ตอนที่ 32 ห้องประชุมสุดวุ่นวาย
กลางห้องลับใต้ดินในบ้านพักต่างอากาศย่านชานเมืองเฟิ่งหวง
หลิวเป้ากำลังยืนก้มหัวอยู่ต่อหน้าชายชุดสูทสวมรองเท้าหนัง ชายคนนั้นไม่ใช่ใครอื่น เขาก็คือหลู่อิงปิน
หลายปีมานี้ ที่หลิวเป้ากล้าก่อกรรมทำชั่วอยู่ในเมือง ใช้อำนาจบาตรใหญ่ นั่นเป็นเขามีความสัมพันธ์ลับที่ไม่อาจแพร่งพรายกับตระกูลหลู่ที่คอยหนุนหลังเขา
แน่นอนว่าเพื่อเป็นการตอบแทน เขาต้องยอมทำเรื่องสกปรกบางอย่างเพื่อตระกูลหลู่
พูดกันตามจริง ตระกูลหลู่ก็คือบ่อเงินบ่อทองของเขา หรือเขาก็คือสุนัขรับใช้ตัวหนึ่งของตระกูลหลู่
เมื่อก่อน ตระกูลหลู่ให้เขาทำงานมืดบางอย่าง เขายังต้องคิดพิจารณาก่อน แต่สำหรับเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องคิดเลยสักนิด
เพราะคนที่ตระกูลหลู่ต้องการจัดการเป็นคนเดียวกันกับที่เป็นศัตรูของเขา
เรื่องราวในโลกใบนี้บางครั้งก็ช่างบังเอิญแบบนี้ หลิวเป้าคิดไม่ถึงว่าหลิวเฟยที่เพิ่งกลับมา นอกจากจะมีเรื่องบาดหมางกับเขาแล้ว ยังทำผิดต่อคุณชายใหญ่ตระกูลหลู่ด้วย แบบนี้คือหาเรื่องใส่ตัว รนหาที่ตายแล้ว !
เดิมทีเขาคิดว่าการร่วมมือกับตระกูลหลู่ ครั้งนี้หลิวเฟยจะต้องตายยังไม่ต้องสงสัย แต่ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาเหลือเชื่อก็คือพอเขาส่งยอดฝีมือไปสามคน กลับถูกจับกุมไปทั้งหมด หลังจากหวังไฉถูกจับ ทำให้ส่งผลกระทบต่อเขาเป็นอย่างมาก
เขาก้มหัวเงียบอยู่นาน แล้วพูดอย่างประหม่า “ถ้าอย่างนั้น......สามคนนั้นสารภาพไหมครับ ? ”
หลู่อิงปินทุบแก้วชาในมือสุดแรง พลางตะโกนอย่างโกรธเคือง “มันเป็นคนไม่เอาอ่าวแบบที่แกว่าหรือ ? ฉันส่งคนไปสืบ เล่ากันว่าหลิวเฟยล้มสามคนนั้นด้วยตัวคนเดียว นั่นเป็นสามคนที่ฝีมือการต่อสู้ดีที่สุดในบรรดาผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ที่ตระกูลหลู่ของพวกเราว่าจ้างมาแล้ว หลายปีมานี้ พวกเขาไม่เคยแพ้ใครมาก่อนเลย ! "
หลิวเป้าที่ก้มหัวอยู่ยิ่งก้มต่ำลงไป แล้วพูดอย่างหวาดกลัวจนตัวสั่น “เมื่อเจ็ดปีก่อน เขาเป็นคนไม่เอาอ่าวเอ้อระหายลอยชายไปมาจริง ๆ แถมยังขี้กลัวอีกด้วย แต่หลังจากกลับมาครั้งนี้ เหมือนกับเขาเปลี่ยนป็นคนละคนเลย ผมเองก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะไม่เพียงแต่มีฝีมือการแพทย์เท่านั้น ทักษะการต่อสู้ของเขาก็ดีมากอีกด้วย”
สักพักนึงเขาก็พูดต่อ “เรื่องที่ผมกังวลที่สุดคือหากเขาใช้วิธีที่ทำกับผมและหวังไฉจัดการสามคนนั้นให้รับสารภาพ พวกเขาสามคนจะต้องซัดทอดถึงคุณ แบบนี้ก็ยุ่งยากแล้ว”
