ตอนที่ 18 ใช้ความดีเอาชนะความเลว
ถึงจะทำตัวสบาย ๆ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่ใส่ใจ
ถ้าเกิดว่าเพื่อนฝูงดันรู้เรื่องที่ตนเป็นผู้ใหญ่บ้านได้ไม่กี่วันก็ถูกปลดคงจะต้องโดนล้อยันลูกบวชแน่
อีกทั้งเรื่องชาวบ้านตีกัน หลิวเฟยก็ต้องตกเป็นแพะรับบาป ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ดันผีซ้ำด้ำพลอยจะถูกชาวบ้านปลดออกจากตำแหน่งอีก ครั้งนี้กระแสวิพากษ์วิจารณ์ของสังคมคงจะกระเพื่อมมาซ้ำเติมอีกครั้ง แม้ว่าเขาจะเป็นคนง่าย ๆ แต่เขาก็ไม่อยากถูกโจมตีด้วยความคิดเห็นของใครอีก
ดังนั้นเขาควรจะหาวิธีรับมือกับสถานการณ์นี้ไว้ดีกว่า
........
สองวันให้หลัง การเคลื่อนไหวของชาวหมู่บ้านเสี่ยวหลิวที่ต้องการจะปลดหลิวเฟยออกจากตำแหน่งได้เกิดขึ้นอย่างเป็นทางการ พวกเขารวมลายชื่อกันได้ครบตามจำนวนที่กฎหมายกำหนด ดังนั้นกรรมการหมู่บ้านก็จำเป็นต้องรับเรื่องไปพิจารณา
แม้ว่าหลี่อวิ๋นโหรวจะไม่ชอบสไตล์และความเอื่อยเฉื่อยของหลิวเฟยเอาเสียเลย แต่หลังจากที่มีการทะเลาะวิวาทกันในหมู่บ้านครั้งนั้น เธอก็ได้รู้จักเขาในแง่มุมใหม่ ๆ มากขึ้น ทำให้เธอเริ่มคิดว่าชาวบ้านเสี่ยวหลิวจงใจจะใช้วิธีนี้ทำให้เขารู้สึกอับอาย และมันช่างไม่ยุติธรรมกับเขาเสียเลย ดังนั้นเธอจึงพยายามใช้มันสมองและช่วยเขารับมือกับวิกฤตครั้งนี้ หรือแม้กระทั่งลงแรงช่วยเขาหยั่งเชิงกับการคิดเห็นของชาวบ้านก่อนเบื้องต้น
ผลปรากฏว่าผลลัพธ์ออกมานั้นทำให้แทบช๊อก ผลลัพธ์ที่ว่านั่นคือชาวหมู่บ้านต้าหลิวกลับคัดค้านที่จะให้เขารับตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านต่อ เหตุผลหลักมีสองอย่างก็คือ หนึ่งการทำงานของเขานั้นไม่ได้เรื่องมาโดยตลอด อีกทั้งยังผลาญทรัพย์สมบัติวงศ์ตระกูลอีก เขาทั้งมีท่าทีโอหังยโสเกินไปจนทำให้ชาวบ้านทนไม่ไหว และเหตุผลที่สอง การทะเลาะวิวาทกันครั้งนี้สืบเนื่องมาจากความบาดหมางระหว่างเขาและหลิวเป้า แต่กลับส่งผลให้สถานการณ์ของทั้งสองหมู่บ้านยิ่งเกิดความตึงเครียดขึ้นมา
เธอรีบไปหาหลิวเฟยที่โรงเรือนที่เขาได้สร้างเอาไว้ จากนั้นก็นำข่าวร้ายนี้บอกแก่หลิวเฟยผู้ซึ่งกำลังสั่งการให้ชาวบ้านกางสแลนอยู่บนโรงเรือน เมื่อเขารับทราบแล้วก็ยังแสดงสีหน้าเรียบเฉยเช่นเดิม
“รับทราบ” เขาตอบเพียงแค่นั้น
ทำให้หลี่อวิ๋นโหรวแปลกใจเป็นอย่างมาก จากนั้นเธอจึงได้เอ่ยถาม “นายไม่อยากจะพูดอะไรหน่อยหรือ ? นายไม่คิดจะใส่ใจเลยแม้แต่นิดเดียวเลยหรือ ? หรือว่านายไม่อยากเป็นผู้ใหญ่บ้านตั้งเริ่มแต่แรกกันแน่ ? ”
หลิวเฟยไม่ได้ตอบคำถาม แต่กลับชี้ไปยังโรงเรือนที่กินเนื้อที่กว่าสองหมู่แล้วกล่าวว่า “ถ้าหากฉันไปบอกชาวบ้านว่าฉันตั้งโรงเรือนก็เพื่อจะทำการเพาะปลูกสิ่งที่เธอเรียกว่าหญ้า เธอว่าคะแนนสนับสนุนฉันจะเพิ่มขึ้นหรือลดลง ? ”
