดว่าไอ้ยาเซี่ยวเสวี๋ยอะไรนั่น ก็คงมีอยู่แค่ในนิยายหรือในโทรทัศน์เท่านั้น ช่างฟังดูเหลวไหล ในชีวิตจริงจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ?
ไม่นานนัก หลิวเทียนป้าก็กุมตัวหลิวต้าเวยมาส่งที่สถานี พวกเขานั้นเป็นศัตรูกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร แน่นอนว่าหลิวเทียนป้าย่อมโปรดปรานที่จะทำเรื่องแบบนี้
เขาหันไปเอ่ยกับหลิวเฟย “ไอ้ลูกเขย เรื่องชั่ว ๆ แบบนี้ฉันชอบเหลือเกิน ! แต่ก่อนขนาดฝัน ฉันยังฝันว่าตัวเองจะได้จับมันเข้าคุกด้วยน้ำมือของฉันเอง ในที่สุดก็เป็นจริงเสียทีนะ”
หลิวต้าเวยส่งสายตาพิฆาตไปให้คู่ปรับ จากนั้นก็ถลึงตาใส่หลิวเฟยแล้วเอ่ย “ไอ้ชั่ว แกนี่โยนความผิดใส่คนอื่นได้เก่งเหลือเชื่อ แกเอาอะไรมากล่าวหาฉันแบบนี้ห๊ะ ? ”
หลิวเฟยส่ายหัวแล้วเอ่ย “ยังมีหน้ามาตีมึนอีก ตัวแกเองทำเรื่องชั่ว ๆ อะไรลงไป ยังไม่รู้ตัวอีกหรือ ? เก็บไปพูดให้ตำรวจฟังเถอะ ฉันไม่อยากจะเสวนากับแก”
“แก ! ชาวบ้านเสี่ยวหลิวไม่ปล่อยแกไปง่าย ๆ หรอก แกไม่มีทางตายดีแน่ ไอ้หลิวเฟย ! ”
หลิวต้าเวยเหมือนจะรู้ว่าเรื่องมันถูกเปิดโปงหมดแล้ว เขาเลยสบถด่าสาปแช่งหลิวเฟยไม่ยอมหยุดปาก แต่หลิวเฟยกลับปล่อยวางเรื่องนี้ไปนานแล้ว
เขาได้ไปโรงพยาบาลเพื่อช่วยตรวดดูอาการของสองพ่อลูกหลิวจื้อและหลิวฮ่าว หลิวจื้อได้สติขึ้นมาแล้ว และเขาก็ได้สูญเสียความทรงจำไปจริง ๆ ส่วนหลิวฮ่าวนั้นได้มองหลิวเฟยเป็นศัตรูไปแล้ว เมื่อเห็นหลิวเฟยแค่เสี้ยววินาที เขาก็กลายร่างเป็นอสูรกายตัวน้อยที่อยากจะฉีกเนื้อหนังของหลิวเฟยเสียให้ได้ แต่หลิวเฟยเองก็ไม่ได้ถือสาอะไร
เมื่อกลับถึงหมู่บ้าน เขาได้เชิญหลิวเทียนป้าและชาวบ้านไม่กี่คนมามุงเต็นท์ต่อ จากนั้นก็คลานขึ้นเตียงเพื่อหลับชดเชยที่อดนอนไป ส่วนหลี่อวิ๋นโหรวก็ได้กระดี๊กระด๊าผิดปกติขณะเดินเข้ามาหาเขาในห้อง
“ฉันเพิ่งเห็นข่าวมาว่าทางสถานีได้ลบข้อกล่าวหาของนายทั้งหมดออกไปแล้ว คดีก็ปิดอย่างนี้เลยหรือ ? ทำไมถึงปิดเร็วจังเลยนะ ? ” เธอเอ่ยถาม
“หากยังไม่ปิดอีก ฉันก็คงมีชื่อเสียติดอยู่ตราบกาลนานน่ะสิ” หลิวเฟยตอบด้วยรอยยิ้ม
เธอเผยอริมฝีปากแล้วเอ่ยถาม “นายไม่สนใจชื่อเสียงตัวเองไม่ใช่หรือ ? ”
“ฉันไม่สนใจในชื่อเสียหรอก แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่คิดจะแยแสเลยเสียทีเดียว แต่นี่มันกระทบกับชื่อเสียงหมู่บ้านหลิวและตำบลโซ่วเฉิง ฉันเลยจำเป็นต้องปิดคดีให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้” หลิวเฟยตอบ
หลี่อวิ๋นโหรวห้ามใจไม่ให้ยิ้มออกมาไม่ได้ “คิดไม่ถึงเลยนะว่าคนเอื่อยเฉื่อยอย่างนายก็ยังเห็นแก่เกียรติและศักดิ์ศรีของส่วนรวม คนแบบนี้ช่างหายากเหลือเกิน ! ฉันขอถามอะไรหน่อยสิ นายจับไอ้พวกนักเลงนั้นได้ยังไง แล้วหลังจากนั้นนายใช้วิธีไหนให้พวกเขายอมรับสารภาพ ? ”