หลู่อิงปินมองดูเขาด้วยสายตาเหยียดหยาม “นายคิดว่าทุกคนจะโง่เขลาแบบนายหรือ ? พวกเขาสามคนจงรักภักดีต่อตระกูลหลู่ของพวกเรา ไม่มีทางขายพวกเราแน่ และก่อนจะออกเดินทาง นายก็ได้ป้องกันเรื่องนี้แล้วไม่ใช่หรือ ? ”
หลิวเป้าพูด “ตอนนั้นหลังจากที่ผมดูฝีมือของพวกเขาแล้ว ผมคิดว่าฝีมือต่อสู้ของหลิวเฟยไม่เลว แต่ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาสามคนคงกำจัดเขาได้แน่ ดังนั้นจึงแค่เตือนเล็กน้อยเท่านั้น ใครจะไปคาดคิดว่าไอ้หลิวเฟยเพียงคนเดียวจะจัดการพวกนั้นได้อย่างง่ายดาย คุณคงไม่รู้ เคล็ดลับร้ายกาจของเขาคือทำให้คนทั้งหัวเราะทั้งจั๊กจี้ รู้สึกอย่างกับตายทั้งเป็น ! หลังจากที่ผมถูกเขาทรมานครั้งนั้น หลายวันมานี้ผมได้แต่ฝันร้ายทุกคืน ! "
หลู่อิงปินขมวดคิ้วแล้วพูด “ขนาดนั้นเชียว ? ”
“นี่มันเวลาไหนแล้ว ผมยังจะหลอกคุณทำไมกันล่ะ ? ”
ได้ฟังเขาพูดเช่นนั้น หลู่อิงปินก็หมดความมั่นใจแล้ว เขาเงียบไปสักพักแล้วพูดต่อ “ฉันจะส่งคนไปสืบอีกครั้ง พวกเขาคงไม่ทำแบบนั้น คนรับใช้ตระกูลหลู่ของพวกเรา ความจงรักภักดีมาเป็นลำดับที่หนึ่ง แต่เพื่อเป็นการป้องกันไว้ ฉันจะให้คนเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์นี้ ตอนนี้เราแหวกหญ้าให้งูตื่นแล้ว ช่วงนี้นายก็หลบซ่อนตัวอยู่ที่นี่ไปก่อนเถอะ ไม่อย่างนั้นถ้าถูกหลิวเฟยจับได้ คงรอดกลับมายากแน่ ! "
“แล้วคุณล่ะ ? ”
“แม้ว่ามันจะสงสัยฉันก็ตาม แต่มันจะทำอะไรฉันได้ ? ครั้งนี้พวกเราประมาทมันเกินไป ฉันจะส่งคนไปตรวจสอบเบาะแสของมันให้ละเอียด ตอนนี้พวกเราไม่เข้าใจมันเลยสักนิด การต่อกรกับมันแบบนี้ทำให้เราเสียเปรียบเกินไปแล้ว ! "
หลิวเป้าพยักหน้าแล้วพูดรับ “ผมนึกไม่ถึงจริง ๆ ว่าเวลาเจ็ดปีจะทำให้คนหนึ่งเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ แต่ในช่วงเวลานั้นต้องมีอะไรซ้อนอยู่แน่ แต่ว่าคุณชายหลู่ คุณวางใจเถอะ ผมและเขาตอนนี้จะไม่ยอมอยู่ร่วมใต้ฟ้าเดียวกัน ขอแค่สืบเบาะแสของเขามาชัดเจน ผมจะนำเขาอยู่ก้าวหนึ่งและจะฆ่าเขาด้วยตัวผมเองนี่แหละ”
หลู่อิงปินยืนขึ้นแล้วตบบ่าของเขา “ถ้าได้แบบนั้นจะดีมาก ! นายต้องเข้าใจ ถึงมันจะยอดเยี่ยมแค่ไหน ก็เป็นเพียงแค่มนุษย์คนหนึ่ง มีเนื้อหนัง จะสู้กระสุนปืนได้ไหม ? คิดจะสู้กับฉัน ฉันจะทำให้มันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองตายยังไง ! "
“คุณพูดถูกต้อง ถ้าแบบนี้โรงแรมซันริชทางนั้น ? ”
“ในเมื่อไอ้แก่นั่นกล้ากลับคำ กล้าเป็นศัตรูกับตระกูลหลู่ของพวกเราอย่างโจ่งแจ้ง หลังจากนี้ไป การร่วมมือกันทั้งหมดของพวกเขาและตระกูลของฉันถือว่ายุติ อีกอย่าง ช่วงนี้ฉันจะส่งคนหลายคนไปโรงแรมของพวกเขา ให้ทำเรื่องน่าขยะแขยงกับพวกเขา รอให้ถึงเวลาที่เหมาะสม ฉันต้องสั่งสอนไอ้แก่คนนั้นให้สาสม ! ”
