ตอนที่ 30 วิธีกำจัดศัตรูที่ต่ำช้าที่สุด
ทะเลไร้คลื่นซัดสาด ไร้ซึ่งเสียงร้องยินดีของนก ไร้ซึ่งเสียงโวยวายของเหล่าชาวบ้านเช่นกัน กลางคืนที่เงียบสงัดของเขาไห่หมิงเสมือนหนึ่งดินแดนในอุดมคติทั่วไป
แต่ว่าในค่ำคืนนี้ บรรยากาศที่เงียบสงัดกลับถูกทำลายลงด้วยเสียงคำรามของลมกระบี่ กลิ่นอายจิตสังหารเข้มข้นมากขึ้นทุกที
กรงเล็บเหล็ก แหลมคมและรุนแรง
กระบี่อ่อน ยืดหยุ่นและปราดเปรียว
อาวุธสองชิ้นนี้เมื่อเข้าคู่กันจะทรงพลานุภาพอย่างยิ่ง หากผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ทั่วไปถูกโจมตีด้วยกระบี่อ่อนอย่างว่องไวเช่นนี้ เกรงว่าคงมีรอยแผลนับไม่ถ้วนไปนานแล้ว
หลิวเฟยถึงแม้จะดูเหมือนตกอยู่ในที่นั่งลำบากแต่กลับไม่เป็นอะไร สิ่งนี้ทำให้หลิวอวี้เหลียนและหลิวอวิ๋นโหรวต่างประหลาดใจเป็นพิเศษ โดยเฉพาะหลิวอวี้เหลียนที่ตอนนี้นับว่าเธอเข้าใจแล้วว่าทำไมเมื่อสักครู่ชายสามคนถึงได้พูดแบบนั้น ฝีมือของเขาและเธอเมื่อเปรียบเทียบกันสูงกว่าไม่ใช่แค่น้อยนิดแน่ แบบนี้เธอจะปกป้องเขาไหวได้อย่างไร
เขาเก็บซ่อนความสามารถของตนเอาไว้ได้อย่างมิดชิดจริง ๆ
หากว่าเป็นเวลาปกติ เกรงว่าเธอคงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟไปนานแล้ว แต่ในตอนนี้เธอโกรธไม่ทันแล้ว เธอกัดฟันกรอด พร้อมคำรามและพุ่งตรงไปที่พวกเขา
หลิวเฟยที่เห็นสถานการณ์แบบนี้จึงรีบตะโกนว่า "อย่าเข้ามา ! "
หลิวอวี้เหลียนหยุดก้าวเท้าทันที เธอพูดด้วยสีหน้าร้อนใจ "แต่ว่าพี่......"
“พวกมันฆ่าฉันไม่ได้หรอก เธอยืนดูฉากสนุก ๆ อยู่ข้าง ๆ ก็พอแล้ว”
"ไอ้ลูกเต่า ขี้โม้หน้าไม่อายจริง ๆ ฉันล่ะอยากจะหัวเราะให้ฟันร่วง ! หลิวเฟย วันนี้คือวันตายของแก ! "
"แกมันกำเริบเสิบสานอย่างที่พวกฉันคิดจริงด้วย แกยังจะยืนบื้ออยู่ทำไม ? ไม่คิดจะหัดฟาดกระบองของแกหน่อยหรือ ! "
……
หลิวอวี้เหลียนฟังแต่ไม่ได้เข้าผสมโรง แต่ว่าคำพูดของหลิวเฟยนี้ได้ไปกระตุ้นชายชุดดำทั้งสามอย่างไม่ต้องสงสัย คนที่ถือกระบองสองท่อนส่งเสียงเหอะออกมาทันที แล้วควงกระบองสองท่อนขึ้น ดูราวกับปีศาจร้าย จากนั้นก็ทุบอย่างแรงไปทางด้านหลังของเขา
หลิวเฟยตาดุจเหยี่ยวมองเสยขึ้น สองหูกระดิกไปมา เขาสามารถเอียงกายหลบในชั่วพริบตา ยังไม่ทันได้หายใจ กระบองคู่ก็ฟาดมาถึงตัวอีกครั้ง