หลี่อวิ๋นโหรวแทบจะหมดคำพูด “หลิวเฟย.....นายเป็นโรคประสาทหรือ ? มันน่าโมโหจริง ๆ ฉันมองออกตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ว่านายไม่ได้อยากเป็นผู้ใหญ่บ้านเลย ช่างเถอะ ฉันไปประกาศให้ชาวบ้านได้ทราบ ที่เหลือก็ให้เป็นหน้าที่ของกรรมการหมู่บ้าน ห้าวันหลังจากนี้ก็จะมีการลงประชามติ หากผลประชามติเกินครึ่ง นายก็จะโดนปลดจากตำแหน่ง ระวังตัวเอาไว้ก็แล้วกัน เฮอะ ! ”
หลังจากที่หลี่อวิ๋นโหรวกลอกตาใส่เขา 1 ครั้ง เธอก็จากไปด้วยความขุ่นเคือง ซึ่งก็เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าในสายตาของเธอนั้น เขาเป็นคนที่เกินจะเยียวยาแล้วจริง ๆ
หลิวเฟยมองแผ่นหลังที่เดินจากไป จากนั้นก็แอบยิ้มแล้วจึงหันกลับไปง่วนกับงานของตนต่อ
เมื่อติดสแลนบังแสงแดดเสร็จเรียบร้อย หลิวเฟยก็จัดแจงเพาะเมล็ดพันธุ์ที่ตนได้ซื้อมาเก็บไว้สักระยะแล้ว
สิ่งที่ทำให้ชาวบ้านต่างนินทากันก็คือการที่เขากางโรงเรือนขึ้นในฤดูนี้เพื่อทำการเพาะเมล็ด กางสแลนบังแดดนั้นพอรับได้ แต่ดันเปิดผนังโรงเรือนออกทั้งสี่มุมนี่สิ และยังดูเหมือนว่าจะเปิดไว้อย่างนั้นทั้งยี่สิบสี่ชั่วโมงอีกต่างหาก นี่มันไม่เท่ากับว่าวาดงูเติมขา ทำอะไรเกินความจำเป็นหรือ ?
น่าจะเป็นบ้าเข้าแล้วจริง ๆ
การที่เขาไม่คิดจะอธิบายข้อครหาใด ๆ ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเป็นคนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร
ที่จริงแล้วการที่เขาปลูกโรงเรือนขึ้นมาก็เพื่อที่ใช้ห้าชี่ไหลเวียนที่เขาได้ทำการฝึกฝนมาบ่มเพาะต้นกล้าสมุนไพร ไม่ให้พวกมันกระจายไปทั่ว แต่เนื่องจากว่าอากาศมันอบอ้าวจนเกินไป โรงเรือนจึงไม่ควรที่จะปิดมิดชิดจนไม่มีอากาศถ่ายเท ดังนั้นเขาจึงเลือกเวลาช่วงตีหนึ่งถึงตีสี่ในช่วงที่อากาศกำลังอบอุ่นปิดผนังทั้งสี่ด้านของโรงเรือนให้มิดชิด แล้วก้มหน้าทำงานของตนต่อ
เพราะในตอนนั้นชาวบ้านทุกคนต่างนอนหลับใหล เลยไม่มีใครรู้ว่าเขาได้ทำสิ่งนี้ เลยทำให้ทึกทักกันเองว่าโรงเรือนนี้เปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง
นอกจากการใช้วิชาห้าชี่ไหลเวียนเพาะออกมาเป็นต้นกล้าแล้ว หลิวเฟยยังแอบทำเรื่องที่บ้าระห่ำมาก ๆ อีกหนึ่งเรื่อง
ตอนนี้มีเวลาอีกสองวันก็จะถึงวันลงประชามติถอดถอนเขาออกจากตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านแล้ว สองพ่อลูกหลิวจื้อและหลิวฮ่าวก็ออกจากโรงพยาบาลเช่นกัน หานอิงนำพวกเขาส่งถึงบ้านตามการฝากฝังของหลิวเฟย
ในขณะที่เขาเปิดประตูบ้านก็ได้เหลือบไปเห็นร่างของหญิงสาวที่แต่งตัวเรียบง่ายคนหนึ่งนอนแผ่อยู่ ผมของเธอนั้นแผ่ออกเช่นกัน และข้อมือก็ยังมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด นาทีนั้นอย่าว่าแต่สองพ่อลูกเลย แม้แต่หานอิงก็ตกใจจนฝันหนีดีฝ่อ ตกใจจนก้าวขาออกไม่ได้
“เหล่าจื้อ ลูกแม่.....”