……
ที่ห้องประชุมในที่ทำการตำบลโซ่วเฉิง
หลิวเฟยและหลี่อวิ๋นโหรวมาถึงต้องประชุมกันตั้งแต่เช้าตรู่ พวกเขานั่งอยู่บนเก้าอี้ด้านหลังของโต๊ะกลม
หลิวเฟยไขว้ขาทั้งสองข้าง พลางเอาสองมือกอดอก พริ้มตาเหมือนหลับไป
เมื่อเห็นสภาพนี้ หลี่อวิ๋นโหรวจึงพูดแขวะเขา “ผู้ใหญ่บ้านหลิว นายยังจะก่อเรื่องแบบไหนกัน ? ขอร้องล่ะ นายช่วยมีสติหน่อย วันนี้พวกเรามาพบนายกตำบลคนใหม่ครั้งแรก เรื่องที่ประชุมก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับหมูบ้านหลิวของเรา ท่าทางของนายแบบนี้ ตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านยังอยากจะเป็นอยู่ไหม ? ”
หลิวเฟยพูดอย่างขอไปที “ที่ผ่านมานี้ฉันก็ถูกให้ลาออก ไม่ก็ปลดออกตำแหน่งมาตลอดไม่ใช่หรือ ? ก็ยังมีชีวิตอยู่ดีมาตลอดนี่ เธอจะบอกว่าเธอตื่นเต้นหรือ ? สงบใจไว้ก็พอ ! "
หลี่อวิ๋นโหรวพูดอย่าวกระอักกระอ่วน “สงบใจ ? นายจะให้ฉันสงบได้ยังไงล่ะ ? เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของของชาวบ้านในหมู่บ้านนะ”
หลิวเฟยตอบกลับอย่างเลื่อนลอย “อ้อ......”
“นาย......นายมันไร้หนทางเยียวยาแล้ว ! "
ด้วยความขุ่นเคือง หลี่อวิ๋นโหรวหยิกแขนเขาแรง ๆ
หลิวเฟยสูดปากร้องอย่างเจ็บปวด พร้อมหันหน้าไปมองเธอแล้วพูดว่า “เธอบ้าหรือเปล่า ? เมื่อวานฉันนอนไม่หลับ งีบสักหน่อยจะเป็นไรไป ? อย่าหาเรื่องสิ ! ”
หลี่อวิ๋นโหรวกัดฟันกรอด เขาอดกลั้นความโกรธอย่างสุดขีดแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นเรื่องที่ย้ายหมู่บ้าน นายมีความคิดเห็นยังไงกันแน่ ? ”
“ทุกคนต่างมีสิทธิ์ร้องขอชีวิตที่ดีขึ้น ขอแค่พวกชาวบ้านเห็นด้วย ฉันจะพูดอะไรได้อีกล่ะ ? ”
“……”
หลังจากที่หลี่อวิ๋นโหรวจ้องมองเขาก็ขี้เกียจที่จะไปสนใจเขาอีก เดิมทีก่อนที่จะผ่านเรื่องราวมาหลายเรื่อง มุมมองของเธอที่มีต่อเขาเปลี่ยนไปแล้ว ใครจะคิดว่าเขายังไม่รู้ร้อนรู้หนาว ไม่สนใจเรื่องราวแบบนี้ ทำให้คนเอือมระอาจริง ๆ
ไม่นานนายกตำบล รองนายกตำบล หัวหน้าทุกแผนกและผู้จัดการของกิจการหลายแห่งก็เข้ามาที่ห้องประชุมพร้อมกัน ทุกคนนั่งกันเต็มห้องประชุมในชั่วพริบตาเดียว
คนที่นั่งอยู่ตำแหน่งหัวโต๊ะกลม สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวไม่ได้ผูกเนคไท เขาเป็นผู้ชายคิ้วหนา ตาโต ท่าทางเคร่งขรึม ดูเป็นหัวหน้าที่เฉียบขาดคนหนึ่ง
เขากวาดสายตาไปโดยรอบ แล้วลุกขึ้นยืนพูด "อาจจะมีบางคนไม่รู้จักผม ผมขอแนะนำตัวก่อน ผมเป็นคนที่มารับตำแหน่งนายกตำบลโซ่วเฉิงของพวกเราคนใหม่ ชื่อถังชางฉี จากนี้ไปขอให้ทุกท่านช่วยสนับสนุนงานของผมด้วยครับ"
