ตอนที่ 22 อยากรวยต้องกล้าเสี่ยง
ความคิดนี้ได้ผ่านเข้ามาในหัวแค่แวบเดียวเท่านั้นก็ได้ถูกเธอปัดตกไปแทบในทันที คนอย่างหลิวเฟยน่ะหรือจะคิดฆ่าตัวตาย ?
ต่อให้คนตายไปหมดทั้งโลก เขาก็คงไม่คิดจะฆ่าตัวตายหรอก !
ว่าแต่เขาหายหัวไปไหนกัน ? ก็มีแต่ตาบ้านี่แหละที่ชอบหายไปอย่างไร้ร่องรอย ทำให้เธอเกิดความรู้สึกดูถูกเขาขึ้นมาในใจ
นี่มันเท่ากับการหนีปัญหาชัด ๆ ไม่มีความรับผิดชอบเลยสักนิด
เมื่อเห็นชาวบ้านต่างก็เดือดดาลขึ้นมาด้วยความโกรธ หลิวอวี้เหลียนพยายามโน้มน้าวให้ใจเย็นลงเท่าไรก็ไม่เป็นผล เธอจึงรีบเดินไปหาหลี่อวิ๋นโหรวแล้วหารือกัน “ตาบ้านั่นหายหัวไปไหนกันนะ เขากำลังเล่นอะไรอยู่กันแน่ ? ”
หลี่อวิ๋นโหรวตอบอย่างจนปัญญา “เธอถามฉันหรือ ? ฉันจะไปรู้ได้ไง ! เดี๋ยวรออีกสัก 5 นาที หากเขายังไม่มาปรากฏตัวให้เห็นอีก เราก็เริ่มลงประชามติกันเลย ในเมื่อเขาไม่ได้อยากเป็นผู้ใหญ่บ้านมาตั้งแต่ต้น เราก็มาช่วยให้เขาได้สมปรารถนากันเถอะ”
หลิวอวี้เหลียนถอนหายใจออกมาแล้วเอ่ยต่อ “เจ็ดปีก่อนฉันยังเป็นคนที่เข้าใจเขามากที่สุดคนหนึ่ง แต่ตอนนี้ฉันกลับไม่เข้าใจเขาเลยแม้แต่นิดเดียว ช่างเถอะ ถ้าเขาอยากจะหลุดพ้นจากภาระนี้จริง ๆ เราก็ไม่ต้องพยายามเพื่อเขาอีกต่อไป เขาจะทำอะไรก็ปล่อยเขาไปเถอะ ”
สามนาทีให้หลัง ชาวบ้านส่วนมากเริ่มโวยวายว่าไม่ต้องการที่จะลงประชามติอีกต่อไป พวกเขาต้องการจะกลับกันแล้ว หลี่อวิ๋นโหรวเองก็แทบจะอดทนไม่ไหวกับสถานการณ์ตรงหน้า เธอเตรียมที่จะแจกจ่ายกระดาษ และในห้วงเวลานั้นเอง หลิวฮ่าวได้นำวัยรุ่นอายุราวสิบกว่าปีวิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อนแล้วตะโกนโหวกเหวกเสียงดัง “เกิดเรื่องใหญ่แล้ว หลิวเฟยเขา....เขาแขวนคอตายตรงแถว ๆ ทางออกทะเล สภาพช่างน่า....น่ากลัวเหลือเกิน ! ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นใบหน้าของหลี่อวิ๋นโหรวก็ซีดเผือด เธอแทบจะล้มทั้งยืน
หลี่อวิ๋นโหรวดุว่ากลุ่มวัยรุ่นด้วยความไม่เชื่อ “ไอ้พวกเด็กเลี้ยงแกะ พี่เฟยเขาจะฆ่าตัวตายได้ยังไงกัน ? ”
วัยรุ่นคนหนึ่งก็ก็พูดสวนกลับมาในทันที “จริง ๆ นะ! เขาปักราวไม้แล้วเอาเชือกรอกที่แขวนไว้ผูกคอตัวเอง เดิมทีพวกเราวางแผนจะไปเล่นแถวนั้น แต่ก็ดันไปเห็นภาพนี้เข้าเลยตกใจแทบแย่”
