ตอนที่ 20 แฟนกำมะลอขอโชว์พาว
โม่อวี้ ปัจจุบันอายุ 32 ปี เป็นผู้จัดการแผนกจัดซื้อของโรงแรมห้าดาว Sun Rise ที่เมืองเฟิ่งหวง
เธอสวมชุดสูทสีดำกระโปรงทรงเอตามสไตล์ของสาวออฟฟิศ ผมมัดทรงสูง ทั้งสองข้างไม่มีปอยผมออกมาแม้แต่เส้นเดียว แลดูมีความสามารถและประสบการณ์
เพียงแต่ว่าสีหน้าของเธอเดิมทีนั้นไม่ค่อยดี เมื่อเห็นหลิวเฟย สีหน้าเธอก็ยิ่งดูแย่ไปกว่าเดิมอีก
เมื่อเธอเหลือบไปเห็นหลิวเฟย เธอจึงพูดด้วยน้ำเสียงที่เจือความโกรธและตกใจ “ทำไมเป็นนายไปได้ล่ะ ? ไอ้สารเลว นายเข้ามาได้ไงห๊ะ ? ”
เมื่อเผชิญหน้ากับสายตาอาฆาตพยาบาทของผู้หญิงคนนั้น หลิวเฟยกวาดตาไปมองขาเรียวสวยอันเป็นเอกลักษณ์ของเธอก่อน แล้วยิ้มขณะที่กล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน “ช่างบังเอิญจริง ๆ ครั้งก่อนที่เจอคุณ ผมก็ว่าแล้วเชียวว่าคุณต้องเป็นคนชนชั้นกลาง เดาไม่ผิดเลยจริง ๆ คุณคือผู้จัดการแผนกจัดซื้อของโรงแรมห้าดาวแห่งนี้หรือ ? ”
โม่อวี้ตอบแบบไม่ค่อยรื่นหู “ใช่แล้วจะทำไม ไม่ใช่แล้วจะทำไม ? เรื่องเมื่อคราวก่อนยังไม่ได้สะสางเลยนะ นายมาหาฉันถึงที่เลยหรือ นี่จะมาทำร้ายฉันหรือไง ? ”
หลิวเฟยขมวดคิ้วทันที “คุณประจำเดือนยังมาไม่ปรกติอยู่อีกสินะ หรือว่าถึงช่วงวัยทองเข้าแล้ว จะโมโหเป็นฟืนเป็นไปทำไมกัน ผมทำอะไรให้คุณไม่พอใจงั้นหรือ ? ”
“ไอ้สารเลว ! ”
โมอวี้กัดฟันโมโห แล้วยื่นมือไปหยิบแฟ้มเอกสารมาเขวี้ยงใส่เขา หลิวเฟยที่รับมันมาอย่างสบาย ๆ จึงพูดกับสาวสวยตรงหน้า “ผมถามว่าคุณเป็นอะไรกันแน่ ? ครั้งก่อนผมหวังดีจะช่วยคุณนะ คุณไม่เห็นความดีของผม แต่กลับมาแว้งกัดผมอีกต่างหาก ไม่รู้จักซาบซึ้งในบุญคุณคนเอาเสียเลย เจอกันครั้งนี้ไม่ทันได้พูดจาอะไรก็พ่นไฟด่าผมซะแล้ว คุณอยากจะให้ผมเป็นที่รองรับอารมณ์คุณหรือไง ? ”
เดิมทีเขาอยากจะหาลู่ทางในการขายอาหารทะเล แต่ใครจะไปคาดคิดว่าจะดันมาป๊ะกับหนึ่งศัตรูตัวฉกาจของเขาเอง ดูเหมือนว่าคราวนี้คงไม่มีหวังเสียแล้วสิ ส่วนหลิวเฟยนั้นก็อดกลั้นข่มความโกรธไม่ลงเหมือนกัน เธอเป็นถึงผู้จัดการ แต่ทำไมถึงขาดคุณสมบัติผู้ดีได้ถึงขนาดนี้ ?