หลังจากที่นั้นมีเสียงตบมือดังสักพักหนึ่ง เขาก็พูดเข้าประเด็น "วันนี้ผมเรียกทุกคนมารวมตัวกัน เพราะมีเรื่องสำคัญที่อยากให้ทุกคนร่วมพิจารณาการจัดการย้ายหมู่บ้านหลิว คิดว่าทุกคนคงทราบดี หมู่บ้านหลิวขึ้นชื่อว่าเป็นหมู่บ้านที่ยากจนในเขตปกครองของเรามาโดยตลอด หลายปีมานี้ยิ่งยากต่อการควบคุมการพัฒนาของตำบลโซ่วเฉิงของพวกเรา ผมรู้ว่าคนที่ดำรงตำแหน่งก่อนที่ผมจะขึ้นมาต่างก็มีความคิดที่จะย้ายหมู่บ้านหลิว แต่ในท้ายที่สุดเพราะเหตุผลหลาย ๆ อย่างจึงทำไม่สำเร็จ"
สักพักหนึ่งเขาก็พูดต่อ “ครั้งนี้ผมเพิ่งเข้ารับตำแหน่งก็หยิบเรื่องนี้มาพูด เพราะผมมีความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขเรื่องดังกล่าวให้ได้ ผมให้คนร่างรายละเอียดโครงการแล้ว ทุกท่านเชิญดูก่อน จากนั้นค่อยแสดงความคิดเห็นของตัวเอง”
หลังจากที่พนักงานได้แจกเอกสารให้กับทุกคน หลี่อวิ๋นโหรวตั้งใจดูอย่างมาก ส่วนหลิวเฟยหลังจากพลิกดูอย่างลวก ๆ ก็เผลอจะหลับอีกครั้ง
อ่านไปสักพัก ถังชางฉีให้ทุกคนแสดงความคิดเห็น พอเห็นว่าไม่มีคนพูด เขาจึงพูดโพล่งขึ้นมา
หลิวอวิ๋นโหรวจดบันทึกอย่างละเอียด ทันทีหลังจากที่เธอเห็นหลิวเฟยหลับก็เกือบจะสำลักออกมา เธอรีบยื่นมือไปดึงเขา หลังจากหลิวเฟยตื่นมาฟังได้สักพักก็ตาพริ้มหลับอีกแล้ว
หลังจากเกิดเหตุการณ์แบบนี้ซ้ำอยู่หลายครั้ง หลี่อวิ๋นโหรวก็ขี้เกียจจะสนใจเขาแล้ว เพราะเธอเห็นว่านายกตำบลมองเขาหลายครั้ง ในเมื่อเขาไม่สนใจตำแหน่งของตัวเองเลยแม้แต่น้อย เธอจะเดือดร้อนทำไม ?
หลังจากที่ถังชางฉีพูดจบ เขามองดูหลิวเฟยพลางกระแอมออกมาแล้วพูดว่า "ผู้ใหญ่บ้านหลิว คุณเป็นผู้ใหญ่บ้านของหมู่บ้านหลิว คุณก็ต้องแสดงความคิดเห็นหน่อยไหม ? "
หลังจากเขาพูดแบบนั้นออกมา ทุกคนต่างมองไปทางหลิวเฟยอย่างพร้อมเพรียง หลิวเฟยที่ถูกหลิวอวิ๋นโหรวปลุกให้ตื่น เขายิ้มแล้วพูดว่า "โครงการนี้ดีมาก เพียงแต่ผมคิดว่าการย้ายเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ อาศัยแค่การประชุมและหารือไม่กี่ครั้งคงไม่อาจแก้ไขได้ พวกชาวบ้านคือคนสำคัญที่รับผลประโยชน์ ควรจะถามความเห็นพวกเขาดู"
รองนายกตำบลเฉินจวินหรานที่ไม่ชอบหลิวเฟยมาตั้งนานแล้ว เมื่อได้ยินคำพูดของเขาก็ฮึดโกรธขึ้นมาทันที "ผู้ใหญ่บ้านหลิว คุณหมายความว่ายังไง ? ไม่ประชุม ไม่หารือจะตัดสินโครงการยังไง หรือต้องเอาให้พวกชาวบ้านดู ? หรือว่าคุณยังจะหวังให้พวกเขายื่นโครงการออกมาเองอย่างนั้นหรือ ? ถ้าหากพวกเขายื่นออกมาได้ เกรงว่าหมู่บ้านหลิวคงจะไม่มีสภาพเหมือนอย่างตอนนี้หรอก ! ฉันล่ะกลุ้มใจจริง ๆ คุณเป็นผู้ใหญ่บ้านยังไงกัน ? หลับกลางที่ประชุม ไม่รู้ความเลยสักนิด......"