“ฉันขอตอบแค่คำถามแรกของเธอก็แล้วกัน ก่อนอื่นฉันเคยสั่งคนของหลิวเป้าไว้ว่าให้โผล่หัวมาที่บ้านฉันภายในสามวัน และเมื่อวานก็เป็นวันที่สามพอดี แล้วก็เกิดเรื่องนั้นขึ้นมา อีกอย่างฉันเคยถามอวี้เหลียนว่าหลิวจื้อและหลิวฮ่าว สองพ่อลูกนั้นปกติก็มีความสนิทสนมชิดเชื้อกับหลิวเป้า และการที่หลิวต้าเวยกล้าเหิมเกริมแถมยังกล้างัดข้อกับหลิวเทียนป้าก็เป็นเพราะว่ามีหลิวเป้าคอยหนุนหลังอยู่ และสุดท้ายเรื่องอื้อฉาวตรงสะพานนั้น เช่น เหตุการณ์ที่หลิวจื้อล้มลงหัวกระแทก หรือตอนที่หลิวฮ่าวเห็นเลือดแล้วอาการทางประสาทกำเริบแล้วคลั่งจนวิ่งไล่ฟันคนอื่นไปทั่วนั้น ก็เห็นได้ชัดว่าเจตนาทำให้เป็นเรื่องใหญ่ พวกเขาต้องการจะให้ฉันตกที่นั่งลำบาก” หลิวเฟยตอบ
หลิวอวิ๋นโหรวก็เข้าใจได้ในทันใด “เป็นอย่างนี้นี่เอง นายข้ามลำดับเหตุการณ์ แล้วโฟกัสไปที่ผลที่เกิดขึ้นเลย เก่งใช่ย่อยเลยนะเนี่ย”
“ปิดคดีเสร็จแล้วก็แล้วไป ที่เหลือก็ดำเนินทางตามกฎหมาย ในส่วนของขั้นตอนนั้น ใครสนกันล่ะ เรื่องนี้มันเป็นกระแสในสังคมไปแล้ว ส่งผลกระทบมหาศาล หวังไฉ หลิวต้าเวยและหลิวจื้อเองก็คงจะถูกตัดสินจำคุก ส่วนหลิวฮ่าวนั้น เขายังไม่บรรลุนิติภาวะ อีกทั้งยังเป็นโรคประสาท เขาคงไม่ถูกดำเนินคดีอะไร พวกเขาที่ตัดสินใจทำแบบนี้ก็อาจจะหวังหลอกใช้เขานี่แหละ มันโหดร้ายเกินไป เขายังเป็นเด็กอยู่เลย เฮ้อ ! ”
หลี่อวิ๋นโหรวถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วจึงเอ่ย “ฉันก็คิดไม่ถึงว่าคนขี้ขลาดอย่างหลิวจื้อจะตัดสินใจทำเรื่องแบบนี้ ทว่าหลิวจื้อสูญเสียความทรงจำ ส่วนหวังไฉก็ยอมรับผิดแต่เพียงผู้เดียว เช่นนั้นหลิวป้าไม่ได้เปรียบหรอกหรือ ? ” หลี่อวิ๋นโหรวเอ่ยถาม
หลิวเฟยได้ตอบมาอย่างง่าย ๆ ว่า “เรื่องที่หลิวจื้อสูญเสียความทรงจำ เราค่อยว่ากัน ส่วนหลิวเป้าปลาใหญ่ที่ดันหลุดจากแหนั้น ตกหลุมพรางตัวเองเพราะการวางแผนไม่รอบคอบก็ปล่อยมันไปเถอะ ให้มันได้กระโดดโลดเต้นสักสี่ห้าวัน ฉันมีวิธีที่จะอยู่เล่นกับมันเอง ! เอาล่ะ ไม่ได้นอนมาหนึ่งคืนเต็ม ๆ ฉันขอนอนก่อนนะ ! ”
พูดจบ เขาก็ปิดตาหลับปุ๋ย หลี่อวิ๋นโหรวนั้นอยากจะเค้นคำตอบออกมาให้ได้เสียจริง ๆ ว่าตกลงเขาใช้วิธีอะไรกันขู่เข็ญให้ไอ้พวกนั้นยอมรับสารภาพ แต่เขาก็ไม่ลุกขึ้นมาเสวนากับตนอีก แน่นอนว่ามันทำให้เธอปรี๊ดแตกอย่างไม่ต้องสงสัย
ขณะนั้นเอง หลิวอวี้เหลียนก็รีบวิ่งเข้ามาที่ห้องนอนของเขา แล้วพูดด้วยความกระอักกระอ่วน “พี่เฟย พี่ยังจะมีอารมณ์มานอนกันหรือ ตอนนี้ชาวบ้านเสี่ยวหลิวกำลังรวมตัวกันที่สะพาน ได้ข่าวว่าจะถอดถอนพี่ออกจากตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน พี่เพิ่งรับตำแหน่งได้กี่วันเองก็โดนจะถูกถอดถอนมันช่างน่าขายขี้หน้านะพี่ พี่รีบคิดหาวิธีสักอย่างสิ”
เรื่องพรรค์นี้เป็นเรื่องที่หลิวเฟยได้คาดการณ์ไว้แล้ว สองหมู่บ้านนี้มีเรื่องบาดหมางกันมาช้านาน เมื่อเกิดการทะเลาะเบาะแว้งขึ้นมา ไม่ว่าใครจะเป็นผ่ายถูกฝ่ายผิด บาดแผลระหว่างสองหมู่บ้านก็จะยิ่งลึกไปกว่าเดิม ในเมื่อเขาเป็นผู้ใหญ่บ้าน ชาวบ้านก็คาดหวังไว้ให้เขาปฏิบัติกับทั้งสองฝ่ายอย่างยุติธรรม และตอนนี้เมื่อความยุติธรรมได้ถูกทำให้ขาดสะบั้น ชาวหมู่บ้านเสี่ยวหลิวเองก็ยากที่จะยอมรับ ฉะนั้นเรื่องที่จะถอดถอนเขาจากตำแหน่งเลยดูไม่น่าแปลกใจมากนัก
เขาพูดโดยที่ไม่ลืมตา “ช่างพวกเขาเถอะ ฉันขอนอนหลับก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากัน ! ”
........