โม่อวี้ตอนนี้ที่กำลังโกรธขึ้นสมองเมื่อเห็นหลิวเฟยพล่ามไม่หยุดปาก เธอเริ่มควานหาแก้วน้ำเพื่อเขวี้ยงใส่เขา และในขณะนั้นเองก็ได้มีผู้ชายที่เมากรึ่ม ๆ ผลักประตูห้องแล้วเดินโซซัดโซเซเข้ามา
ขณะเดียวกันได้มียามสามคนเดินตามหลังเขามาพร้อมกับทำสีหน้าขมขื่นแสดงถึงความลำบากใจ แล้วหันไปมองโม่อวี้ จะให้พวกเขาทำอย่างไรได้ในเมื่อผู้ชายคนนี้เป็นบุคคลที่พวกเขาไม่สามารถหาเรื่องอะไรได้…...
เมื่อโม่อวี้หันไปเห็นผู้ชายคนนั้นพุ่งมาที่เธอ เธอก็รีบหลบไปทางด้านข้าง จากนั้นก็ระเบิดโมโหออกมา “จะยืนทื่ออยู่อีกทำไม ? ไปให้พ้น ! ”
ยามสามคนนั้นหันหน้ามามองกันและกัน แล้วก็รีบปิดประตูจากไปอย่างเศร้าหมอง
หลิวเฟยมองชายคนนั้นหัวจรดเท้า เมื่อเห็นผิวเรียบเนียนสะอาดตา ดูมีภูมิฐานและหน้าตาหล่อเหลาใช้ได้ เขาแต่งด้วยชุดสูทแบรนด์ดัง อีกทั้งเรือนร่างของเขายังแผ่ออร่าคนมีฐานะออกมาด้วย ดูเหมือนเขาคนนี้จะเป็นลูกหลานคนรวยในตระกูลเศรษฐี
ทว่า นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?
สังเกตจากปฏิกิริยาของยามพวกนั้น ชายหนุ่มลูกเศรษฐีคนนี้น่าจะเป็นลูกค้าประจำของที่นี่ หรืออาจจะเป็นแฟนหนุ่มของเธอก็เป็นได้ แต่ในเมื่อเธออยากหาที่ระบายอารมณ์ของตัวเองล่ะก็ ทำไมเธอไม่ไปหาเขาเสียล่ะ ?
ในขณะที่หลิวเฟยกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ชายหนุ่มคนนั้นพยายามจะคว้าตัวโม่อวี้เข้ามากอดอย่างทุลักทุเล จากนั้นก็ถลึงตาใส่หลิวเฟย “แกเป็นใครวะ ? ทำไมยังไม่ไสหัวออกไปอีก ! ”
หลิวเฟยไม่ทันได้พูดอะไร แต่สิ่งที่ให้เขาแทบเลือดพุ่งออกทางจมูกก็คือทันใดนั้นโม่อวี้ก็ได้รุดเข้ามาที่ข้างกายของเขา จากนั้นก็ปัดแฟ้มเอกสารออกจากมือของเขา และคว้าเอาใบหน้าของเขาลงมาให้ได้ที่ เธอสวมกอดเขา และจากนั้นทั้งสองก็จูบกันอย่างเร่าร้อน
“อื้อ ! ”
“อ่า ! ”
........
เมื่อได้ดื่มด่ำกับจุมพิตที่บ้าคลั่งราวกับพายุฝนกระหน่ำ หลิวเฟยก็เกิดอาการสมองกลวงคิดอะไรไม่ออกขึ้นมาทันที เขาไม่รู้ว่านี่มันคือะไรกันแน่ ? โม่อวี้เมื่อกี้ดุเสียยิ่งกว่าหมา แต่พอกระพริบตาทำไมเธอถึงกลายเป็นแม่สาวคลั่งรักและรุกผู้ชายไปได้ นี่ก็จะแปลงร่างเก่งเกินไปแล้วนะ !