เขาถอยแล้วถอยหลังอีก กรงเล็บเหล็กสองด้ามเงาแวววับที่ไร้สิ่งใดเปรียบได้แหวกความมืดจู่โจมมาจากทางด้านหลังของเขา
หลิวอวี้เหลียนและหลี่อวิ๋นโหรวที่เห็นสถานการณ์นี้เขาก็ตะโกนออกมาพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย "ระวังข้างหลัง ! "
หลิวเฟยกระตุกมุมปากขึ้นเล็กน้อย และไม่ถอยอีกแล้ว อีกทั้งเขายังยืนอยู่ที่เดิมหลบซ้ายหลบขวา ช่วงขณะนั้น รอบกายเขาดูเหมือนกับมีสายฟ้าแลบนับไม่ถ้วนกำลังวิ่งพ่าน เป็นไปได้ว่าอาจจะพุ่งใส่เขาเมื่อไหร่ก็ได้ จากนั้นสิ่งที่ทำให้เธอทั้งคู่ประหลาดใจก็คือนอกจากเสื้อที่ถูกคมมีดเฉี่ยวจนฉีกขาดของเขาแล้ว ทั้งร่างกายของเขากลับนั้นไม่เป็นอะไรเลยสักนิด
ความรู้สึกกับฉากที่เห็นตรงหน้านี้ มันเหมือนเขากำลังเสี่ยงตายโดยเต้นรำบนเส้นลวด กำลังยืนกลับหัวอยู่ขอบผาสูงชัน กำลังไถลลื่นอยู่บนแผ่นน้ำแข็งบาง ๆ ราวกับรู้สึกถึงอันตรายจะเกิดขึ้นได้ทุกวินาที แต่กลับไม่มีสิ่งใดทำอันตรายเขาได้
ความเสี่ยงและความตื่นเต้นที่แฝงอยู่ข้างในนี้ เกรงว่าคงมีแต่ในใจของหลิวเฟยเท่านั้นที่รู้ดีที่สุด
หลี่อวิ๋นโหรวกำหมัดแน่นแล้วพูดว่า "ที่จริงแล้วเขาสู้พวกนั้นได้ หรือสู้พวกนั้นไม่ได้กันแน่ ฉันหัวใจจะวาย ! "
หลิวอวี้เหลียนขมวดคิ้วแน่นแล้วพูดว่า "จนถึงกระทั่งตอนนี้ก็เอาแต่ป้องกันการโจมตี ถึงแม้จะหวาดเสียว แต่กลับไม่ได้รับบาดเจ็บ หากดูจากตรงนี้ฝีมือของเขาน่าจะดีกว่าถึงจะถูก แต่ทำไมเขาถึงไม่โจมตีกลับไปล่ะ ? ฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน หรือว่ากำลังสนุกอยู่ ? "
หลี่อวิ๋นโหรวตะลึงตาค้างพูดไม่ออก "สนุกหรือ ? นี่มันเวลาไหนแล้ว เขายังนึกสนุก ! หากว่ากระบี่แทงถูกตัวเขา......"
เธอยังพูดไม่ทันขาดคำ คนที่ถือกระบี่อ่อนฉวยโอกาสในตอนที่หลิวเฟิงกำลังต่อสู้กับอีก 2 คน สะบัดกระบี่ออกไปทันที โดยเล็งตรงไปที่ขั้วหัวใจของเขา
หลี่อวิ๋นโหรวร้องด้วยความตกใจ เธอเอาสองมือปิดปาก หลิวอวี้เหลียนตกใจจนหน้าถอดสีเช่นกัน เพราะกระบี่เล่มนี้พุ่งไปอย่างฉับพลัน รวดเร็วและดุดัน ความสนใจทั้งหมดของหลิวเฟยในตอนนี้อยู่ที่มือกรงเล็บเหล็กและมือกระบองสองท่อน เหมือนจะไม่ได้สังเกตเห็นถึงการซุ่มโจมตีครั้งนี้เลยสักนิด
10 เซนติเมตร !
5 เซนติเมตร !
2 เซนติเมตร !