ทันใดนั้น หญิงสาวคนนั้นก็ได้ส่งเสียงแผ่วเบาออกมา แล้วค่อย ๆ หันมาทางด้านข้าง เมื่อทั้งสองได้เห็นใบหน้าของเธอชัดเจน สองพ่อลูกก็ได้ล้มลงพื้นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
หลิวจื้อรู้สึกตัวช้าไปหน่อย แต่แล้วทันใดนั้นเขาก็ได้เข้าไปกอดหญิงคนนั้นแล้วร้องไห้โฮออกมา
จากนั้นหลิวฮ่าวเอามือประคองหัวตัวเองเอาไว้ แล้วก็แสดงอาการบ้าคลั่งอยากจะตีกับหานอิงให้ได้
หานอิงตกใจจนขวัญกระเจิง เธอหาที่หลบ จากนั้นก็มีหลิวเฟยมุดมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ เขาเข้ามากอดรัดตัวของหลิวฮ่าวเอาไว้
“เสี่ยวเหอ ทำไมเธอช่างใจดำอย่างนี้ ทำไมเธอถึงอยากทิ้งเราสองคนพ่อลูกไปด้วย ? ฉันยอมรับผิดแล้ว เธอยังไม่พอใจใช่ไหม ? ฉันผิดเอง ต่อไปนี้ฉันจะไม่ติดเหล้าอีกแล้ว และฉันก็จะไม่อารมณ์ร้ายใส่เธออีกแล้ว ฉันจะฟังเธอทุกอย่างเลย จะฟังทุกอย่างเลย ! ”
อาการประสาทของหลิวฮ่าวกำเริบขึ้นมาอีกครั้ง ส่วนหลิวจื้อก็กอดหญิงสาวไว้แนบอกพร้อมกับน้ำตาไหลอาบสองแก้ม
หานอิงรีบกล่าวอย่างกระวนกระวาย “ไม่ต้องร้องไห้ รีบเรียกคนมาช่วยเร็วเข้า ! ”
หลิวเฟยยื่นมือออกไปรั้งเธอไว้ จากนั้นก็ดีดนิ้ว แล้วจึงเห็นหลี่อวิ๋นโหรวยกยาน้ำสมุนไพรเข้ามาแทน
หลิวเฟยรับยาน้ำสมุนไพรเข้ามา แล้วขอร้องให้หานอิงช่วยกรอกยาใส่ปากของหลิวฮ่าว แล้วก็ชี้ไปยังหญิงสาวคนที่นอนเลือดไหลคนนั้นแล้วเอ่ย “นายมองดี ๆ นั่นไม่ใช่แม่ของนาย และอีกอย่างเลือดที่นายเห็นก็เป็นเลือดหมู”
“ฉันจะฆ่าแก ! ฉันจะฆ่าแก ! ”
หลิวฮ่าวแทบจะไม่ยอมฟังอะไรเลยทั้งสิ้น เขาทุบตีหลิวเฟยอย่างไม่ยั้งมือ หลิวเฟยก็ไม่ยอมหลบ ยอมให้เขาระบายความโกรธนี้ใส่ตน จากนั้นก็ลากเขาเข้าไปข้างกายของหลิวจื้อ แล้วฉีกหน้ากากบนใบหน้าของหญิงสาวคนนั้นออก แล้วช่วยเช็ดเลือดสด ๆ บนแขนของเธอออก “น้าจื้อ เสี่ยวฮ่าว ที่นี้เห็นชัดรึยัง ? เธอไม่ใช่น้าเหอ แต่เธอคือหลิวอวี้เหลียน ! ”
หลิวจื้อเช็ดน้ำตาที่ไหลรินออกมา จากนั้นก็มองไปที่หญิงสาวตรงหน้าอีกครั้ง แล้วก็โวยวายออกมา “หลิวเฟย แกสมควรจะโดนแทงสักพันครั้ง แกช่างกล้า......”