เมื่อชายหนุ่มเห็นว่าเขายังยืนอึ้งอยู่ ทันในนั้นก็เปลี่ยนอารมณ์ดูโมโหร้ายราวกับราชสีห์ที่หิวกระหาย เขารุดเข้าไปตรงที่หลิวเฟยยืน จากนั้นได้ออกแรงผลักเขาแล้วพุ่งหมัดเข้าที่แก้มของหลิวเฟย
หลิวเฟยที่ตอนนี้ริมฝีปากมีเลือดไหลซิบ แม้จะมีอาการมึนงง แต่เขาก็ไม่ยอมที่จะโดนหมัดต่อยเข้ามาอย่างไร้เหตุผล
เขายื่นมือออกไปแล้วก็จับหมัดของชายหนุ่มที่กำลังจะพุ่งตรงมาอีกครั้ง
เมื่อชายหนุ่มคนนั้นเห็นเขาพยายามตอบโต้ จึงถีบเท้าไปตรงเป้าหว่างขาของหลิวเฟย แต่ดีที่หลิวเฟยหลบได้ทันแล้วสะบัดขาตน ทำให้เขาล้มกองไปกับพื้น
“นายเป็นบ้าหรือไง ? ” หลิวเฟยเอ่ยถาม
ผู้ชายคนนั้นที่ตอนนี้สีหน้าแดงก่ำด้วยความโมโหสบถขึ้นว่า “แก.....แกกล้าทำร้ายฉันหรือ ! แกรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร ? ”
หลิวเฟยตอบพร้อมกับสะบัดมือ “ฉันไม่สนหรอกว่านายเป็นใคร ! อีกอย่างอันนี้เขาเรียกว่าทำร้ายหรือ ? อยากลองสักทีไหมว่าอะไรที่เรียกว่าทำร้าย ? ”
“แม่งเอ้ย คิดจะรนหาที่ตายหรือ ! ”
ชายหนุ่มยิ่งเดือดดาลขึ้นไปอีก เขายกเก้าอี้เตรียมจะเขวี้ยงใส่หลิวเฟย เมื่อโม่อวี้เห็นสถานการณ์เริ่มรุนแรง เธอจึงรีบไปขวางชายหนุ่มไม่ให้ทำร้ายหลิวเฟย “หลู่อิงปิน นายจะทำอะไร ? จะไม่จบไม่สิ้นให้ได้เลยใช่ไหม ? เขาเป็นแฟนใหม่ของฉัน ฉันกับนายเราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีกแล้ว ! นายก็ออกไปโบยบินเคียงบ่าเคียงไหล่กับผู้หญิงชั้นต่ำคนนั้นเถอะ ฉันขอให้นายรักกันร้อยวันพันปี เหอะ ๆ ๆ.....”
เมื่อมีปากเสียงกัน หลู่อิงปินก็เหมือนเริ่มสร่างจากฤทธิ์ของสุรา เขาวางเก้าอี้ลง สายตาที่จับจ้องโม่อวี้นั้นเริ่มมีน้ำตาเอ่อคลอเบ้า “อวี้เออร์ ผมขออธิบายหน่อยจะได้ไหม ที่จริงผมไม่ได้เป็นอะไรกับเธอเลย ก็แค่พลาดพลั้งไปนิดเดียวจริง ๆ ผมไม่เคยคิดจะทรยศคุณเลยนะ ! ”
โม่อวี้ยิ้มด้วยความเฉยชา “พลาดพลั้งไปนิดเดียวหรือ ? กล้าพูดนะ พลาดพลั้งครั้งเดียวก็ท้องเลยงั้นหรือ ? ที่นายทำนี่ไม่เคยคิดจะทรยศฉันเลยงั้นหรือ ? เพื่อนสาวคนสนิทกับแฟนหนุ่มที่ฉันรัก พวกนายเล่นได้สมบทบาทดีนี่ ไสหัวไปให้พ้นหน้าฉันเดี๋ยวนี้นะ ฉันไม่อยากเห็นหน้านายอีกต่อไป”
หลู่อิงปินยังไม่ยอมลดละ “อวี้เออร์ มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิดนะ ผมจริงใจกับคุณนะอวี้เอ่อร์ หากว่าคุณยอมคืนดีกับผม คุณต้องการอะไร ผมก็จะหามาให้”
“แล้วนังเพื่อนแพศยาของฉันคนนั้นล่ะ ? ฉันได้ยินว่านายกำลังจะพาหล่อนไปไหว้พ่อไหว้แม่ เตรียมที่จะเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว นายคิดว่าฉันโง่แล้วคิดจะหลอกได้ตามใจหรือ ? ”
หลู่อิงปินเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยออกมาด้วยความรู้สึกผิด “เอ่อ.....ก็เธอท้องนี่นา ตระกูลผมก็มีธุรกิจใหญ่โตมีหน้ามีตาในสังคม พ่อผมก็อยากให้ผมมีลูกตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว”
โม่อวี้หัวเราะอย่างเหยียดหยันออกมาสุดแรง จากนั้นก็โอบบ่าของหลิวเฟย “นายจะมาป่วนฉันไม่เลิกทำไม ? นี่เป็นแฟนฉันเอง เก่งกว่าผู้ชายเศษเดนอย่างนายเป็นร้อยเท่าพันเท่า ต่อไปนี้ได้โปรดอย่ามาปรากฏตัวให้ฉันเห็นอีก ! ”
เมื่อได้ยินอย่างนี้แล้ว หลิวเฟยก็แทบจะจับต้นชนปลายได้ในทันที แม่สาวผู้จัดการคนนี้ได้เอาเขาเป็นโล่กันกระสุนเสียแล้ว
แต่เขาก็เป็นแค่คนที่บังเอิญผ่านมาเท่านั้น เมื่อโบกมือเรียกก็มา เมื่อโบกมือลาก็ไปไม่ใช่หรือ ?