……
เนื่องจากหลี่อวิ๋นโหรวและหลิวอวี้เหลียนยืนค่อนข้างห่างจากพวกเขา อีกทั้งดวงจันทร์ในคืนนี้ยังมืดสลัว มองจากมุมของพวกเธอแล้ว กระบี่อ่อนได้แทงเข้าไปในร่างของหลิวเฟยแล้ว หลิวเฟยเองเดิมทีก็ไม่อาจจะหลบได้ทัน
แต่ทว่าปาฏิหาริย์ได้เกิดขึ้นในฉากนี้อีกครั้ง หลิวเฟยเพียงแค่เคลื่อนตัวเล็กน้อย กระบี่ยาวเล่มนั้นที่แทบจะถึงหน้าอกของเขาได้แฉลบผ่านไปและแน่นอนว่าเสื้อเชิร์ตของเขาต้องประสบกับหายนะอีกครั้ง ใช่แล้ว ! เสื้อของเขาถูกฟันขาด !
เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ หลิวอวี้เหลียนตะโกนด่ายกใหญ่ "หลิวเฟย พี่มันคนงี่เง่า ทำอะไรอยู่เนี่ย จัดการพวกเขาสิ ! "
หลิวเฟยเหมือนจะไม่ได้ยิน หรือบางทีอาจจะแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน เขาหลบซ้ายขวาต่อไป ในขณะเดียวกันก็รับมือกับอาวุธทั้งสามอย่าง
"ฉึบ ฉับ ฉับ ! "
"ปัง ปัง ปัง ! "
"สวบ สวบ สวบ ! "
……
เสียงชุลมุนวุ่นวายดังมาสักพักหนึ่ง แต่ท่ามกลางเสียงนั้นราวกับว่ามีกฎเกณฑ์ หลิวเฟยเหมือนดั่งมังกรคะนองน้ำ ราวกับฟ้าแลบ เขาโต้ตอบสามคนอย่างสุดความสามารถยาวนานถึง 10นาที
ใช่แล้ว ผ่านไป 10 นาทีแล้ว ชายชุดดำทั้งสามคนต่างเหงื่อไหลไคลย้อย ในใจร้อนเหมือนไฟเผา แต่หลิวเฟยยังคงหลบบิดพลิ้วไปมาอย่างสบายอกสบายใจ
เมื่อเวลาผ่านไป พวกชายชุดดำยิ่งสู้ก็ยิ่งรู้สึกว่าหลิวเฟยคนนี้น่ากลัวนัก ไอ้หมอนี่มันโรคจิตเกินไปแล้ว ! แทนที่จะบอกว่ามันกำลังยั่วยุเย้ยหยัน ไม่สู้บอกว่าตั้งใจทำให้พวกเขาอับอายขายขี้หน้า ด้วยการทำให้พวกเขาได้แต่ รัวกระบี่ รัวกระบองใส่ แต่กลับทำอะไรหลิวเฟยไม่ได้
หลิวเฟยเห็นว่าการบุกโจมตีของพวกชายชุดดำนั้นลดกำลังลง เขาจึงยิ้มเยาะเล็กน้อยแล้วพูดว่า "ดูเหมือนว่าจะได้เวลาลงมือแล้ว ! ฉันจะสอนพวกแกเองว่ากรงเล็บเหล็ก กระบองสองท่อนและกระบี่อ่อนควรใช้งานยังไง ! "
พูดจบ เขาพุ่งไปที่ข้างกายคนถือกระบองสองท่อนทันที สองกำปั้นของเขายื่นออกไปพร้อมกัน ใช้เวลาไม่ถึงสิบวินาทีก็แย่งกระบองสองท่อนมาไว้ในมือเขาแล้ว จากนั้นก็ใช้กระบวนท่าที่คนชุดดำคุ้นเคยที่สุดโจมตีสวนกลับไป
คนชุดดำหลบไปหลบมา พลางตะโกนเสียงดัง "ไอ้สารเลว แกแอบเรียนกระบวนท่าของฉัน แกสองคนมัวยืนเซ่ออยู่ทำไม ช่วยฉันสิ เอื้อก......"