“รอก ? ”
เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเมื่อวานเธอเห็นหลิวเฟยซื้อรอกขนาดใหญ่มา หลี่อวิ๋นโหรวก็แทบลมจับ เธอจึงรีบเล่าเรื่องนี้ให้หลิวอวี้เหลียน เธอเองก็ตกใจจนแทบช็อกเหมือนกัน “ไม่......เป็นไปไม่ได้ ! เป็นไปไม่ได้แน่นอน ! เร็ว ! ไปช่วยเขากันทุกคน ! ”
แม้ว่าชาวบ้านจะไม่ชอบขี้หน้าหลิวเฟยสักเท่าไร แต่เมื่อได้ยินอย่างนี้พวกเขาก็อดขวัญเสียไม่ได้ พวกเขาไม่รีรอแล้วรีบตามหลี่อวิ๋นโหรวไปยังสถานที่เกิดเหตุทันที
เมื่อมาถึงตรงที่ผาสูงชันก็เห็นหลิวเฟยนอนคาบหญ้าหนุนก้อนหินใหญ่มีประกายมันวาวอยู่ใต้แสงอาทิตย์อันอบอุ่น ชาวบ้านต่างก็โมโหจนแทบจะกระอักเป็นเลือดออกมา
มันเด่นชัดอยู่แล้วว่าพวกเขาถูกไอ้หมอนี่หลอกเข้าอีกจนได้ เจ็ดปีก่อนไอ้หมอนี้มันเล่ห์เหลี่ยมเยอะ ชอบแกล้งคนอื่น เจ็ดปีให้หลังก็ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
หลิวอวี้เหลียนปาดหยาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม แล้วรีบรุดเข้าไปตรงก้อนหินก้อนนั้น จากนั้นก็กระชากคอเสื้อของหลิวเฟยขึ้นมาแล้วตะโกนด้วยความโกรธเคือง “พี่มันสารเลว พี่หลอกพวกเราทำไม ? ”
หลี่อวิ๋นโหรวก็โกรธเคืองมากเช่นเดียวกัน “นายคิดว่าสนุกมากนักใช่ไหม ? นายอายุเท่าไรแล้วห๊ะ ? ดูสารรูปนายสิมีมาดผู้ใหญ่บ้านเสียที่ไหน คนอย่างนายสมควรโดนปลดตำแหน่งไปให้สิ้นเรื่อง ! ”
หลิวเฟยผลักมือของหลิวอวี้เหลียนออก จากนั้นก็กวาดสายตาดูชาวบ้านที่มายืนรายล้อมตน เขาไม่ได้พูดอะไร แต่กลับถือถุงไนล่อนเดินไปทางกลุ่มวัยรุ่น แล้วแบ่งปลาจวดเหลืองตัวใหญ่ให้พร้อมเอ่ยชม “ทำงานได้ไม่เลวเลยนี่ ปลาจวดเหลืองพวกนี้ฉันให้พวกนายละกัน คงจะพอสำหรับมื้อเที่ยงนี้ของพวกนาย ! ”
พูดจบ เขาก็หันไปหาชาวบ้าน “ชาวบ้านที่เคารพรักทุกท่าน พูดตามจริง หากทุกคนต้องการจะถอดตำแหน่งผมเสียล่ะก็ ผมก็จะขึ้นไปแขวนคอจบชีวิตตรงนี้เสีย ! ”
พูดจบเขาก็เอามือชี้ไปที่ราวไม้ตรงหน้าผาสูงชันที่เขาได้ปักไว้ ซึ่งเป็นราวไม้ในทรงสามเหลี่ยม มีเสาที่ทำจากไม้ต้นสนคอยค้ำจุนเอาไว้ มุมหนึ่งถูกตรึงเอาไว้อย่างแน่นกับก้อนหินที่ซ่อนตัวอยู่ในโพรงลึก ส่วนอีกด้านหนึ่งมีรอกขนาดใหญ่แขวนไว้ด้านบน