“ลุง….ลุงฟื้นความทรงจำแล้วนี่.....” หานอิงเอ่ยออกมาด้วยความประหลาดใจ
หลิวจื้อชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็นั่งลงบนพื้นด้วยอาการมึนงง ในปากก็เอาแต่พึมพำเรียกชื่อหลิวฮ่าวไม่หยุด สีหน้าของเขานั้นเต็มไปด้วยความสงสัย “นี่.....นี่มันเกิดอะไรขึ้น ? ”
“ใครผูกปมคนนั้นก็ต้องแก้ปม หากหัวใจเจ็บป่วยก็ต้องให้หมอรักษา ! น้าและเสี่ยวฮ่าวต่างก็มีบาดแผลที่ไม่อาจลบเลือนได้ตลอดชีวิต ซึ่งนั้นก็คือน้าเหอ ผมเลยให้คนไปทำหน้ากากหนังรูปหน้าของน้าเหอ จากนั้นก็จัดแสดงฉากที่น้าเหอฆ่าตัวตายเพื่อช่วยกระตุ้นระบบประสาทของทั้งสองคน” หลิวเฟยอธิบาย
“ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะได้ผลดีเสียด้วยสิ ความทรงจำของน้าฟื้นคืนมาแล้ว ส่วนเสี่ยวฮ่าว อาการทางระบบประสาทของเขาก็ทุเลาลงมากแล้ว ขอเพียงน้ายอมให้เวลาผมสักหน่อย ให้ผมได้ช่วยดูแล การที่จะหายขาดกลับมาเป็นปกติก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่แล้ว ! ”
เมื่อฟังเขาพูดจบ หลิวจื้อก็รีบดึงมือเขาเข้ามา “แก....แกรักษาเขาได้ใช่ไหม ? หลายปีที่ผ่านมาฉันพาเขาไปรักษาทั่วทุกสารทิศ แต่เขาก็ยังไม่หายสักที ! ”
“เมื่อกี้ผมก็บอกแล้วนี่ ว่าเขาแค่ป่วยทางใจเท่านั้น หากจะพึ่งยาอย่างเดียวก็เกรงว่าจะรักษาไม่หาย ! น้าจื้อ ผมรู้ว่าที่น้ายอมอุทิศตัวเองให้กับสิ่งที่หลิวเป้าขอนั้นก็เพื่อหาเงินมารักษาเสี่ยวฮ่าว ตอนนี้แค่เต็มใจที่จะไปบอกความจริงทั้งหมดให้ทางตำรวจได้รู้ อาการป่วยของเสี่ยวฮ่าวนั้นผมขอเป็นคนดูแลเอง ไม่มีค่าใช้จ่าย ผมขอสัญญาว่าผมจะทำหน้าที่รักษาเขาให้ดีที่สุด ! ” หลิวเฟยพูด
“น้าจื้อคะ พี่เฟยเขาตั้งใจที่จะใช้ความดีเพื่อเอาชนะความเลวนะคะ หากน้าเต็มใจที่จะสารภาพ เขาก็จะขอความเมตตาให้ช่วยลดโทษของน้า จากนั้นก็จะพยายามลดจำนวนปีที่ต้องโทษของน้าสักสองสามปี หากเป็นเช่นนี้แล้วน้าก็ทั้งยังได้ดูแลเสี่ยวฮ่าวจนบรรลุนิติภาวะ อีกทั้งยังเห็นพี่เฟยรักษาเขาให้หายขาดกับตาอีกด้วยนะคะ ! ”
หลิวจื้อถามอย่างเร่งรีบ “ทำอย่างนี้ก็ได้หรือ ? ”