เขายังพูดไม่ทันจบ หลิวเฟยก็เล่นงานสามคนเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ทันใดนั้นกระบองท่อนหนึ่งได้ฟาดไปที่ขาของชายชุดดำเจ้าของกระบอง ตอนนี้ชายชุดดำสติหลุดไปแล้ว เขาไม่ได้หลบแต่อย่างใด นอกจากร้องโหยหวนแล้วทรุดขาข้างหนึ่งลงกับพื้น
คนชุดดำอีกสองคนรีบเร่งเข้าไปช่วย ทว่าหลิวเฟยยังคงเล่นงานมือถือกระบองสองท่อนอย่างเมามันส์พร้อมทั้งจัดการสองคนที่เข้ามาใหม่ เวลาผ่านไปเพียงชั่วครู่เดียว ทั้งสามคนต่างถูกเล่นงานจนร้องอย่างเวทนาครั้งแล้วครั้งเล่า
หลิวอวี้เหลียนและหลี่อวิ๋นโหรวมองดูฉากนี้ พร้อมกับร้องตะโกนออกมาด้วยความดีใจ พวกเธอตะโกนส่งเสียงเชียร์ไม่หยุด ราวกับกำลังดูฉากบู๊ในหนัง หลิวอวี้เหลียนดีใจจนเกินเหตุ ถึงขนาดอดใจไม่ไหวทำท่าชกหมัดตามไปด้วย…...
เมื่อเล่นกระบองสองท่อนจนเบื่อแล้ว หลิวเฟยก็โยนทิ้งและไปแย่งกระบี่อ่อนในมือของคนชุดดำอีกคนมา พร้อมเล่นงานเจ้าของกระบี่อย่างดุดันเช่นเคย เวลาเพียงชั่วครู่ เสื้อผ้าของชายชุดดำสามคนขาดรุ่งริ่งอย่างกับขอทาน ดูจนตรอกยิ่งกว่าหมาเสียอีก
พอเล่นกระบี่อ่อนเบื่อแล้ว เขาก็เข้าไปต่อสู้กับชายชุดดำที่ใช้กรงเล็บเหล็ก ทันใดนั้นเขาก็ดีดกระบี่ในมือของตัวเองให้กระแทกที่แผงอกของชายที่ใช้กรงเล็บเหล็ก ส่วนเขาก็พลิกตัวมาล็อคคอชายกรงเล็บเหล็กเอาไว้พร้อมกับเอาดาบพาดที่คอของชายคนนี้ "มอบกรงเล็บเหล็กออกมาซะดี ๆ เถอะ ! "
ชายชุดดำกัดฟันพูดด้วยความโกรธ "ทหารยอมตายไม่ยอมเสียเกียรติ แน่จริงแกฆ่าฉันเลยสิ ! "
หลิวเฟยหัวเราะ เขาโยนกระบี่ทิ้ง พร้อมสละมือข้างหนึ่งที่ล็อคตัวไว้ไปแย่งกรงเล็บเหล็กของเขา ทำให้พวกเขาสามคนอับอายขายหน้าและได้รับความอัปยศอีกครั้ง
ในครั้งนี้ทั้งสามคนเตรียมใจที่จะตายไว้แล้วจริง ๆ
สำหรับผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้แล้ว ในโลกใบนี้วิธีที่น่าอัปยศอดสูที่สุดคงไม่พ้นการที่แพ้ให้กับคนอื่นที่ใช้กระบวนท่าต่อสู้ของตัวพวกเขาเอง
ซึ่งหลิวเฟยทำแบบนั้นล่ะ
เขาไม่เพียงแต่หาช่องโหว่ในกระบวนท่าการต่อสู้ของพวกชายชุดดำทั้งสามคนได้สำเร็จ อีกทั้งยังเรียนปุ๊บใช้ปั๊บ ใช้กระบวนท่าที่แตกต่างกันของพวกเขาสามคนทำให้พวกเขาแพ้ราบคาบ
ต่ำช้ามากจริง ๆ แต่ว่านี่ก็เป็นคำอธิบายมากพอที่จะบอกว่าหลิวเฟยแข็งแกร่งมากกว่าที่พวกเขาได้ยินมา !