เขาผลักมือเธอออก และในจังหวะที่กำลังจะพูดอะไรออกไปนั้นเอง หลู่อิงปินกลับรีบชิงพูดเสียก่อนพร้อมกับชี้หน้าด่าเขา “มันเนี่ยนะ ? เฮอะๆๆ นี่คุณจงใจไปขุดไอ้บ้านนอกมาจากภูเขาลูกไหนเพื่อยั่วโมโหผมใช่ไหม ? สภาพมันดูได้เสียที่ไหน ! อวี้เอ่อร์ ถ้าคุณโกรธผม ผมก็พอจะเข้าใจนะ แต่ขอร้องนะ อย่าเอาคนชั้นต่ำแบบนี้มาเปรียบเทียบกับผมจะได้ไหม ? ”
เฮ้ย นี่มันดูถูกกันเกินไปแล้ว !
เขาคิดหรือว่าแค่มีเงินก็สุดยอดไม่มีใครเกินแล้ว ? นี่มันบังคับให้เราถูกตีหน้าว่าเป็นไอ้บ้านนอกกระจอก ๆ นี่หว่า ?
หลิวเฟยเอามือปัดจมูก จากนั้นจึงฉวยโอกาสพูดออกมาบ้าง “ถึงฉันจะเป็นคนบ้านนอก แต่นายรู้อะไรบ้างไหม ? ใคร ๆ ต่างก็เกลียดคนแบบนาย ที่นอกจากมีเงินทองสกปรกแล้ว ที่เหลือก็เกรงว่าจะมีแค่เศษขยะไร้ค่า”
“หนอยแก ! ” หลู่อิงปินโมโหจนปากสั่น แล้วชี้หน้าต่อว่าเขาด้วยความโมโหสุดขีด “อวี้เอ่อร์ ได้ยินชัดแล้วยังห๊ะ ? มารยาทของมันเลวทรามขนาดนี้ ! คุณรีบเลิกกับมันเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวผมจะเลี้ยงดูคุณเอง ผมจะใช้ทั้งชีวิตของผมชดใช้สิ่งที่ผมทำผิดกับคุณ”
โม่อวี้ถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา “นายอยากจะเลี้ยงดูฉัน ? ”
หลู่อิงปินเอ่ยถาม “ไม่ได้หรือ ? ผมมีเงินทองมากมาย ขอเพียงแค่คุณยอมกลับมาคืนดีกับผม ผมจะยอมทำตามคุณทุกอย่าง ตำแหน่งผู้จัดการบ้าอะไรเนี่ยคุณก็ไม่ต้องเป็นหรอก ต่อไปนี้คุณกับผมเราจะออกไปมีชีวิตแบบที่เราไฝ่ฝันกัน”
“แล้วนังแพศยาคนนั้นล่ะ ? ”
“หล่อนเป็นได้แค่ภรรยาในนามเท่านั้น ช่วยให้ผมได้มีลูกตามที่พ่อหวัง แต่คนที่เป็นรักแท้ของผมก็คือคุณนะ”
โม่อวี้ส่ายส่ายหัวหมดคำพูดใด ๆ ที่จะเอื้อนเอ่ย “ไอ้ขยะหลู่ นายเห็นฉันเป็นตัวอะไรห๊ะ ? ใครอยากได้เงินสกปรก ๆ ของนายกัน ฉันนี่มันตาบอดเสียจริงที่รู้จักคนเศษเดนอย่างนาย ! ”
หลิวเฟยเผยอริมฝีปากแล้วเอ่ย “ขอร้องล่ะ คำว่าไอ้เศษเดนมันน้อยไปหรือเปล่า ? ”
“แกอยากรนหาที่ตายใช่ไหม ! ”
เมื่อการพูดดี ๆ ไม่เป็นผล แต่กลับเติมไฟซ้ำลงไปเชื้อเพลิงอีก หลู่อิงปินก็อดกลั้นไม่ไหวอีกต่อไป เขายกเก้าอี้ขั้นจะฟาดไปที่หลิวเฟยอีกครั้ง
หลิวเฟยผลักโม่อวี้ไปด้านข้าง เขาตะโกนเสียงดัง จากนั้นก็ไขว้ขาแล้วถีบเก้าอี้ลอยขึ้นไป เขาเอาเท้าอีกข้างหนึ่งถีบหลู่อิงปินไปติดมุมของผนัง จากนั้นจึงตะโกนขู่เสียงดัง “เห็นแล้วหรือยัง ว่าการทำร้ายจริง ๆ มันเป็นยังไง ! ”
“ฮู่ ! ”
“แฮ่ก ! ”
........