“ตอนนี้หวังไฉและหลิวต้าเวยต่างก็ยอมสารภาพแล้ว อีกทั้งยังมีเงินสินบนบางส่วนถูกค้นเจอที่บ้านของน้าด้วย ตอนนี้ต่อให้น้าสูญเสียความทรงจำแต่ก็ไม่อาจหลบหนีความผิดครั้งนี้ได้อยู่ดี ผมเองก็ไม่จำเป็นต้องเล่นใหญ่เพื่อช่วยให้รื้อฟื้นความทรงจำ แต่ที่ทำลงไปแบบนี้ก็หวังที่จะช่วยน้าจากใจจริง ให้น้าได้ใช้ชีวิตด้วยความเข้าใจ น้ามีอะไรที่ยังทำให้เคลือบแคลงในตัวผมอีกไหมครับ ? พูดออกมาสิ ว่าคนที่บงการน้าตัวจริงนั่นคือหลิวเป้าใช่ไหม ? ”
แม้ว่าตอนนี้หลิวเป้าจะถูกกุมขังแค่ไม่กี่วันก็โดนปล่อยตัวออกมาแล้ว ทว่าหากได้หลิวจื้อเข้ามาเป็นพยานปากคนสำคัญสาวไปถึงเขาล่ะก็ แค่นี้ก็เกินพอที่จะจับเขาให้อยู่หมัดได้แล้ว
หลิวจื้อเงียบไปชั่วขณะ “ตอนนี้คดีปิดไปเรียบร้อยแล้วหรือ ? หวังไฉยอมรับสารภาพแล้ว แล้วหลิวเป้าล่ะ ? ”
หลิวเฟยเลยเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้เขาฟัง เมื่อได้ยินว่าตอนนี้หลิวเป้ายังคงลอยนวลก็ทำให้เขาโกรธจนปากสั่น แล้วจึงเอ่ยถาม “เรื่องนี้หวังไฉเป็นคนมาคุยกับฉันเค่เพียงคนเดียว หลิวต้าเวยอยู่ข้าง ๆ เพื่อยุยง......”
หลิวอวี้เหลียนทนฟังไม่ได้เลยขัดจังหวะด้วยความโกรธ “นี่น้ากลัวหลิวเป้าหรอกหรือ ? หนูจะบอกให้ พี่เฟยเขาเก่งจะตาย มีเขาอยู่ น้าก็ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งสิ้น น้าเจออะไรมาก็ขอให้พูดออกมาให้หมด มันไม่มีอะไรร้ายแรงหรอกค่ะ ! ”
หลิวจื้อทนกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหวเลยร้องไห้โฮออกมา “มีแค่หวังไฉจริง ๆ ขอร้องเถอะนะ ชีวิตฉันจะยังไงก็ได้ แต่ชีวิตลูกชายฉันนี้แสนจะรันทด ฉันไม่อยากให้เกิดเรื่องร้าย ๆ ขึ้นกับเขาอีก”
“น้า....น้าทำไมทำตัวอย่างนี้ห๊ะ ? น้ารู้ไหมว่าพี่เฟยเขาสงสารน้าและลูกมากแค่ไหน ? ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น เกรงว่าจะ......”
หลิวเฟยรีบเอื้อมมือไปปิดปากของเธอ จากนั้นก็พูดต่อ “น้าจื้อ ผมเข้าใจว่าน้ากำลังกังวลอะไรอยู่ อย่างนี้ละกันครับ น้ายอมชี้ตัวหวังไฉและหลิวต้าเวยนี่ก็เกินพอแล้ว ส่วนหลิวเป้า ผมมีแผนการอื่นเอาคืนเขาอยู่ ผมไม่อยากให้น้าและลูกมีชีวิตอยู่บนความหวาดกลัวเลยนะ”
เมื่อได้ยินหลิวเฟยพูดแบบนี้ หลิวจื้อบังคับหลิวฮ่าวให้มาหมอบกราบหลิวเฟย เอาหัวไปโขกกับพื้นไม่หยุด
หลิวเฟยพยุงทั้งสองขึ้นมาพร้อมกับเอ่ย “ไม่เห็นต้องทำอย่างนี้เลย จงตั้งสติแล้วมีชีวิตใหม่เถิด โดยเฉพาะเสี่ยวฮ่าว เขายังเด็ก ไม่ควรเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องสกปรกโสมมอย่างนี้ ! ”
……