ชาวบ้านคนหนึ่งได้บันดาลโทสะใส่เขา “ไอ้บ้า ! แกพูดออกมาเองนะ งั้นพวกเราก็ลงประชามติกันที่นี่ตรงนี้เลย ถอดตำแหน่งของมันเสียตรงนี้กันไปเลย ฉันจะคอยดูว่าแกจะกล้าแขวนคอตายต่อหน้าพวกเราจริง ๆ ไหม ! ”
เมื่อหนึ่งในชาวบ้านพูดแบบนั้นออกมา ชาวบ้านที่เหลือก็รู้สึกคล้อยตามกัน
หลิวเฟยยิ้มแห้งใส่พวกเขาแล้วพูดว่า “คิดไม่ถึงเลยว่าภาพลักษณ์ของผมจะแย่สำหรับทุกคนมากขนาดนี้ ทุกคนรอคอยให้ผมตายมาตั้งนานแล้วสินะ ! แต่ว่าจะต้องคิดตรึกตรองให้ดี ๆ เสียก่อน ถ้าหากผมตายไป ทุกคนจะไม่มีโอกาสได้ลืมตาอ้าปากกันหรอก ! ”
สวีเยี่ยน อาสะใภ้ของหลิวเฟยพูดต่ออย่างไม่แยแส “แกมันพวกล้างผลาญวงศ์ตระกูลยังมีหน้ามาพูดเรื่องหาเงินทองให้ชาวบ้านฟังอีกหรือ ? ฉันอยากจะหัวเราะออกมาให้ฟันหลุดเสียจริง ๆ ! ”
หลิวเฟยเอามือลูบจมูก จากนั้นก็โต้กลับไป “อาก็ยังดูถูกผมอยู่เหมือนเมื่อก่อนเลยนะ ดูเหมือนว่าวันนี้จะต้องทำให้ทุกคนเลิกดูถูกให้ได้เสียที ! ผมขอประกาศตรงนี้เลยว่าผมรับซื้อหอยแครง หอยหลอดและหอยนางรม หอยแครงกิโลกรัมละ 40 หยวน หอยหลอดกิโลกรัมละ 24 หยวน หอยนางรมกิโลละ 4 หยวน วันนี้หอยมีจำนวนจำกัด ใครจับก่อนก็ได้ก่อน ! ”
สวีเยี่ยนหันไปถมน้ำลายใส่เขาแล้วเอ่ย “เช้านี้แกไม่ได้กินยามารึไง ? กลางวันแสก ๆ ขนาดนี้จะมาทำเรื่องบ้าไรอีก จะไปหาหอยแครง หอยหลอดและหอนนางรมมาจากไหน ? ”
หลิวเฟยชี้ไปยังด้านหลังของตน
สวีเยี่ยนมองหน้าฝาสูงชันด้วยสายตาแปลก ๆ แล้วพูดจาเสียดสีหลานชาย “เพื่อนบ้านทั้งหลาย ฉันว่าทุกคนคงจะเข้าใจตรงกันแล้วสินะว่าไอ้หมอนี้มันไม่ได้จะผูกคอตาย แต่มันอยากหลอกพวกเราไปเป็นอาหารปลาในทะเล ไอ้บ้านี้มันร้ายกาจเหลือเกิน ! ”
หลิวต้าไห่ทนฟังไม่ได้อีกต่อไป เขาเลยยื่นมือออกไปปรามผู้เป็นภรรยา “พูดให้มันน้อย ๆ หน่อยก็ดี เขาเป็นหลายชายแท้ ๆ ของเรานะ แม้ว่างานการจะไม่ได้เรื่อง นิสัยแย่ขนาดไหนก็ไม่ควรทำแบบนี้กับเขา”
สวีเยี่ยนหันไปชี้หน้าผากตวาดผู้เป็นสามี “แกเป็นควายรึไง ? เรื่องบานปลายถึงขั้นนี้แล้วยังจะให้ท้ายมันอีก ! มันกับฉันเราขาดกันตั้งนานแล้ว แกยังไม่รู้อีกหรือ ? ไอ้นี่อยู่ไปก็เป็นตัวกาลกิณี ฉันอยากจะให้มันผูกคอตายไปให้สิ้น ๆ เรื่องสักที จะได้เลิกทำให้วงศ์ตระกูลของแกเสื่อมเสียสักที ! ”