หลังจากที่หลิวเฟยเล่นจนหนำใจแล้ว เขาโยนกรงเล็บเหล็กทิ้ง แล้วนำเชือกมาผูกพวกเขาทั้งสามคนไว้ จากนั้นหัวเราะและเดินไปถึงตรงหน้าหลิวอวี้เหลียนและหลี่อวิ๋นโหรว "ทำให้พวกเธอเป็นห่วงแล้ว ฉันไร้ความสามารถแล้วล่ะ ! "
หลิวอวี้เหลียนหันไปทางเขาแล้วตียกใหญ่ พลางพูดอย่างโกรธเคือง "พี่มันคนหลอกลวง พี่ไม่ชำนาญศิลปะการต่อสู้ไม่ใช่หรือ ? "
หลิวเฟยไอแห้ง ๆ "ตั้งแต่เล็กเธอก็ชอบปกป้องฉันไม่ใช่หรือ ? ฉันทำแบบนี้ไม่ใช่ว่าเพื่อเติมเต็มความปรารถนาที่จะปกป้องของเธอหรอกหรือ ? "
"พี่ ! "
หลี่อวิ๋นโหรวเม้มปาก ในตามีแววแห่งความสับสนในขณะที่มองไปทางเขา "เวลา 7 ปีมานี้นายไปทำอะไรกันแน่ ? ทั้งชำนาญวิชาแพทย์และการต่อสู้ ยอดเยี่ยมทั้งสองอย่าง ร้ายกาจเกินไปแล้ว"
หลิวเฟยทำหน้าถ่อมตัวทันที “ไม่กล้าหรอก ชมกันเกินไปแล้ว”
พูดจบ เขารีบเดินไปยังห้องนอนหยิบเข็มเงินมาหลายเล่ม จากนั้นมาอยู่ตรงหน้าชายชุดดำทั้งสามคนแล้วพูดขึ้นว่า "คงจะยอมสิโรราบกันแล้วสินะ ? บอกมาเถอะ ใครส่งพวกแกมา ? "
ชายคนหนึ่งจ้องเขาด้วยสายตาที่โกรธเคืองแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "จะฆ่าจะแกง เชิญตามสบาย พวกเราไม่บอกหรอก ! "
"ปากแข็งจริงนะ ถ้าอย่างนั้นอย่ามาโทษฉันแล้วกัน"
หลิวเฟยแกว่งมือเบา ๆ ฉับพลันเข็มเงินเล่มเล็กได้แทงทะลุเข้าไปในเอวของชายชุดดำ ชายชุดดำหัวเราะเสียงดังออกมาทันที แต่หัวเราะยังไม่ถึงสองครั้ง เขาก็พุ่งเอาหัวกระแทกพื้นทันที ทำให้ตัวเองหมดสติไปอย่างนั้น
หลิวเฟยส่ายหัว เขาพูดอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก "ดูเหมือนมีการเตรียมตัวมาดีนี่ แบบนี้ก็ไม่ต้องถามแล้ว จะต้องเป็นหลิวต้าหุ้นส่งมาแน่ ยังไงก็ส่งตัวให้ทางตำรวจไต่สวนเถอะ"
เขาโทรศัพท์ไปแจ้งความ โหลวหลวนพาหานอิงและกลุ่มตำรวจมาที่นี่ด้วยตัวเอง หลังจากทำความเข้าใจสถานการณ์ก็เข้าสอบสวนทันที แต่ว่าชายชุดดำทั้งสามคนปิดปากไม่ยอมบอกว่าใครเป็นคนบงการ ด้วยความจนปัญญา พวกเขาทําได้เพียงแค่พาพวกนั้นกลับไปที่สถานีตำรวจก่อนแล้วค่อย ๆ สอบสวนทีหลัง
ก่อนจะเดินทาง หานอิงจ้องมองหลิวเฟยติดต่อกันอยู่หลายครั้ง แต่ไม่พูดอะไร
หลิวเฟยเห็นดังนั้นจึงหัวเราะ "ทำไม ? เธอยังจะอยากกราบฉันเป็นอาจารย์หรือไง ? สายไปแล้วล่ะแม่สาวน้อย ! "
หานอิงเบะปากหน้าแดงเล็กน้อย "ใครจะกราบนายเป็นอาจารย์กัน นายรอก่อนเถอะ ฉันต้องพิสูจน์ความจริงของนายให้ได้"