หลู่อิงปินที่โดนถีบจนล้มลงไปหอบถอนหายใจ แต่ทันใดนั้นเขาส่งเสียงดังว่า “อ้อก” แล้วพ่นเลือดออกมา จากนั้นก็แยกเขี้ยวยิงฟันใส่หลิวเฟย “ไอ้ระยำ บังอาจมาทำร้ายฉัน นายรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร ? ”
ประโยคสุดคลาสสิคนี้อีกแล้ว.....
หลิวเฟยยิ้มแล้วเอ่ยตอบ “นายก็แนะนำตัวสิว่านายเป็นใคร พูดออกมาสิว่านายเป็นใครกันแน่ ? ”
“เคยได้ยิน สามพยัคฆ์แห่งเฟิ่งหวงไหม ? ”
หลิวเฟยจงใจส่งยิ้มไปอย่างเก้กัง “ขอโทษนะครับคุณชาย ผมมาจากบนเขาบนดอย ไม่เคยได้ยินจริง ๆ ครับ เอ่อ....หมูหมาสามตัวอะไรนะ ? ”
“.......”
หลู่อิงปินเกือบจะกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง แม้ว่าตอนนี้โม่อวี้เริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมาแล้ว แต่ริมฝีปากของเธอก็เผยรอยยิ้มสะใจออกมาโดยที่แทบจะดูไม่ออก
เมื่อสถานการณ์ดีขึ้นสักพัก หลู่อิงปินก็ขี้เกียจจะเสวนาอะไรกับหลิวเฟยอีก เขายืนขึ้นมาชี้หน้าหลิวเฟย “แกจำไว้ ฉันจะฉีกแกออกเป็นชิ้น ๆ ให้หมูให้หมามันกิน ! ”
หลิวเฟยยิ้มมุมปากแล้วตอบโต้เขา “เนื้ออ่อนนุ่มนิ่มแบบนายถึงจะเหมาะเป็นอาหารของสัตว์เดรัจฉานพวกนั้นมากกว่าไม่ใช่หรือ ? ”
“แก....แกมัน ! แน่จริงแกกล้าเปิดเผยชื่อออกมาไหม ? ”
โม่อวี้กำลังจะห้ามเขา แต่ก็กลับไม่ทัน หลู่อิงปินกลับได้ยินชื่อ “หลิวเฟย” สองพยางค์นี้ออกมาเสียก่อน
เมื่อได้ยิน เขาก็ยิ่งโมโหขึ้นไปอีก “แกหรอกหรือหลิวเฟย โลกมันช่างกลมเหลือเกิน แกเก่งอย่างนี้ไปให้ตลอดแล้วกัน ไม่งั้นคงจะไม่ต่างอะไรจากพวกไร้ค่า ! ”
มองเขาหันหลังจากไปอย่างกระฟัดกระเฟียด หลิวเฟยได้แต่ขมวดคิ้วด้วยความฉงนพร้อมกับถามตัวเองว่า ‘เขารู้จักเราด้วยหรือ ? ’