“เธอ ! ”
“ธงเธออะไร ? แกจะทำอะไร ? ”
เมื่อหลิวเฟยเห็นสถานการณ์เช่นนี้เขาก็ส่ายหัวแล้วตัดบท “งั้นผมก็คงไม่อาจทำให้ทุกคนสมปรารถนาได้ ! ”
พูดจบเขาก็กระตุกเชือกที่แขวนอยู่บนรอก จากนั้นก็หย่อนเชือกลงไป
ทุกคนก็ต่างมองอย่างเงียบเชียบ ไม่รู้จริง ๆ ว่าเขากำลังเล่นอะไรอยู่กันแน่
ไม่นานนัก เขาก็ดึงถุงผ้าไนล่อนกลับมาสองถุง แล้วก็เอาไปชั่งตรงเครื่องชั่งที่วางอยู่ใต้ต้นไม้แล้วยิ้มกล่าว “ไอ้นี้มันโลภมากเว้ยเฮ้ย อันไหนแพงสุดก็เอาอันนั้น ทั้งถุงมีแต่หอยแครงน้ำหนัก 10 กิโล ขายได้ 400 หยวน อีกถุงหนึ่งก็มีหอยแครง 13 กิโล ขายได้ตั้ง 520 หยวน หาเงินมันง่ายขนาดนี้นี่เอง ! ”
หลิวเทียนป้าผู้ที่ร่ำรวยจากธุรกิจสกปรกมาโดยตลอดเมื่อได้ยินเขาพูดแบบนั้นก็อดที่จะร่วมวงสนทนาไม่ได้ “ไอ้ลูกเขย แกเล่นบ้าบออะไรอยู่เนี่ย แกมีปัญญาให้เยอะขนาดนั้นเลยหรือ ? ”
“เดี๋ยวรอแปบนะลุง”
เมื่อเห็นเชือกที่ผูกไว้กับก้อนหินกระตุกสองสามครั้ง หลิวเฟยก็รีบเดินเข้าไปแล้วดึงชายหนุ่มที่สวมเพียงกางเกงในขึ้นมา 2 คน
ซึ่งสองคนนั้นก็คืออาเหมาและซุ่นจื้อ เมื่อเห็นเช่นนั้นหลี่อวิ๋นโหรวแทบจะหมดคำพูด เจ้าหนุ่มสองคนนั้นก็มีสิทธิ์ที่จะลงประชามติ เธอก็หาตัวเขาสองคนอยู่ตั้งนาน ใครจะไปคิดถึงว่าสองคนนี้จะมาทำอะไรบ้า ๆ อยู่กับหลิวเฟย มันน่าโมโหจริง ๆ
เธอเตรียมจะพูดบางอย่าง แต่เห็นหลิวเฟยเดินเข้าไปในป่าใกล้ ๆ จากนั้นก็หยิบกระเป๋งตังค์ของตัวเองแล้วเอาเงินจำนวนหนึ่งออกมานับ แล้วแบ่งให้ชายหนุ่ม 2 คนพร้อมตบบ่าพวกเขาแล้วกล่าวขอบคุณ
“ขอบคุณนะเพื่อนที่เชื่อใจฉัน นี่คือสิ่งที่พวกนายควรจะได้รับ ! ”
อาเหมาและซุ่นจื้อนับธนบัตรใบสีแดงในมือแล้วก็พึมพำออกมาด้วยความตื่นเต้น
พวกเขาไปงมหาหอยอยู่แค่ครึ่งชั่วโมง ถุงหนึ่งทำเงินได้ตั้ง 400 หยวน ส่วนอีกถุงหนึ่งทำได้มากถึง 520 หยวน เงินพวกนี้หาง่ายเหลือเกิน !
อาเหมามองหลิวเฟยด้วยแววตาที่มีน้ำตาคลอเบ้า “เสี่ยวเฟย ฉัน.....ฉันไม่รู้จริง ๆ ว่าจะตอบแทนนายยังไงดี ตอนฟ้าสางที่นายมาหาพวกเรา พวกเรายังด่าว่านายว่าประสาทอยู่เลย แต่ตอนนี้นายได้เอาเงินมาจ่ายพวกเราจริง ๆ.....”