หลิวเฟยตอบกลับ "คุณตำรวจหานอิง เธอเข้าใจอะไรผิดอยู่หรือเปล่า ปล่อยพวกเขาที่มีความผิดแบบนี้โดยไม่สอบสวน แต่เธอมาสอบสวนฉันทำไม ? ฉันแค่ปฏิบัติตามกฎหมาย เป็นชาวนาที่ดี ที่ซื่อสัตย์ไร้เล่ห์เหลี่ยม เธอจะรังแกฉันไม่ได้นะ ! "
"นาย......หึ ! "
ดวงตากลมโตแป๋วของหานอิงถลึงมองเขา เธอสบถด้วยความไม่พอใจ แล้วเดินจากไปอย่างกระฟัดกระเฟียด
หลิวเฟยหัวเราะ ใบหน้าไร้เดียงสา และตาใสแจ๋วที่กำลังขุ่นเคืองของเธอนี้ยิ่งดูยิ่งรู้สึกเหมือนเด็กสาวที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ทำให้อดที่จะแกล้งเย้าแหย่เธอเล่นไม่ได้
คนของทางตำรวจจากไปแล้ว หลิวอวี้เหลียนและหลี่อวิ๋นโหรวบีบเขาให้เดินไปชนมุมฝาผนังห้องนอน แล้วสองสาวก็รีบ “ไต่สวน” เขาทันที
หลิวเฟยเอาสองมือกอดอกด้วยท่าทีที่ระมัดระวังตัวอย่างยิ่ง "คนสวยทั้งสอง พวกเธอคิดจะทำอะไร ? หรือว่าจะลวนลามฉันหรือ ! "
หลิวอวี้เหลียนเตะขาเล็ก ๆ ของเธอไปที่ขาของเขา "เลิกทำตัวล้อเล่นได้แล้ว พี่จะพูดหรือไม่พูด ? "
หลิวเฟยพูด "ไม่มีอะไรให้พูดจริง ๆ ฉันอยู่ข้างนอกถูกรังแกจนชินแล้ว ด้วยความโมโหจึงไปเรียนการต่อสู้มานิดหน่อย ไม่ใช่ว่าฉันฝีมือดีอะไรมาก แต่ชายชุดดำสามคนนั้นที่ฝีมือแย่เกินไปต่างหากล่ะ ! "
หลิวอวี้เหลียนไม่พูดพร่ำทำเพลง เธอเตะไปที่กลางหว่างขาของเขา ทว่าหลิวเฟยตอบสนองอย่างรวดเร็ว เขาจับขาเธอไว้ทันที ในใจรู้สึกผวาและพูดว่า "โหดร้าย เธออยากให้ฉันสูญพันธุ์อย่างนั้นหรือ ? "
หลิวอวี้เหลียนส่ายหัวแล้วพูด “พี่กำลังแกล้งไขสือ ! พี่เห็นว่าฉันตาบอดหรือไง ฝีมือของสามคนนั้นแย่เกินไปตรงไหน ? ฝีมือของพวกเขาสูงกว่าพวกบอดี้การ์ดของคนรวยอยู่ตั้งหลายขั้น ! และพี่ดูตัวพี่เองก่อนเถอะ ตอบสนองฉับไวขนาดนั้น จะเป็นแค่ผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ทั่วไปได้ยังไง ? อย่ามาโกหกฉันนะ ! ”
หลิวเฟยเอามือกุมขมับแล้วพยายามบอกปัด “พวกเธอไม่ง่วงไม่เหนื่อยเลยหรือเนี่ย ? หากมีเรื่องอะไร พวกเราค่อยคุยกับพรุ่งนี้ดีไหม ? ”
หลิวอวี้เหลียนครุ่นคิดพลางขบฟัน เธอโอบรัดกอดเขาไว้แน่นเหมือนปลาหมึกยักษ์ที่ต้องการรัดเหยื่อให้ตายแล้วพูด ว่า “หากพี่ไม่พูด ฉันก็จะรัดพี่ไว้อย่างนี้ รัดพี่ไว้จนกว่าจะพูด ! ”
หลี่อวิ๋นโหรวเห็นท่าทางของเธอก็หันหน้าหนีด้วยความกระดากใจ
หลิวเฟยรู้สึกร้อนรุ่มใจทันที เดิมทีอากาศก็ร้อนมากอยู่แล้ว อีกทั้งสองสาวนี้ก็ใส่เสื้อน้อยชิ้น เธอกอดเขาไว้แบบนี้ คิดจะยุยงให้น้องชายของเขาตื่นขึ้นมาหรือไง ?