หลิวเฟยพูด "เรื่องหลับกลางที่ประชุมผมทำไม่ถูก แต่ที่ผมอยากพูดก็คือเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ผมในฐานะหัวหน้าหมู่บ้านเองก็เพิ่งรู้เมื่อคืนวาน พวกชาวบ้านเองไม่รู้เรื่องเลยสักนิด แล้วพอขึ้นมาก็ยื่นโครงการออกมาให้ทุกคนได้หารือโครงการ เป็นการบอกปัดอย่างชัดเจนว่า การย้ายครั้งนี้ได้ตัดสินใจกันเองเรียบร้อยแล้ว ถ้าอย่างนั้นขอถามหน่อย มีอะไรต้องหารือกันอีก......"
หลิวเฟยพูดเสียงดังอยู่พักใหญ่ คนในห้องประชุมต่างตกตะลึง เขาบ้าไปแล้วหรือ ? คิดไม่ถึงว่าที่ทำการตำบลต่อหน้าผู้นำชุมชนมากมาย เขาจะกล้าพูดแบบนี้ !
หลี่อวิ๋นโหรวเองก็ตกใจจนเหงื่อแตก เธอรีบไปดึงเสื้อของเขาแล้วพูดปราม "หยุดพูดเดี๋ยวนี้ นายไม่อยากทำแล้วใช่ไหม ? "
หลิวเฟยกวาดตามองทุกคน เขาพูดอย่างไม่รีบไม่ร้อน "ขอโทษด้วย ผมก็เป็นตรงคนแบบนี้ มีอะไรก็พูดออกมา ในเมื่อที่แห่งนี้แม้แต่ตัวแทนชาวบ้านสักคนก็ไม่มี แบบนั้นก็ลืมฐานะผู้ใหญ่บ้านของผมไป แล้วให้ผมเป็นตัวแทนชาวบ้านเถอะ"
เฉินจวินหรานฟึดฟัดอยู่หลายครั้ง แล้วตบโต๊ะทันที เขายืนขึ้นด้วยความโกรธ "คุณไม่มีเหตุผลและก่อความวุ่นวาย ! ไม่อยากเป็นผู้ใหญ่บ้านมาตั้งนานแล้วใช่ไหม ? ถ้าอย่างนั้นก็พิจารณาตัวเองหน่อย รีบเขียนใบลาออกแล้วไปซะ ! "
ถังชางฉีให้เฉินจวินหรานนั่งลง เขามองหลิวเฟยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์แล้วพูดว่า "ดูเหมือนว่าผู้ใหญ่บ้านของเราจะมีความคิดเห็นคัดค้านสำหรับเรื่องการย้ายครั้งนี้"
หลิวเฟยพูดตอบ "เรื่องการย้าย ตัวผมไม่ได้มีความคิดเห็นอะไร เพียงแต่ผมรู้สึกว่าต้องพิจารณาความเต็มใจของชาวบ้านด้วย"
ถังชางฉีพูด "เรื่องนี้คุณวางใจ ผมจะต้องทำให้พวกเขาไม่มีทางปฏิเสธและย้ายออกจากภูเขาไห่หมิงด้วยความเต็มใจแน่นอน ! "
หลิวเฟยหัวเราะแล้วพูด "ถ้าอย่างนั้นผมเองก็จะทำให้พวกเขาเต็มใจที่จะอยู่ที่ภูเขาไห่หมิง แล้วยังจะนำพาให้พวกเขาร่ำรวยขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน ! "
ทุกคนเมื่อได้ยินคำพูดนี้ก็เกิดเสียงอื้ออึงขึ้น
เจ้าหนุ่มคนนี้บ้าไปแล้วมั้ง ? คิดไม่ถึงว่าเพิ่งมาก็จะทำตัวขวางทางนายกตำบลแล้ว ไปเอาความกล้ามาจากไหน ?
หลี่อวิ๋นโหรวเองก็เพิ่งเรียนจบ ไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้ เธอลูบหน้าอกที่อกสั่นขวัญแขวน มองดูสีหน้าเอาจริงเอาจังของหลิวเฟย
เขาทำไมถึงขวางโลกแบบนี้นะ ? ตอนแรกไม่ใช่เขาบอกว่าจะสนับสนุนการย้ายหรอกหรือ ? แบบนี้เรียกว่าอะไร ?