เมื่อหลิวเฟยเห็นเขาพึมพำฟังไม่ได้ศัพท์เลยรีบเอ่ย “พวกนายสมควรได้รับเงินก้อนนี้จริง ๆ รบกวนช่วยบอกชาวบ้านให้เข้าใจหน่อยละกัน”
ซุ่นจื้อจึงรีบพูดออกไป “พี่น้องทั้งหลาย นี่เป็นเรื่องจริง ไม่ใช่เรื่องโกหก ! หลิวเฟยได้หาตลาดสำหรับขายของพวกนี้ไว้แล้ว อีกทั้งยังช่วยพวกเรางมหอยที่ก้นทะเลอีกต่างหาก แม้ว่าพวกเรามองไปจากบนหน้าผาสูงชันนี้จะดูน่าหวาดเสียวไม่น้อย คลื่นทะเลก็เหมือนจะแรง แต่จริง ๆ ไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย ข้างผาสูงชันแห้งนี้น้ำไม่ลึกมากนัก จะหาอะไรก็มีหมด ไม่ว่าจะเป็นหอยแครง หอยหลอดหรือหอยนางรม พวกเราจะลืมตาอ้าปากกันได้แล้ว ! ”
จากนั้นอาเหมาจึงพูดเสริม “ซุ่นจื้อพูดถูก ผมว่าทุกคนเข้าใจผิดไปกันใหญ่แล้ว ที่จริงหลิวเฟยพยามหาลู่ทางให้ชาวบ้านอยู่ดีกินดีมีเงินใช้มาโดยตลอด เมื่อก่อนพวกเราทุกคนต่างก็มองเห็นว่ามันเป็นแค่น้ำตกขนาดใหญ่ แต่กลับไม่เห็นผืนมหาสมุทรที่อยู่ด้านล่าง ผมคิดว่าให้คนหนุ่มที่ว่ายน้ำเป็นลงไปดูเสียหน่อยก็ดีนะ น่าจะหาได้เยอะในเวลาไม่นาน”
เมื่อคนหนุ่มสาวได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกสนใจ พวกเขาจึงแห่เข้าไปสอบถามรายละเอียดกับสองหนุ่มนั้น แล้วสองหนุ่มก็ตอบทุกคำถามอย่างชัดเจน ส่วนหลิวเฟยนั้นนั่งเอื่อยเฉื่อยเฉย ๆ อยู่ตรงก้อนหิน ดูพอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่น้อย
หลี่อวิ๋นโหรวเอ่ยถามเขาด้วยสีหน้าสุดทึ่ง “นี่....นายคิดออกได้ยังไง ? นายจะให้ชาวบ้านเขาทำแบบนั้นกันจริง ๆ หรือ ที่นี่มันชันมากเลยนะ มันจะไม่อันตรายไปหน่อยหรือ ? ”
หลิวเฟยยิ้มแต่ก็ไม่เอ่ยอะไร
หลิวอวี้เหลียนจึงยื่นมือไปเขย่าตัวเขา จากนั้นก็ถาม “พี่เฟย ตกลงแล้วพี่มีลูกไม้อะไรกันแน่ พวกเราไม่รู้จริง ๆ ? ”
หลิวเฟยยิ้มแล้วจึงตอบ “ยังไม่เข้าใจอีกหรือ งั้นก็คอยจับตามองไปเรื่อย ๆ ก็แล้วกัน ! ”
เมื่อพูดจบเขาก็ยืนขึ้นแล้วป่าวประกาศเสียงดัง “มีใครจะสมัครอีกบ้าง ? ผมจะถามอีกครั้ง วันนี้ผมรับซื้อในจำนวนที่จำกัด ใครจับก่อนก็ได้ก่อน หากไม่เชื่อ แล้วยังลังเลอยู่ ก็คอยอยู่กับความอดอยากไว้ได้เลย ! ”
ผู้คนก็ถกเถียงกัน แล้วจู่ ๆ ชายหนุ่มสองคนก็ก้าวเดินไปข้างหน้า “อยากรวยก็ต้องกล้าเสี่ยงกันสักตั้ง พวกเราไปกันเถอะ ! ”
หลิวเฟยมองพวกเขาหัวจรดเท้า แล้วชี้ไปที่แม่น้ำซี่หลิว “เพื่อความปลอดภัยของทุกคน ผมขอกำหนดให้ผู้ที่มีคุณสมบัติที่จะว่ายน้ำลงไปนั้นต้องมีอายุระหว่าง 20 ถึง 40 ปี ขณะเดียวกันก็จำเป็นต้องมีการทดสอบความสามารถในการว่ายน้ำกันก่อน หวังว่าทุกคนจะให้ความร่วมมือ”
สองหนุ่มหันมองหน้ากันครู่หนึ่ง พวกเขาไม่ลังเลเลยสักนิด จากนั้นจึงวิ่งตรงไปยังหน้าผาแล้วกระโดดหัวปักลงไปว่ายน้ำอย่างสบายใจไร้กังวล
เมื่อหลิวเฟยเห็นอย่างนั้นก็พยักหน้าด้วยความรู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก
“ผ่านการทดสอบ ! ” เขาประกาศ
เมื่อพูดจบ เขาก็ตบบ่าของอาเหมาและซุ่นจื้อ “คงต้องรบกวนพวกนายสองคนช่วยเป็นพี่เลี้ยงให้พวกเขาด้วย เดี๋ยวฉันจะให้ค่าตอบแทนอีกต่างหาก ! ”
“เสี่ยเฟย นายพูดอะไรกัน ทุกคนมาช่วยกันหาเงินไม่ดีกว่าหรือ พวกเราให้ความร่วมมือกับนายอยู่แล้ว ประเดี๋ยวพวกเราจะช่วยสอนการงมหอยให้พวกนั้นเอง”
หลิวเฟยพยักหน้าเห็นด้วย ในขณะที่กำลังเตรียมจะส่งตัวพวกเขาลงไปนั่นเอง หลี่อวิ๋นโหรวก็รีบบอกห้ามเสียก่อน “ไม่ได้ ฉันขอคัดค้าน ! ทำแบบนี้มันอันตรายมากเกินไป ถ้าเกิดว่ามีใครตายขึ้นมา นายจะรับผิดชอบไหวหรือ ? ”
“ฉันจะรับผิดชอบด้วยชีวิตของฉัน” หลิวเฟยตอบกลับอย่างหนักแน่น แล้วย้อนถามกลับ “เธอรู้ไหมทำไมหมู่บ้านหลิวถึงข้ามผ่านความจนไม่ได้สักที ? เพราะทุกคนล้วนแต่ไร้ชีวิตชีวา ขาดศักยภาพที่จะเป็นผู้บุกเบิก ขาดความกล้าและทัศนคติที่จะลองสิ่งใหม่ ๆ ! ฉันได้ทำแพไม้ไผ่ไว้ให้หยุดพักสองอันลอยอยู่ด้านล่าง และยังให้อาเหมาและซุ่นจื้อเตรียมห่วงยางไว้ให้อีกต่างหาก และอีกอย่างคนที่คัดไปก็เป็นพวกที่ว่ายน้ำเก่งทั้งนั้น คงจะไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรอก”
“แต่ว่า.....”
“ไม่มีแต่ว่า หากเกิดเรื่องอะไรฉันจะรับผิดชอบคนเดียวทั้งหมด ไม่เกี่ยวอะไรกับเธอทั้งสิ้น ! ”
เมื่อพูดจบ หลิวเฟยก็ส่งสองหนุ่มพี่เลี้ยงลงไป ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง หลิวเฟยก็ดึงถุงไนล่อนขึ้นมา 2 ถุง เมื่อเห็นว่าในถุงมีทั้งหอยแครง หอยหลอดและหอยนางรมคละกันไป หลิวเฟยก็ยิ้มด้วยความชื่นมื่น เพราะพ่อหนุ่มมือใหม่สองคนนี้ซื่อสัตย์เหลือเกินที่ไม่เก็บหอยชนิดที่ราคาสูงที่สุดขึ้นมาทั้งถุง !